ศพ – ตอนที่ 149 ปกป้อง

ตอนที่ 149 ปกป้อง

หลังจากที่ผีผู้หญิงพูดออกมา ร่างที่เลือนรางของเธอ ก็ได้เริ่มสลายตัว ระหว่างนั้นแสงอ่อนๆก็ได้สว่างขึ้น ทันใดนั้นร่างของเธอก็หายไปจากสายตาของพวกเราทันที

เมื่อร่างของผีผู้หญิงวัยกลางคนหายไป พวกผีที่อยู่ห่างออกไป ก็ส่งเสียงคำรามออกมาทันที

“ สมควรตาย ! แกฆ่าพี่สะใภ้ของฉัน ! ”

“ พี่สะใภ้ ! ”

“ …… ”

เสียงดังก้อง และเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

 

แต่ตอนนี้ ผมกลับไม่ได้สนใจผีพวกนั้น

ผมเลิกคิ้วขึ้น มองดูแสงที่จางหายไป เงยหน้าขึ้นมองไปทางที่วิญญาณลอยหายไป อดคิดถึงฉากที่วิญญาณผีผู้หญิงแตกสลายหายไปเมื่อกี้ไม่ได้

เห็นได้ชัดว่าตอนที่วิญญาณของเธอใกล้สลายหายไป สายตาคู่นั้น และท่าทางแบบนั้น กลับเต็มไปด้วยความผ่อนคลายและรอคอย

ในเวลานี้หยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานเห็นผมนิ่งเงียบ จึงพูดกับผมทันที “ เหล่าติง เลิกมองได้แล้ว ต้องเตรียมตัวสู้แล้ว ! ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมถึงได้สติกลับมาอีกครั้ง

 

จากนั้นผมก็กวาดสายตามองไปรอบๆทันที พบว่าตอนนี้พวกผีกลุ่มนั้นได้แยกเขี้ยวใส่พวกเรา และเริ่มเดินเข้ามาหาพวกเราแล้ว

เมื่อรู้สึกถึงพลังหยินที่ชั่วร้ายของผี 11 ตน ในใจของผมก็รู้สึกถึงแรงกดดันอันมหาศาลที่กำลังไหลเข้ามา มันอึดอัดมากๆ

และพวกเราเดาว่า เมื่อพวกเราเข้าปะทะกับผี 11 ตัวแล้ว ถ้าพวกเราไม่ใช้พิธีพิเศษบางอย่าง

ต่อไปผลที่จะชนะในการต่อสู้นี้ของพวกเราก็จะกลายเป็นศูนย์ ไม่มีทางที่จะเอาชนะได้แน่

หยางเฉ่วแสดงท่าทางหนักใจ เธอพูดว่า “ ต่อไปพวกเราจะต้องต่อสู้อย่างดุเดือดแล้ว ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมละ ! ”

 

ขณะที่พูด หยางเฉ่วก็กัดนิ้วโป้งของตัวเอง จากนั้นก็รีบนำมันมาวาดยันต์ที่อยู่บนมือซ้ายของตัวเองอย่างรวดเร็ว

เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังเสริมพลังให้กับคาถา ไม่อย่างนั้นหยางเฉ่วก็คงไม่กัดนิ้วโป้งของตัวเองในเวลานี้

ส่วนเฟิงเฉ่วหาน ก็คิดจะใช้นักฆ่าของเขา

เขาหยิบขวดยาสีดำออกมาแล้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดจะกินยาปลุกพี่เฟิง

“ เหล่าติง นายปกป้องฉันแป๊บนึงนะ ! ” เฟิงเฉ่วหานพูดเบาๆ เขาเปิดฝาขวดออกเรียบร้อยแล้ว

ผมไม่พูดอะไร เพียงพยักหน้าให้เฟิงเฉ่วหาน ผมเข้าใจดีว่าหลังจากที่เขากินเข้าไป ร่างกายจะอ่อนแออยู่พักหนึ่ง

 

หลังจากนั้น เฟิงเฉ่วหานก็นำยาเม็ดสีดำกลืนลงไป

ระหว่างนั้น สีหน้าของเฟิงเฉ่วหานก็เปลี่ยนไป ตาเหลือกขึ้น “ ปึก ” และล้มลงไปกับพื้นทันที

โชคดีที่ผมรู้ผลลัพธ์หลังจากเฟิงเฉ่วกินยากินยาเข้าไป ดังนั้นผมจึงรับตัวเขาเอาไว้ได้ทัน

จากนั้นก็ค่อยๆวางเขาลงกับพื้น ผมจับดาบไม้ขึ้นและกลับไปยืนปกป้องเขาเอาไว้กับหยางเฉ่วทั้งทางด้านซ้ายขวา

ในเวลานี้เฟิงเฉ่วหานเริ่มเป็นลมชักแล้ว เขากระตุกและพ่นฟองน้ำลายสีขาวออกมา

ในวินาทีนี้ จู่ๆผีตาแก่ที่เป็นผู้นำกลุ่มก็ตะคอกมาทางพวกเรา “ ฆ่าพวกมันเลย ! ”

เสียงนี้เพิ่งหยุดออกไป ผีร้ายทุกตัวที่อยู่รอบๆก็ยกกรงเล็บขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

พวกมันคำราม “ โฮก ” ออกมาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็พุ่งเข้ามาหาพวกเราทันที

การเคลื่อนไหวเร็วมาก ดวงตาสีขาวโพน แยกเขี้ยวที่แหลมคม เมื่อผมเห็นสภาพแบบนั้นผมก็รู้สึกชาไปทั้งตัว

ม่านตาของผมและหยางเฉ่วขยายออกอย่างรวดเร็ว รีบตะโกนทันที “ มาแล้ว ! ”

หลังจากพูดจบ ผมก็ยกดาบไม้ในมือขึ้น เล็งไปที่ผีร้ายตนหนึ่งที่กำลังพุ่งเข้ามาหาผม จากนั้นก็แทงออกไปอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเดียวกัน ทางด้านหยางเฉ่วก็เจอการโจมตีของผีร้ายเช่นกัน

แต่หยางเฉ่วร้ายกาจกว่าผม นี่เป็นคลื่นการโจมตีลูกแรก ดังนั้นเธอจึงหลบมันได้อย่างง่ายดาย

 

แต่หลังจากนั้นมันก็ค่อนข้างยุ่งยาก ตอนนี้ผีสี่ตนร่วมกันโจมตีผมพร้อมกัน

ตามพลังในตอนนี้ของผม แค่ป้องกันการจู่โจมของผีตนเดียวก็ยากแล้ว

แต่ตอนนี้เป็นหนึ่งต่อสี่ ผมก็คงทำได้เพียงถูกศัตรูทำร้าย

แต่ตอนนี้ ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องอดทนต่อไป

“ ไปตายซะ ! ” ผมตะโกน พร้อมกับกวาดดาบไปทางพวกผีอย่างต่อเนื่อง

แต่ผีร้ายพวกนั้นคำราม “ โฮกโฮก ” ออกมาไม่หยุด “ ฉึกฉึกฉึก ” ใช้กรงเล็บเข้ามาฟาดฟันร่างกายของผมอย่างต่อเนื่อง

 

ผมจะต่อกรไหวได้ยังไง ผลลัพธ์เมื่อสู้กันได้สองรอบ ที่หน้าอกและหลังของผม ก็ได้รับบาดเจ็บ ถูกเล็บข่วนจนเลือดไหล

ในเวลานี้ผมไม่มีเวลามาสนใจความเจ็บปวด ต้องคอยปกป้องเฟิงเฉ่วหานอยู่ข้างๆ ผมจึงกัดลิ้นของตัวเองทันที

เมื่อเล็งผีสองสามตนที่กำลังเข้ามาเรียบร้อย ผมก็ “ ฟู่ ” พ่นเลือดที่ไหลจากลิ้นออกไปทันที

ผีสองสามตนนั้นรับมือไม่ทัน จึงถูกผมพ่นใส่เต็มๆ

พวกเขาต่างกรีดร้องโหยหวนออกมาทันที ตำแหน่งที่โดนเลือดของผม ก็มีเสียง “ ซ่าซ่าซ่า ” ออกมาทันที ดูเหมือนเนื้อตรงบริเวณนั้นกำลังเน่า

 

แต่ นี่เป็นการถ่วงเวลาพวกเขาได้แค่เล็กน้อย เพราะมันไม่อันตรายถึงชีวิต

แน่นอน ถ้าสามารถถ่วงเวลาให้พี่เฟิงปรากฎตัวได้ ด้วยฝีมือของผี 11 ตนนี้ พวกเขาก็น่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพี่เฟิงด้วยซ้ำ

ทางผมกำลังต่อสู้อย่างยากลำบาก แม้จะพ่นเลือดออกมา แต่ก็ยังต่อสู้ด้วยความลำบากอยู่ดี

ส่วนทางด้านหยางเฉ่ว แม้ว่าจะเจอกับการต่อสู้อันดุเดือด แต่ภายในสิบกระบวนท่า เธอก็น่าจะไม่แพ้เช่นกัน

ตอนนี้ยันต์ฝ่ามือของหยางเฉ่วยังโจมตีออกไปอย่างต่อเนื่อง เสียงของคาถา “ ตับตับตับ ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผีร้ายพวกนั้นตกใจจนไม่กล้าเข้าใกล้

 

และในเวลานี้เอง ผีร้ายตนหนึ่งก็อาศัยตอนที่ผมไม่สนใจ เข้ามาลอบโจมตีผมจากทางด้านหลัง

มันเข้ามากอดรัดจากทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสิ่งนี้ สีหน้าของผมก็เปลี่ยนไปทันที ผมเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา ผมคิดจะใช้เลือดในปากพ่นออกไป แต่มันก็ไม่มีโอกาสให้ลงมือ

เพราะหลังจากที่ถูกควบคุมการเคลื่อนไหว ผมก็ทำได้แค่ยืนรอความตายเท่านั้น

แต่ระหว่างนั้นผมก็พยายามดิ้นรนอย่างหนัก แต่ผีร้ายตนนั้นมีพลังมหาศาลมาก ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย

ในเวลาเดียวกัน จู่ๆผมก็ได้ยินเสียงโหยหวนที่น่าขนลุกของผีร้ายดังขึ้นข้างหู “ ให้ฉันได้ลิ้มรสเลือดสกปรกของแกหน่อยก็แล้วกัน ! ”

หลังจากพูดจบ ผมก็ได้ยินเสียงคำราม “ โฮก ” และไอเย็นที่ไหลมากระทบที่ลำคอของผม

 

ในใจมีเสียงดัง “ กึก ” ผมตะโกนในใจทันทีจบกัน

เจ้าผีนั้นต้องกัดคอผมแน่ ถ้าโดนกัดละก็ ผมจะต้องจบเห่แน่

แต่ตอนนี้ร่างกายถูกควบคุมอยู่ จึงไม่สามารถดิ้นรนอะไรได้ ได้ยินแค่เสียงทุกอย่างที่เกิดขึ้น

แต่ในนาทีวิกฤตนี้ จู่ๆหยางเฉ่วก็ตะโกนออกมา “ ไสหัวไป ! ”

หลังจากพูดจบ ผมก็ได้ยินเสียงระเบิดดังมาจากข้างหลัง “ ปัง ” ทันใดนั้นพลังหยางก็กระจายตัวทันที

แรงปะทะมหาศาลเคลื่อนตัวมาจากข้างหลัง ร่างกายผมสั่นไหว และล้มลงไปกระแทกกับพื้นทันที

ส่วนที่หลังของผม ก็มีเสียงกรีดร้องของผีร้ายดังขึ้น “ อ๊าก ” เห็นได้ชัดว่ามันกำลังทรมานมาก

แม้ว่าตัวผมจะล้มลงไปกับพื้น แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ

 

และผมยังมั่นใจ ว่าหยางเฉ่วจะต้องใช้คาถาบางอย่างจัดการกับผีร้ายที่อยู่ด้านหลังผม ช่วยผมจากอันตราย

ตอนนี้ผมจะกล้าชักช้าอยู่ได้ยังไง รีบออกแรงอย่างรวดเร็ว ดึงร่างผีร้ายที่อยู่หลังผมออก จากนั้นก็รีบลุกขึ้นมาทันที

ผมมองหน้าผีร้ายที่กำลังทรมาน สีหน้าของผมเคร่งขรึมขึ้นทันที

สิ่งที่หยางเฉ่วและเฟิงเฉ่วหานพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ไม่ผิดเลยสักนิด บางครั้งความเมตตาของเรา ก็เป็นอันตรายต่อชีวิตของตัวเอง

บนโลกมีผีมากมายขนาดนั้น ไม่มีใครสามารถช่วยได้ทั้งหมด

 

ขอแค่รักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้ ก็จะสามารถช่วยเหลือวิญญาณที่บริสุทธิ์ได้อีกมากมาย

เมื่อผ่านประสบการณ์เฉียดตายเมื่อกี้มาได้ ในเวลานี้ ใจของผมก็ไม่ “ อ่อนแอ ” เหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ผม “ มีความรู้สึก จิตใจมั่นคง ” และมีสติมากกว่าเดิม

ผมไม่ลังเล ยกดาบไม้ในมือขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เล็งไปที่ประตูชีวิตของผีร้าย จากนั้นก็แทงลงไปทันที

“ พี่ชาย ขอโทษด้วยนะ ! ”

เสียงพึ่งจางหาย “ ฉึก ” ดาบเล่มนั้นก็แทงลงไปที่ประตูชีวิตของอีกฝ่ายแล้ว

“ อ๊ากก ! ” เสียงกรีดร้องดังขึ้นทันที

 

ไอดำไหลทะลักออกมาจากร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว ผีร้ายตนนั้นดิ้นไปมาสองครั้ง และก็ไม่เคลื่อนไหวอีกเลย

เมื่อวิญญาณถูกทำลายประตูชีวิต ก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีทางจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

แต่ขณะที่วิญญาณของเขาแตกสลาย ดวงตาก็มีนัยน์ตาปรากฎขึ้นอีกครั้ง สติของเขาฟื้นกลับมาแล้ว

ไม่ใช่แค่นี้ เขายังเหมือนกับวิญญาณผีผู้หญิงวัยกลางคนก่อนหน้านี้ ในเวลานี้เขามองผมอย่างใจเย็น ใช้น้ำเสียงที่อ่อนแรงพูดออกมา “ ฉัน ฉันจะได้ จะได้หลุดพ้นแล้ว ขอบ ขอบใจนายมาก…… ”

หลังจากพูดจบ “ ตูม ” ผีร้ายตนนั้นก็แตกสลายไปทันที เขากลายเป็นแสงน้อยๆลอยหายไปในพริบตา

เมื่อผีร้ายตนนี้หายไป กลุ่มผีร้ายที่ต่อสู้อยู่ก็ระเบิดพลังออกมาทันที

 

“ สมควรตาย แกฆ่าน้องชายของฉัน ! ”

“ ผัว แกมันนักพัฒนาที่สมควรตาย แกฆ่าผัวของฉัน…… ”

“ …… ”

เสียงโมโหของพวกผีดังขึ้น และขณะที่พวกเขาตะโกน

พลังชั่วที่อยู่ในร่างของพวกเขาก็ระเบิดออกมาอีกครั้ง อวัยวะทั้งห้าของพวกเขาดูเหมือนจะบิดเบี้ยว สภาพของทุกตนดูดุร้ายยิ่งกว่าเดิม

ผมและหยางเฉ่วรีบถอยไปข้างหลังสองก้าว หายใจด้วยความยากลำบาก รู้สึกใจสั่นนิดหน่อย

แต่ในตอนนั้นเอง เฟิงเฉ่วหานที่อยู่ด้านหลัง กลับค่อยๆลุกขึ้น

เขาส่ายหัวไปมา ในเวลาเดียวกันก็พูดด้วยเสียงห้าวๆ “ ไอ้เจ้าขยะนี้ หาเรื่องมาให้ฉันอีกแล้ว…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset