ศพ – ตอนที่ 146 ผีสามรุ่น

ตอนที่ 146 ผีสามรุ่น

จู่ๆก็ได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น ในใจของพวกเราสามคนจึงมีเสียงดัง “ กึก ”

แม้อีกฝ่ายจะพูดว่า “ นักพัฒนา ” “ ทำลายบ้าน ” แต่เห็นได้ชัดว่าเขากำลังพูดกับพวกเรา

และทิศทางที่สายตาของพวกเขามองมา ยังเป็นที่ที่พวกเรากำลังซ่อนอยู่ชัดๆ

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ในเวลาเดียวกันก็พูดกับเฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่วว่า “ แม่งเอ้ย เหมือนพวกเราจะถูกจับได้แล้ว ตอนนี้ดูเหมือน ต้องสู้ตรงแล้วๆ ! ”

ผมพูดออกมา ในเวลาเดียวกันก็จับดาบไม้ในมือแน่น

หยางเฉ่วและฟิงเฉ่วหานก็มองออกว่าสถานการณ์เป็นยังไง ตอนนี้คิดจะลอบโจมตี คงเป็นไปไม่ได้แล้ว

 

ดังนั้น ทั้งสองคนจึงพยักหน้าให้ผมแรงๆ แสดงความเห็นด้วย

คำว่านักพัฒนา ทำลายบ้านอะไรนั้นที่ได้ยินจากพวกเขา เห็นได้ชัดว่ามันคล้ายกับข่าวลือที่คนขับรถแท็กซี่พูดถึง

ถูกบังคับให้ทำลายบ้าน ชาวบ้านไม่มีทางเลือกจนต้องฆ่าตัวตาย

ผีสามตนตรงหน้า ก็คงเป็นหนึ่งในชาวบ้านที่ฆ่าตัวตาย

ขณะที่ผมกำลังแอบคิดอยู่ในใจ ก็ลุกขึ้นยืนแล้ว จากนั้นก็แหวกพุ้มหญ้าตรงหน้าออก และเดินออกไปตรงๆ

หยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหาน เองก็เดินตามหลังผมมา อย่างรวดเร็ว

 

ตอนนี้พวกเราได้เผชิญหน้ากันแล้ว แต่สีหน้าของทุกคนกลับดูไม่ค่อยดี

จุดประสงค์ที่พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อช่วยคน ดังนั้นจึงไม่มีเจตนาที่จะลงมือก่อน

จากนั้นก็ได้ยินเสียงผมพูดว่า “ คนที่มาที่นี่เมื่อก่อนหน้านี้ ยังมีชีวิตอยู่ไหม ”

ผมเองก็ไม่รู้ว่าผีร้ายพวกนี้จะเข้าใจคำพูดของผมไหม แต่ยังไงก็ต้องถามเอาไว้ก่อน

แต่เสียงพึ่งเงียบลง เด็กผู้หญิงอายุ 6-7 ขวบคนนั้นก็ตอบกลับด้วยเสียงที่เย็นชา “ ฮึ ไอ้นักพัฒนาพวกนั้นตายหมดแล้ว ตอนนี้ถึงตาพวกแกแล้ว ! ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ “ พรึบ ” สีหน้าของผมก็เปลี่ยนไปทันที

 

ตายหมดแล้ว นี่ไม่ได้กำลังบอกว่า เสี่ยวม่านเองก็ตายแล้วเหรอ

ไม่รอให้ผมได้ตอบโต้ หรือถามอีกครั้ง ทันใดนั้นเด็กผู้หญิงคนนั้นก็ยกกรงเล็บขึ้น พลังชั่วร้ายไหลมาทางพวกเรา และตัวเธอเอง ก็พุ่งเข้ามาหาพวกเราทันที

การเคลื่อนไหวของเธอเร็วมาก เพียงแค่ชั่วพริบตาก็เข้ามาอยู่ตรงหน้าของพวกเราแล้ว

“ ลงมือ ! ” หยางเฉ่วตะโกน ถือดาบไม้ขึ้นมารับการโจมตีทันที

เฟิงเฉ่วหานเองก็ไม่ลังเล ลงมือกับอีกฝ่ายอย่างไม่ปราณี ความเป็นไปได้ในการถามเมื่อก่อนหน้านี้

ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ คงทำได้แค่สู้กัน จัดการพวกมันได้แล้ว ถึงจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้

 

ถ้าอีกฝ่ายฆ่าเสี่ยวม่านจริงๆ ผมก็จะไม่ปล่อยพวกมันไปง่ายๆ

ผมกัดฟัน กำดาบไม้เข้าไปปะทะทันที

ส่วนผีอีกสองตัว เมื่อเห็นพวกเราลงมือ พวกเขาก็พุ่งเข้ามาเช่นกัน

พวกเราอยู่ไม่ไกลกันมาก ดังนั้นเพียงชั่วพริบตาการต่อสู้ก็เริ่มขึ้นแล้ว

ผีร้ายสามตัวนี้ดุร้ายมาก พลังหยินที่มีก็เยอะมาก

เมื่อพวกเราเข้าปะทะ ก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่อีกฝ่ายปล่อยออกมาทันที

ผมต่อสู้กับผีผู้หญิงวัยกลางคน ดูท่าทางธรรมดามาก แต่ดวงตาสีขาวโพลนคู่นั้น กลับทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว

 

ผมได้ยินเธอคำราม “ โฮก ” ออกมา จากนั้นก็ยกกรงเล็บขึ้นกวาดมาที่หัวของผม พละกำลังของเธอมหาศาล และเร็วมาก

ผมจะกล้าชักช้าอยู่ได้ยังไง รีบยกดาบไม้ขึ้นมาป้องกันทันที

“ ปัก ” กรงเล็บพวกนั้นข่วนโดนดาบไม้ของผมจังๆ

ผมตกตะลึงในใจ เธอร้ายกาจมาก

ถ้ากรงเล็บพวกนั้นโดนตัวผมละก็ มีหวังเนื้อได้ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆแน่

ผมไม่กล้าชักช้า รีบโต้กลับทันที

ส่วนทางด้านเฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่ว ก็โดนกดดันไม่น้อยไปกว่าผม

 

แรงอาฆาตของผีสามตนนี้มีเยอะไม่ใช่เล่นๆ ดังนั้นพลังของพวกเราจึงต่างกันไม่มาก

แต่ผีร้ายสามตนนี้ไม่ได้เพิ่งเป็นผีร้ายใหม่ๆ ต่างเคยฆ่าคน จึงดุร้ายและโหดเหี้ยมมาก ตอนลงมือก็รุนแรงผิดปกติ

แต่หลายวันมานี้ผมลงทุนลงแรงฝึกฝนอย่างหนัก และการสะสมประสบการณ์ที่รับจากการต่อสู้มาไม่น้อย นั้นจึงทำให้ผมไม่ใช่ติงฝานที่อ่อนแอเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว

ผมใช้พลังของตัวเอง และทักษะการต่อสู้ที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ จึงสามารถป้องกันการโจมตีของผีผู้หญิงได้

ส่วนทางด้านของเฟิงเฉ่วหาน ก็ต่อสู้กันอย่างสูสี แต่ท่าทางจะดีกว่าผมนิดหน่อย

สำหรับหยางเฉ่ว เธอดีกว่าใครเพื่อน

 

ดูจากท่าทางเหมือนผมและเฟิงเฉ่วหานจะทำได้เพียงยืดระยะให้นานออกไป ถ้าเวลาผ่านไปอีกหน่อย หยางเฉ่วจะต้องจัดการผีเด็กได้แน่

และเมื่อถึงเวลานั้น จากการต่อสู้สามต่อสอง ชัยชนะก็จะตกอยู่ในกำมือของพวกเราแน่

พวกเราต่อสู้อย่างสุดกำลัง พยายามจัดการกับผีสามตัวอย่างต่อเนื่อง

ทุกครั้งที่โจมตีหรือป้องกันก็จะจริงจังอย่างมาก เพราะความประมาทเล็กน้อย ก็อาจทำให้บาดเจ็บ หรือไม่ก็ตายได้

หลังจากต่อสู้กันมาได้ 10 นาทีกว่าๆ ผมก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเริ่มอ่อนแอขึ้น เสื้อที่ใส่ได้เปียกเหงื่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

แต่ยัยผีนั้นกลับยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้ผมเรื่อยๆ แต่ในเวลานี้เอง ในที่สุดหยางเฉ่วก็เป็นผู้ชนะ

จู่ๆหยางเฉ่วก็ตะโกนออกมา “ ทำลาย ! ”

เสียงพึ่งจางหาน หยางเฉ่วก็เอื้อมมือออกไป

ทาบฝ่ามือลงบนหน้าอกของผีเด็ก ผมได้ยินแค่เสียงดัง “ ปัก ” จากนั้นผีเด็กตนนั้นก็กระเด็นออกไปทันที

เธอยังกรีดร้องออกมา “ อร๊าย ” จากนั้นร่างของเธอก็ล่วงลงพื้นไปทันที

“ ลูกรัก ! ” ทันใดนั้นผีผู้หญิงวัยกลางคนที่สู้กับผมอยู่ก็อุทานด้วยความตกใจ เธอถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่ากำลังกลัวมาก

 

“ แกกล้าทำร้ายหลานสาวของฉัน ฉันจะฉีกพวกแกเป็นชิ้นๆ ! ” จู่ๆผีตาแก่ตัวนั้นก็บ้าคลั่ง

เขาต่อสู้กับเฟิงเฉ่วหานอย่างเอาเป็นเอาตาย

เฟิงเฉ่วหานเองก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเกิดบ้าขึ้นมาอย่างกระทันหัน ผลลัพธ์ยังไม่ทันตั้งตัว เขาก็ถูกโจมตีแล้ว

ตอนนี้แขนขวาของเขาถูกข่วน เลือดสดๆไหลหยดลงมาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อผมเห็นทางฝั่งของเฟิงเฉ่วหานมีแรงกดดันเพิ่มขึ้น ก็รีบกำดาบไปทางนั้นทันที

“ ตายไปซะ ! ”

เมื่อผีตาแก่เห็นผมเข้ามาอย่างกระทันหัน จึงเบี่ยงตัวหลบ และถอยไปอีกฝั่งทันที

 

“ เหล่าเฟิง เป็นยังไงบ้าง ” ผมมองแขนของเฟิงเฉ่วหาน พร้อมกับถามด้วยความห่วงใย

“ ไม่ ไม่เป็นไร แค่แผลภายนอก ! ” แม้ว่าเฟิงเฉ่วหานจะบาดเจ็บ และบาดแผลค่อนข้างใหญ่ แต่สีหน้าของเขายังไม่เปลี่ยนแปลง เขาแค่ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว และจับบาดแผลของตัวเองเอาไว้

ในเวลานี้หยางเฉ่วเองก็รีบเข้ามา ดึงผ้าพันแผลออกมาจากกระเป๋าคาดเอวเพื่อห้ามเลือดเอาไว้ “ รีบพันเร็ว ! ”

เฟิงเฉ่วหานเป็นชายแท้ เขาจับผ้าพันแผลมา ไม่ต้องให้พวกเราช่วยเหลือ ตัวเองก็พันเสร็จแล้ว

ส่วนผีตาแก่กับผีผู้หญิงวัยกลางคนนั้น ก็ถอยไปดูอาการของผีเด็ก

ฝ่ามือเมื่อกี้ของหยางเฉ่ว เป็นการใช้คาถาประเภทหนึ่ง

 

หลังจากผีเด็กโดนคาถา ถึงเธอจะไม่ตายแต่ก็ต้องบาดเจ็บสาหัส

ตอนนี้ร่างกายจึงเริ่มกระตุกและสั่นเทา เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังบาดเจ็บสาหัส

“ ลูกรัก ลูกรักไม่ต้องกลัว แม่อยู่นี่แล้ว แม่จะปกป้องหนูเองนะ ! ” ผีผู้หญิงพูดด้วยความห่วงใย ของคนเป็นแม่ เธอลูบไล้แก้มเนียนๆของผีเด็ก นี่จึงทำให้พวกเราแปลกใจมาก

เพราะจากมุมมองของพวกเรา วิญญาณที่กลายเป็นผีร้ายแล้ว น่าจะไม่มีความรู้สึกเหลืออยู่

สิ่งที่พวกเขาควรมี ก็น่าจะเหลือแค่สัญชาตญาณสัตว์ร้ายถึงจะถูกต้อง

แต่ทำไมกัน ทำไมตอนนี้ยัยผีวัยกลางคนนั้นถึงยังมีความรู้สึกหลงเหลืออยู่ละ

 

“ หลานของปู่ อดทนก่อนนะ อีกเดี๋ยวรอให้ปู่จับไอ้พวกนักพัฒนานั้นได้ แล้วเธอค่อยสูบพลังชีวิตจากพวกมัน เธอจะต้องดีขึ้นแน่นอน ! ” ผีตาแก่นั่งข้างๆผีเด็ก พร้อมพูดให้กำลังใจเธอ

จากนั้น ผีตาแก่นั้นก็หันมาอย่างรวดเร็ว เขาจ้องพวกเราตาไม่กระพริบ ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

และในเวลานี้เขาก็ค่อยๆลุกขึ้นยืน มองพวกเราอย่างอาฆาต ทันใดนั้นเขาก็คำรามออกมา “ อ๊ากกกก ”

เสียงลากยาวมาก ทุ้มต่ำมาก และแสบแก้วหูมาก เมื่อได้ยินผมก็รู้สึกอึดอัดมากทีเดียว

ตอนแรกพวกเรายังไม่ได้สนใจ เพียงคิดว่าตาแก่นี้แค่ร้องเอะอะโวยวาย

 

แต่หลังจากเสียงกรีดร้องของตาแก่หยุดลง พวกเราถึงได้รู้ว่า เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว……

ทันใดนั้นรอบๆจัตุรัส ก็มีลมกระโชกแรงพัดเข้ามา

จากนั้น เสียงคำราม “ กากากา ” ของสัตว์ร้ายก็ดังขึ้นจากทุกสารทิศ

ระหว่างที่เสียงคำรามดังขึ้น เสียงฝีเท้าและการสั่นไหวของหญ้าก็ดังขึ้น

“ มีบางอย่างกำลังเข้ามา ! ” หยางเฉ่วขมวดคิ้ว ในเวลาเดียวกันก็มองไปรอบๆ

แต่ไม่รอให้พวกเราได้พูดอะไร ทันใดนั้นในพุ่มหญ้าที่ห่างออกไป ก็มีรูปร่างของ “ คน ” ปรากฎขึ้น

เมื่อรูปร่างของ “ คน ” ปรากฎตัวขึ้น มันก็ทำให้พวกเราตกตะลึงในทันที

 

เห็นเพียงตัวของผู้ชายคนนั้นบวมไปหมด มีบางแห่งเน่าไปแล้ว และมาพร้อมกับกลิ่นลมหายใจที่เหม็นเน่า

ในเวลานี้เขาก็กำลังเขย่งเข้ามา เหมือนกับศพเดินได้ ส่งเสียงร้อง “ กากากา ” พร้อมกับตรงเข้ามาทางที่พวกเรายืนอยู่

แต่มันยังไม่จบเพียงเท่านี้ ขณะที่ศพเน่าๆนั้นปรากฎตัว รอบๆก็ยังมีศพแบบเดียวกันถึงสี่ห้าศพปรากฎออกมาเช่นกัน

สภาพของพวกเขาเหมือนซ่อมบี้ ทุกตัวต่างเขย่งเข้ามา จากทั่วทุกสารทิศของตำบล

นอกจากศพจะเน่า ค่อนข้างน่ารังเกียจ และร่างกายขยับได้เหมือนที่บรรยายไปตอนแรกแล้ว ที่ใบหน้าของพวกเขายังขาวซีดไม่มีพลังชีวิต แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรผิดปกติอีกแล้ว

 

และชุดที่พวกเขาใส่ ก็เหมือนกับศพที่พวกเราเจอเมื่อก่อนหน้านี้เป๊ะ ต่างก็ใส่เสื้อคลุมกันหนาว และแบกกระเป๋าเหมือนกัน

ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่รอบๆคอของพวกเขา ก็จะมีลักษณะพิเศษเหมือนกัน นั้นก็คือรอยกัดของเขี้ยว

เห็นได้ชัดว่า คนพวกนี้มาด้วยกัน

แต่พวกเขาถูกกัดตายที่นี่ จนกลายเป็น “ ศพเดินได้ ” ที่แปลกประหลาด ไม่มีวิญญาณ และไม่มีผีที่ควบคุมอยู่ใกล้ๆ แม้จะไม่เท่ากับผีดิบ แต่ก็ถือว่าเป็นศพเดินได้

ผมรีบกวาดสายตามองไปรอบๆ พบว่าหนึ่งในนี้ไม่มีเสี่ยวม่านอยู่

 

ในใจจึงอดไม่ได้ที่จะมีไฟแห่งความหวังลุกขึ้นมา หรือบางทีเสี่ยวม่านอาจจะยังมีชีวิตอยู่

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆผีตาแก่ก็พูดออกมา “ พวกนักพัฒนาที่น่ารังเกลียดอย่างพวกแก กล้าทำร้ายหลานสาวของฉัน อีกเดี๋ยวฉันจะสูบพลังชีวิตจากพวกแกให้หมด ทำให้ศพของพวกแกกลายเป็นทาสของฉัน…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset