ศพ – ตอนที่ 145 ซากศพแปลกประหลาด

ตอนที่ 145 ซากศพแปลกประหลาด

เมื่อเห็นการกระทำของอีกฝ่าย วินาทีต่อมาพวกเราสามคนก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ

และชิ้นส่วนมือคนชิ้นนั้น ก็กลายเป็นรูปร่างเว้าโค้ง ตกลงมาตรงหน้าของพวกเราสามคนทันที

ระหว่างนั้นหน้าของผมก็ถอดสี

ผมจ้องมือที่ตกอยู่บนพื้น แม้ว่าจะเป็นแค่ชิ้นส่วน แต่ด้วยรูปร่างที่เรียวยาว จึงทำให้ผมมั่นใจว่านี่จะต้องเป็นของผู้หญิงอย่างแน่นอน

ส่วนเป็นของเสี่ยวม่านจริงไหม ตอนนี้ผมยังไม่อาจพูดได้ แต่คำพูดของเจ้าศพเดินได้คนนี้ กลับทำให้ในใจของผมมีปมปรากฎขึ้น

 

ถ้าไม่ใช่คงดีที่สุด แต่ถ้านี่เป็นมือของเสี่ยวม่านจริงๆ งั้นตอนนี้เสี่ยวม่านไม่ถูกฆ่าตายไปแล้วเหรอ

ตอนนี้สีหน้าของผมเคร่งครึมสุดๆ ในปากกัดฟันอย่างแรง “ เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรนะ ”

ศพยังคงหัวเราะ “ ฮึฮึฮึ ” “ คืนมือของเสี่ยวม่านให้แกไง ตอนนี้ฉันหิวแล้ว รีบเข้ามาให้ฉันกินหน่อยซิ ! ”

หลังจากพูดจบ ดวงตาของศพก็เบิกกว้าง เดินเขย่าเท้าเข้ามาหาพวกเราสามคนทันที

ปากที่ไม่ได้มีอะไรปิดเอาไว้ ตอนนี้มันได้เผยให้เห็นคมเขี้ยว พร้อมกับส่งเสียง “ จี๊ดจี๊ดจี๊ด ” ออกมาอย่างแปลกประหลาด

ถึงตอนนี้ผมจะยังไม่มั่นใจว่าเสี่ยวม่านปลอดภัยไหม แต่หลังจากได้ยินคำพูดของศพ ก็เห็นได้ชัดว่าผมกำลังกระวนกระวายมาก

 

เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังเข้ามาหาพวกเรา แถมยังพูดว่าจะกินพวกเรา ในใจของทุกคนก็โมโหขึ้นมาทันที

ผมจับดาบไม้ในมือให้แน่น ตะโกนออกไปทันที “ ไอ้สารเลว ! ”

หลังจากพูดจบ ผมก็ถือดาบไม้เข้าไปโจมตีทันที

หยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหาน ไม่ได้รอช้า รีบเข้ามาโจมตีเช่นกัน

แต่เจ้าศพนั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะโต้กลับ เขายังคงจ้องพวกเรา เดินเข้ามาเรื่อยๆ และพูดว่า กิน ฉันจะกิน พูดแบบนี้

ตอนที่เข้าใกล้ชายคนนั้น ผมก็ฟาดฟันดาบเข้าไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับด่าเขาทันที “ ไปกินแม่…ซิ ! ”

แต่เจ้านั้นกลับไม่หลบ เขายกมือขึ้นมาตามสัญชาตญาณ

 

แต่การเคลื่อนไหวของเขาช้ามาก ไม่มีทางต้านทานดาบในมือเขาผมได้ทัน

ทันใดนั้นเสียง “ บึก ” ก็ดังขึ้น ดาบไม้ในมือของผมฟันโดนหัวของอีกฝ่ายทันที

ตอนนี้ดาบไม้เต็มไปด้วยพลัง ไม่เพียงปราบพลังชั่วร้ายในศพได้ มันยังคมมาก

เมื่อดาบฟันลงไป ก็ทะลุเข้าไปในหัวของศพทันที

จากนั้น พวกเราก็เห็นไอสีดำไหลทะลักออกมาจากหัวของศพ

นั้นก็คือพลังหยิน ที่กำลังไหลออกมาจากร่างผ่านรอยแผลของหัว

แต่ผมไม่ได้สนใจ ดึงดาบกลับมา และเตรียมฟันลงไปเป็นครั้งที่สอง

 

เพราะผมคิดว่า ในศพนี้ อาจมีวิญญาณชั่วร้ายสิงอยู่

หลังจากศพนั้นถูกผมฟันหัว ทำลายพลังหยิน วิญญาณผีร้ายที่สิงอยู่ในศพ ก็น่าจะออกมาปรากฏตัว !

นอกจากที่ผมคิดแบบนี้ เฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่วเองก็คิดเช่นเดียวกัน

แต่ผลลัพธ์ที่ตามมา กลับทำให้พวกเราสามคนประหลาดใจ

ขณะที่หัวของศพถูกฟัน และมีไอดำไหลออกมา “ บึก ” ร่างกายของเขาก็ล่วงลงไปกับพื้น ไม่มีวิญญาณชั่วร้ายออกมาจากร่างของเขาสักตน

ไม่ใช่แค่นี้ เรื่องที่แปลกยิ่งไปกว่านั้นยังตามมาติดๆ

 

ในเวลานี้ศพ ได้แห้งเหี่ยวภายในชั่วพริบตา กลายเป็นศพที่มีสภาพเหมือนตายมาแล้วร้อยปีพันปี มันแห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว

ใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาที ใบหน้าที่เคยมีเลือดเนื้อ ตอนนี้กลับกลายเป็นศพผิวเข้ม

กล้ามเนื้อที่เคยนูนขึ้นมา ในเวลานี้ก็ได้แห้งหายไปหมดเกลี้ยง

มองจากภายนอก ตอนนี้มันดูเหมือนศพที่มีอายุหลายร้อยหลายพันปี ที่ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยสักนิด

เมื่อเห็นฉากนี้ พวกเราสามคนก็รู้สึกขนหัวตั้ง

และภาพแรกที่แวบเข้ามาในสมองก็คือสภาพศพของเจ้าเดรัจฉานที่มหาวิทยาลัยศิลปะชิงชาน

อาจารย์โจวเจี่ยน

 

ตอนนั้นก่อนที่เขาจะตาย จู่ๆตาผีก็ปรากฎขึ้นมา จากนั้นภายในระยะเวลาอันสั้นร่างกายก็แห้งเหี่ยว จนศพกลายเป็นเหมือนมัมมี่

ตอนนี้ศพตรงหน้า ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ได้นะ แต่กลับไม่เห็นตาผีปรากฎออกมานิ

หรือศพนี้ ก็มีเครื่องหมายตาผีขององค์กรลับซ่อนอยู่

พวกเราสามคนจ้องศพที่เปลี่ยนเป็นมัมมี่ และต่างก็เงียบกันไปสักพัก

ในใจมีคำถามอยู่ข้อหนึ่ง ชายคนนี้จะต้องเป็นศพอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทำไมไม่เห็นวิญญาณของเขาอยู่ใกล้ๆ แล้วยังขยับได้ พูดได้ด้วย

ตอนนี้ไม่อาจหาคำตอบได้ ทำได้เพียงเก็บเรื่องที่สงสัยเอาไว้ในใจ

 

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดกับเฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่วว่า “ เรื่องนี้ไม่ธรรมดา อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรลับนั้น ทุกคนต้องระวังตัวให้ดี ! ”

ไม่ต้องให้ผมบอก ทั้งสองคนก็เห็นถึงความผิดปกติ

พวกเรามองไปรอบๆ นอกจากพลังหยินอันแข็งแกร่งที่อยู่ด้านหน้าแล้ว ก็ไม่พบร่องรอยของพลังจากที่อื่นอีก

ดังนั้นพวกเราสามคนจึงเดินต่อไปข้างหน้า ส่วนเรื่องศพมัมมี่นั้น พวกเราก็ไม่ได้สนใจมันอีก

ตอนนี้พวกเราสามคนระแวดระวังยิ่งกว่าเดิม ถ้าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรตาผีจริงๆ มันจะต้องไม่มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นแน่

 

หลังจากเดินมาได้ประมาณ 100 เมตร เลี้ยวไปตามทางโค้ง พวกเราก็เดินต่อไปอีก 100 เมตร

ตอนนี้ พวกเราน่าจะมาถึงจัตุรัสใจกลางเมืองแล้ว

และที่นี่ ก็เป็นสถานที่ที่มีพลังหยินเข้มข้นที่สุด

ไม่ใช่แค่นี้ พวกเรายังทำตัวลับๆล่อๆ เหมือนจะเห็นใครบางคนอยู่ข้างหน้า และตอนนี้เขาคนนั้นก็กำลังเดินไปรอบๆ

ถ้าพูดให้ชัดเจนกว่านี้ นั้นอาจเป็นผีตนหนึ่ง

ดึกดื่นขนาดนี้ ที่นี่นอกจากพวกเราสามคนแล้ว จะมีใครมาเดินไปเดินมาแถวจัตุรัสใจกลางเมืองได้ละ

 

พวกเราไม่กล้าประมาท ต่างลดน้ำหนักของฝีเท้าลง ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ และเริ่มย่องเข้าไปที่จัตุรัสกลางเมืองอย่างช้าๆ

เพราะกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว การเคลื่อนไหวของพวกเราจึงช้ามาก แม้แต่การหายใจของตัวเอง ก็ยังทำให้มันเบาที่สุด

ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็เข้ามาใกล้จัตุรัสกลางเมืองแล้ว

จัตุรัสกลางเมืองไม่ใหญ่มาก มีขนาดประมาณสนามฟุตบอลสองแห่งต่อกัน แต่ด้านในกลับมีหญ้าขึ้นไม่มากนัก จึงสามารถมองเห็นสถานการณ์ของจัตุรัสกลางเมือง ได้อย่างชัดเจน

ตอนนี้พวกเรากำลังซ่อนตัวอยู่ในก่อหญ้าใกล้ๆจัตุรัส มองดูทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นในจัตุรัสอย่างเงียบๆ

 

เมื่อมองไปรอบๆ ผมก็เห็นว่าคนใส่ชุดสีขาว 3 คนกำลังเดินวนไปวนมาอยู่ในจัตุรัส

คนหนึ่งเป็นชายแก่ อีกคนหนึ่งคือผู้หญิงวัยกลางคน และสุดท้ายคือเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 6-7 ขวบ

แต่เมื่อดูจากพลังหยินที่อยู่ในร่างของพวกเขา เท้าลอยจากพื้น ไม่มีพลังหยางหลงเหลืออยู่ ผมก็มั่นใจทันทีว่านั้นจะต้องเป็นผี

ช่วงเวลานี้พวกเราไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า จึงทำได้แต่สังเกตการกระทำของผี 3 ตนนั้นอย่างละเอียด

ผีสามตนนั้นนอกจากจะปลดปล่อยพลังหยินที่เข้มข้นออกมาจากร่างกายแล้ว ยังมีพลังชั่วร้ายปนอยู่ในร่างกายจำนวนมาก

 

เห็นได้ชัดว่า ผีทั้งสามตนนี้ไม่ใช่ผีเร่ร่อนธรรมดา แต่เป็นวิญญาณร้าย 3 ตน

“ เหล่าติง เจ้าผีสามตนนี้เป็นผีร้าย ! เพื่อนของนายอาจไปทำให้พวกมันโกรธ ! ” เฟิงเฉ่วหานพูดเบาๆ

ผมพยักหน้าเล็กน้อย เห็นด้วยว่าอาจเป็นแบบนั้น

“ ถ้าเป็นแบบนี้ งั้นพวกเราคิดวิธีจัดการพวกมันก่อน ถึงเวลานั้นแล้วค่อยถามให้รู้เรื่อง ! ” หยางเฉ่วพูด

แต่ใครจะรู้เสียงของหยางเฉ่วพึ่งเงียบลง ยังไม่รอให้ผมได้ตอบกลับ จู่ๆผีผู้หญิงวัยกลางคนที่อยู่กลางจัตุรัสก็พูดกับผีคนแก่ว่า “ พ่อ มีนักพัฒนาคนอื่นคิดจะมาทำลายบ้านของพวกเราอีกแล้ว ! ”

เสียงนี้ไม่ดังมาก แต่กลับก้องไปทั่วจัตุรัส พวกเราสามคนจึงได้ยินอย่างชัดเจน

 

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผมก็อึ้งไปในทันที นักพัฒนา ทำลายบ้าน ทำอะไร

ผมหันไปมองตาสัญชาตญาณ ผลลัพธ์เมื่อหันไป กลับพบว่าผีร้ายสามตัวที่ลอยวนไปวนมาเมื่อก่อนหน้านี้ ได้หยุดอยู่กับที่แล้ว

ตอนนี้พวกเขากำลังยืนอยู่ใจกลางจัตุรัส จ้องมาที่ตำแหน่งที่พวกเราซ่อนอยู่อย่างไม่ละสายตา

ไม่ใช่แค่นี้ ขณะที่เสียงของผีผู้หญิงวัยกลางคนเงียบลง ผีตาแก่ตนนั้นก็พูด ฮึ ออกมา จากนั้นก็พูดด้วยเสียงที่แหบแห้ง “ คิดจะมาทำลายบ้านของข้าเหรอ อย่างหวัง ไอ้พวกนักพัฒนาน่ารังเกลียด อีกเดี๋ยวฉันจะฉีกพวกแกทั้งหมดเป็นชิ้นๆเอง…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset