ศพ – ตอนที่ 139 การเจอบ้านผีครั้งแรก

ตอนที่ 139 การเจอบ้านผีครั้งแรก

จู่ๆก็เห็นบ้านโบราณที่หรูหรา ในป่าเก่าแก่

สิ่งแรกที่ผมรู้สึกคือไม่อยากจะเชื่อสายตา แต่หลังจากนั้นก็คิดถึงเรื่อง “ บ้านผี ” ที่ชาวบ้านลือกันได้

ตอนที่มันปรากฎขึ้น มันเหมือนกับบ้านจริงๆ แต่มันจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

แต่ถ้าอยู่ในบ้านนี้หนึ่งคืน เมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึง รอบๆก็จะกลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่าหรือไม่ก็หลุมศพ

เพราะสิ่งที่มองเห็นในตอนกลางคืน มันเป็นของปลอม เป็นภาพลวงตาที่วิญญาณพวกนี้สร้างมาหลอกผู้คน

ผมจ้องบ้านผี สูดหายใจเข้าลึกๆ “ น้อง น้องศพ นี่ นี่ก็คือบ้านของเธอเหรอ ”

มู่หลงเหยียนหันมามองผมแวบหนึ่ง “ ใช่ ! ไปกันเถอะ ! ”

 

หลังจากพูดจบ มู่หลงเหยียนก็เดินเข้าไปก่อน

ผมมองหลังของมู่หลงเหยียน และบ้านผีที่มีโคมไฟสีแดงแขวนเอาไว้ หัวใจของผมก็เต้นแรงทันที

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเข้ามาในบ้านผี จะมีประสบการณ์แบบไหนรออยู่กันนะ

แต่สิ่งที่ทำให้ผมสบายใจก็คือ ผมจะไม่เจอกับอันตรายใดๆ

เพราะมู่หลงเหยียนจะไม่มีทางทำร้ายผม ในจุดนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัย

ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเราก็เดินตามถนนหินมาถึงหน้าประตูบ้านผี

ผมมองกลอนประตูขนาดใหญ่ที่ทำจากทองแดง และตัวอักษรสีแดงสามตัว “ จวนมู่หลง ” ที่ลอยเด่นอยู่บนป้ายขนาดใหญ่ ก็คิดว่าบ้านผีหลังนี้หรูหรา อังลังการมาก

 

แต่ไม่รอให้พวกเราได้เคาะประตู จู่ๆประตูบ้านผีบานใหญ่บานนั้นก็เปิดออกจากด้านใน

ได้ยินเพียงเสียงดัง “ แอร๊ด ” ขณะที่ประตูค่อยๆเปิดออก

ทันใดนั้น ผมก็เห็นยายแก่คนหนึ่งเดินออกมาทันที

เมื่อเห็นยายแก่คนนี้ ม่านตาของผมก็ขยายใหญ่

ยายแก่คนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เธอก็คือยายโม่ที่ไม่ได้เจอกันมานานนั้นเอง

ตอนที่อยู่ศาลเจ้าหลักเมือง ยายโม่ก็คือคนที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้

ครั้งนี้ยายโม่ไม่ได้ถือไม้เท้า หลังจากเธอเปิดประตูเสร็จ ก็รีบเดินออกมาทันที

เมื่อเห็นผมและน้องศพ ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็ยืนพูดด้วยท่าทางเคารพ “ คุณหนู คุณผู้ชาย ! ”

 

ช่วงเวลานั้นผมไม่รู้ว่าควรตอบกลับยังไง จึงยืนอยู่ที่เดิมและไม่พูดอะไร

มู่หลงเหยียนกลับถามเบาๆ “ เตรียมเสร็จแล้วรึยัง ”

“ กราบเรียนคุณหนู เตรียมเสร็จหมดแล้วเจ้าค่ะ ! ” ยายโม่ตอบกลับความด้วยความเคารพมาก

มู่หลงเหยียนพยักหน้า “ งั้นก็ดี ! รีบเริ่มกันเลยเถอะ ! ”

“ เจ้าค่ะ ! ” ยายโม่สุภาพมาก เธอเหมือนกับคนรับใช้ในสมัยก่อน ไม่มีอารมณ์ใดๆหรืออวดดีอะไรทั้งสิ้น

จากนั้น พวกเราก็เข้าไปในจวนมู่หลง

พึ่งเดินเข้ามา ก็เห็นลานบ้านที่ยิ่งใหญ่อลังการ

 

บรรยากาศแบบโบราณ มีลักษณะเด่นและสไตล์ที่พิเศษมาก

มู่หลงเหยียนไม่พูดอะไร พาผมเดินข้ามลานบ้าน ทางเดินอีกสองสามเส้น และสุดท้ายก็มาถึงสวนขนาดเล็กที่อยู่ด้านหลัง

พึ่งมาถึงที่นี่ ก็เห็นใต้ต้นหวายฉู้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ถูกขุดจนกลายเป็นหลุมๆหนึ่ง

ในเวลาเดียวกันก็ได้ยินมู่หลงเหยียนพูดกับผมว่า “ ติงฝาน นายเอาโกศไปฝังไว้ในนั้น ! จากนั้นก็เปิดถุงเฉียนคุนก็ได้แล้ว ! ”

“ ได้ ! ” ผมเองก็ไม่พูดมาก พูดออกมาตรงๆ

ในเวลาเดียวกันก็หยิบโกศออกมา จากนั้นก็วางมันลงในหลุม และก็นำดินฝังกลบ

 

แต่นี่ยังไม่จบ มู่หลงเหยียนยังบอกให้ผมใช้มีดสลักชื่อจูชิงเอาไว้บนต้นไม้ต้นนั้น เพื่อใช้เป็นหลุมฝังศพ

บอกว่าต้นไม้คือป้าย ส่วนรากคือหลุม

ถ้าทำแบบนี้ ต่อไปขอแค่ต้นไม้ต้นนี้ไม่ล้ม รากไม้ไม่ขาด จูชิงก็จะไม่กลายเป็นผีเร่ร่อน

สิ่งที่มู่หลงเหยียนพูดนั้นไม่ผิด ผมจึงไม่ได้สงสัยแต่อย่างใด

รีบทำอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานผมก็ทำเรื่องพวกนี้เสร็จ

หลังจากทำป้ายเสร็จ ก็ดึงยันต์ออกมาจากถุงเฉียนคุน และเปิดปากถุงออก

 

“ จูชิง เธอออกมาได้แล้ว ! ”

เสียงพึ่งเงียบลง ควันสีขาวก็ลอยออกมาจากถุงเฉียนคุน ล่วงลงกับพื้นและกลายเป็นผีผู้หญิงอย่างรวดเร็ว

ไม่ใช่ใครอื่น เธอก็คือจูชิง

จูชิงพึ่งถึงพื้น “ บึก ” ก็คุกเข่าต่อหน้าผมและมู่หลงเหยียนทันที

เธอไม่พูดพร่ำทำเพลง คำนับให้ทันที “ ขอบคุณ ขอบคุณพี่สาว ขอบคุณนักพรตติงมากๆค่ะ ! ”

ที่จริงผมเป็นคนสมัยใหม่ เมื่อเห็นผีผู้หญิงคำนับให้ ก็รู้สึกอึดอัดมาก

รีบเอื้อมมือไปประคองเธอขึ้นมาทันที “ อย่าอย่าอย่า ฉันเป็นแค่คนปราบวิญญาณชั่วร้าย นี่เป็นเรื่องที่ฉันควรทำ ต่อไปเธอก็อยู่ที่นี่เรียนรู้กับน้องศพนะ เผื่อวันข้างหน้าจะไปเกิดได้ จะได้เตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน ! ”

 

“ ขอบคุณ ขอบคุณท่านนักพรตติงมากค่ะ ! ” ผีผู้หญิงดูซาบซึ้งมาก

ผมยิ้มออกมาเล็กน้อย “ ไม่ต้องมาขอบคุณฉันหรอก เธอขอบคุณเขาดีกว่า ! ”

ขณะที่พูด ผมก็มองไปที่มู่หลงเหยียน

แต่มู่หลงเหยียนกลับส่ายหัว “ ไม่เป็นไร เธอเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ถ้าเธออยากไปเกิดเป็นคนอีกครั้ง อาจจะต้องรอหลายปีหน่อย เพราะฉันยังมีแค้นต้องชำระ และตามพลังที่ฉันมีในตอนนี้ ยังไม่สามารถรวบรวมดวงจิตวิญญาณแทนเธอได้ ! ”

เมื่อจูชิงฟังจบ กลับแสดงท่าทางตื่นเต้น ขอบคุณอย่างต่อเนื่อง

ยังบอกว่ารอมากว่า 20 ปีแล้ว รอต่ออีกหน่อยจะเป็นอะไรไป ถ้าเป็นไปได้เธอเต็มใจจะช่วยน้องศพแก้แค้นอีกด้วย

 

แต่เมื่อผมได้ยินสิ่งนี้ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะมีเสียงดัง “ กึก ” ค่อยๆขมวดคิ้ว

หรือถ้ามองจากมุมนี้ มู่หลงเหยียนกับผีผู้หญิง ก็มีจุดที่คล้ายกัน แต่ของมู่หลงเหยียนน่าเศร้ากว่า

ผมจำที่โจวหยุนเคยบอกได้ มู่หลงเหยียนและโจวหยุน ต่างถูกคนทำพิธีกรรมพิเศษบางอย่างจน

ไม่สามารถกลับชาติไปเกิดได้ ได้เพียงแค่เป็นวิญญาณไปชั่วนิรันดร์

และศัตรูของพวกเขา ก็คือองค์กรตาผีที่ลึกลับนั้น

สำหรับจูชิงแล้ว ยังมีโอกาสไปเกิดใหม่ แต่ของมู่หลังเหยียนนั้นไม่มี

 

ทำได้เพียงกลายเป็นวิญญาณไปตลอดชีวิต ไม่สามารถเห็นแสงอาทิตย์ ไม่มีอุณหภูมิร่างกาย ไม่มีการเต้นของหัวใจ ไม่มีเลือด ไม่มีน้ำตา ไม่มีความเป็นคน

ผมไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกและความเจ็บปวดที่พวกเธอเคยได้รับมาก่อน แต่ผมรู้ว่าพวกเธอเป็นศัตรูกับองค์กร…….

ช่วงเวลานี้ผมเงียบไม่ยอมพูดจา แต่ทันใดนั้นมู่หลังเหยียนกลับเงยหน้าพูดกับผม “ โอเคแล้วเจ้าห่วย เสร็จเรื่องแล้ว นายกลับไปได้แล้ว ! ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว

มองหน้าที่เย็นชาของมู่หลงเหยียน ก็คิดว่าผีเมียตนนี้เปลี่ยนหน้าเร็วกว่าพลิกกระดาษซะอีก

 

แต่ผมไม่พอใจ จึงพูดประชดตรงๆ “ อะไรรีบไล่กันเลยเหรอ เธอไม่รอให้ฉันได้พักหายใจ ดื่มชา พาฉันไปเดินเล่นหน่อยเหรอ ”

“ โอ๊ย ! เจ้าห่วย นายยังไม่อยากออกไปใช่ไหมละ ” มู่หลงเหยียนเองก็โมโหขึ้นมา

แต่ไม่รอให้ผมได้พูด ยายโม่ที่อยู่ข้างๆก็หัวเราะ “ ฮ่าฮ่าฮ่า ” “ คุณหนู คุณผู้ชายพึ่งมาเป็นครั้งแรก เป็นธรรมดาที่จะต้องรู้สึกสนใจบ้านของพวกเรา แต่ว่าคุณผู้ชาย คุณต้องคิดให้ดีๆนะเจ้าคะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คนเป็นควรอยู่ อยากจะอยู่ที่นี่นานอีกหน่อยจริงๆเหรอเจ้าคะ ”

เมื่อผมได้ยินเสียงที่แหบแห้งของยายโม่ ก็ไม่ได้ตอบกลับทันที

ผลลัพธ์มู่หลงเหยียนกลับพูดเพิ่ม “ ฮึ ! เจ้าปัญญาอ่อนนี้ ก็ให้เขาอยู่ที่นี่สักคืนซิ จะได้ลดอายุไขเขาสักสองสามปี ! ”

 

ฉิบหาย ! อยู่ที่นี่ต่อสามารถลดอายุไขได้ด้วยเหรอ

ผมตกใจอย่างหนัก ที่จริงผมก็แค่รู้สึกสนใจบ้านผี จึงอยากจะเดินดูรอบๆเท่านั้น

วันหลังจะได้ไปพูดอวดเฟิงเฉ่วหานกับหยางเฉ่วได้ ผมไม่รู้เลยสักนิดว่าที่นี่จะสามารถลดอายุไขได้

“ ที่ ที่นี่ลดอายุไขได้จริงๆเหรอ ” ผมพูดด้วยความตกตะลึง

“ พูดมาก ! ไม่อย่างนั้นนายลองนอนอยู่ที่นี่สักหน่อยไหมละ ” มู่หลงเหยียนพูดพร้อมกับทำมือกอดอก

ส่วนจูชิงก็เริ่มทำหน้ามึนงง แต่จากคำพูด เธอฟังออกว่าผมกับมู่หลงเหยียนเป็นอะไรกัน

แต่เธอไม่ได้พูดอะไร เพียงปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้เท่านั้น

 

เมื่อได้ยินคำตอบที่หนักแน่นจากปากมู่หลงเหยียนแล้ว ผมก็ไม่พูดถึงเรื่องอยากพักหายใจอีก ตอนนี้แทบอยากบินออกมาเร็วๆด้วยซ้ำ

ในใจกำลังตื่นตระหนก แต่ก็ไม่อยากเสียหน้า

จึงแกล้งทำท่าทางสงบ หยิบถุงเฉียนคุนขึ้นมา “ เอ่อ เอ่อในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นฉันไม่อยู่ต่อก็ได้ น้องศพ ยายโม่ จูชิง แล้วค่อยเจอกันใหม่นะ ! ฉันไม่พูดมากแล้ว ไปก่อนนะ…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset