ศพ – ตอนที่ 150 พี่เฟิงนักเลงของผม

ตอนที่ 150 พี่เฟิงนักเลงของผม

ขณะที่พวกผีกำลังพุ่งเข้ามา เสียงของหานเฉ่วเฟิงที่นอนอยู่ด้านหลังก็ดังขึ้นมาอย่างกระทันหัน

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผมก็ดีใจทันที

ผมรีบหันไป “ พี่เฟิง คุณมาแล้ว ! ”

ในเวลานี้หานเฉ่วเฟิงลุกขึ้นยืนแล้ว เขาค่อยๆหันมามองผมแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองพวกผีที่กำลังพุ่งเข้ามา

เขายกยิ้มที่มุมปากอย่างเย็นชา “ เจ้าเด็กน้อย นายกับเจ้าขยะนี้ขยันหาเรื่องจริงๆนะ นี่เพิ่งผ่านไปไม่นาน ก็โดนพวกนายหาเรื่องมาให้อีกแล้ว ! ”

 

ขณะที่พูด หานเฉ่วเฟิงก็หยิบบุหรี่ออกมา เขาจุดมันทันที

ท่าทางแบบนั้นดูชิวมาก ราวกับกลุ่มผีตรงหน้า ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา

“ พี่เฟิง พวกเราไม่ใช่คนปราบผีเหรอ ! ช่วงนี้ก็แค่ไปเจอพวกไม่ดีเยอะหน่อยก็เท่านั้นเอง ! ” ผมพูดด้วยความลำบากใจ

แต่ผีร้ายพวกนั้นกลับทนไม่ไหวแล้ว ใบหน้าของผีตาแก่บิดเบี้ยว เขาตะโกนด้วยความโมโหอย่างมาก

“ รออะไรอยู่ล่ะ กัดไอ้พวกนักพัฒนานี้ให้ตายเลย ! ”

คำพูดเพิ่งหลุดออกมา ผีร้ายกลุ่มนั้นก็คำราม “ โฮก ” ทันที จากนั้นก็พุ่งเข้ามาหาพวกเราอีกครั้ง

เมื่อเฟิงเฉ่วหานเห็นสิ่งนี้ ก็เลิกคิ้ว สูบบุหรี่อย่างรวดเร็ว

 

ขณะที่พวกผีร้ายกำลังพุ่งเข้ามาบุหรี่มวนนั้นก็ถูกโยนลงพื้นอย่างรวดเร็ว

เขาใช้มือหยิบดาบไม้ขึ้นมา เตรียมจู่โจมพวกผีที่กำลังพุ่งเข้ามาทันที

วินาทีนั้น ผมและหยางเฉ่วกำดาบไม้ไว้อยู่แล้ว เตรียมรับมือกับศึกที่กำลังมาถึง

แต่ขณะที่ผีตนนึงเข้ามาอยู่ในเขตการโจมตีของพวกเรา พี่เฟิงก็วิ่งออกไป เขาตะโกนออกมาทันที

“ …แม่รนหาที่ตาย ! ”

พลังของพี่เฟิงสูงกว่าหยางเฉ่วนิดหน่อย และเขาไม่ได้เก่งเรื่องอาถาอาคม แต่เป็นการต่อสู้ระยะประชิด

เมื่อเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายได้ เขาก็ไม่รอให้ผีร้ายได้ทำอะไร พี่เฟิงแทงเข้าไปที่หน้าอกของอีกฝ่ายทันที

 

ในเวลาเดียวกันเขาก็ทำมือหมุนวน เพื่อสร้างบาดแผลให้ใหญ่กว่าเดิม

วินาทีนั้นผีร้ายตนนั้นก็กรีดร้อง “ อ๊ากก ” ออกมา เสี้ยงวินาทีต่อมา “ ปัง ” เสียงระเบิดก็ดังขึ้น วิญญาณของผีร้ายตนนั้นก็แตกสลายไปในทันที

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมและหยางเฉ่วก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง พลังสูงอะไรขนาดนี้

พี่เฟิงสามารถต่อสู้กับเจ้าเชี่ยนเชี่ยนที่เป็นผีร้ายในระดับชุดสีเหลืองได้ เป็นธรรมดาที่พวกผีชุดขาวนี้ จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

หลังจากฆ่าตายในดาบเดียว พี่เฟิงก็ยังด่าออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็โบกดาบไม้ให้กับผีร้ายที่กำลังเข้ามา

พี่เฟิงเร็วมาก เขาใช้กำลังเอาชนะ แต่ปากกลับพูดไม่หยุด เขายังคงด่าอีกฝ่ายเรื่อยๆ เหมือนกับพวกนักเลงไม่มีผิด

 

คำว่า…แม่แบบนี้ สำหรับพี่เฟิงแล้ว ถือว่าเป็นคำพูดที่อ่อนโยนที่สุด

อย่ามองว่าอีกฝ่ายเป็นผีจำนวนมาก แต่ผีพวกนี้กลับไม่สามารถต่อกรกับพี่เฟิงได้เลย

ก่อนหน้านี้ยังพยายามบดขยี้พวกเรา แต่ตอนนี้ด้วยความช่วยเหลือของผมและหยางเฉ่ว พี่เฟิงจึงกลายเป็นกำลังเสริมให้พวกเราได้บดขยี้พวกผีเยอะขึ้น

พี่เฟิงด่าอีกฝ่ายอย่างไร้อารมณ์ และเล่นต่อสู้กับอีกฝ่ายไปพร้อมๆกัน

ระหว่างนี้ พวกผีร้ายเหล่านั้นก็กรีดร้องออกมาอย่างต่อเนื่อง พวกมันถอยไปด้านหลังเรื่อยๆ

พี่เฟิงลงมือได้โหดเหี้ยมมาก นี่เพิ่งต่อสู้ได้ไม่นาน ผีร้ายสามตนก็ตายคาดาบของเขาไปแล้ว

 

บวกกับผีที่เราฆ่าตายไปสองตัว ตอนนี้ผีทั้ง 11 ตนก็ลดเหลือ 6 ตนแล้ว

และหนึ่งในผี 6 ตนนี้ก็มีผีที่กำลังบาดเจ็บหนัก 1 ตน เป็นผีเด็กผู้หญิงที่ไม่มีแรงจะสู้แล้ว

การต่อสู้สามต่อห้า จากจำนวนคนทำให้พวกเราต้องเจอความลำบาก

แต่สำหรับพี่เฟิงแล้ว เขาสามารถบดขยี้ผีห้าตัวนี้ได้อย่างเต็มกำลัง

แต่ผีร้ายพวกนั้นก็ไม่ได้รับมือง่ายๆ แต่ละตนต่างไม่กลัวตาย ถึงแม้จะเห็นพี่เฟิงดุร้ายขนาดไหน แต่พวกเขาก็ยังคำรามออกมา

พวกเขาตะโกนไม่หยุดว่า ฆ่า ฆ่าไอ้พวกนักพัฒนานั้น

 

ตอนนี้ พี่เฟิงได้ปะทะกับผีอีกครั้ง

หยางเฉ่วเห็นโอกาส จึงเอื้อมมือเข้าไปแปะยันต์

“ ตูม ” เสียงระบิดดังขึ้น ผีตนนั้นยังไม่ทันได้ร้องออกมา วิญญาณของเขาก็แตกสลาย กลายเป็นแสงไปแล้ว

ในตอนนี้เอง ผมก็เห็นว่าสถานการณ์สามารถควบคุมได้แล้ว จึงพูดกับหานเฉ่วเฟิงว่า “ พี่เฟิง ตอนนี้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ช่วยไว้ชีวิตพวกเขาได้ไหม อีกเดี๋ยวผมอยากจะส่งวิญญาณพวกเขาให้พ้นทุกข์ ! ”

แม้ว่าผมจะฆ่าพวกเขาบางตนไปแล้ว และพวกเขาก็เกือบจะฆ่าผมไปแล้วเช่นกัน

แต่ในใจของผมรู้ดี นั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ผมต้องทำ พวกเขาเองก็ต้องทำเหมือนกัน

 

ยังไงผมก็เป็นคนปราบผี และอาจารย์ก็เคยบอกว่า ต้องรักษาหัวใจของตัวเองเอาไว้ให้ดี

ในเมื่อสถานการณ์สามารถควบคุมได้แล้ว ถ้าไว้ชีวิตได้ ผมก็ขอเลือกที่จะไม่ฆ่า สำหรับคนปราบวิญญาณร้ายหรือพวกวิญญาณที่กำลังจะตายแล้ว ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งนั้น

หลังจากพี่เฟิงได้ยินผมพูด ที่มุมปากของเขาก็มีรอยยิ้มปรากฎขึ้น “ ได้ ! ”

หลังจากพูดจบ ร่างกายของพี่เฟิงก็สั่นไหว ถอนหายใจเฮือกใหญ่

หลังจากนั้น พี่เฟิงก็โยนดาบไม้ในมือทิ้ง มองผีสี่ตัวที่ยังมีพลังต่อสู้อยู่ จากนั้นก็เริ่มโจมตีใส่พวกเขาอีกครั้ง

ผีสี่ตนนี้สามารถต้านทานพี่เฟิงและพวกเราได้ที่ไหนละ ผลลัพธ์ไม่ถึง 5 นาที ทุกตนก็ถูกพี่เฟิงซัดลงไปนอนกองกับพื้นแล้ว

 

ส่วนผมและหยางเฉ่ว ก็หยิบยันต์ออกมา ขอแค่ผีหนึ่งตนลงมานอนอยู่กับพื้น

พวกเราสองคนก็จะเข้าไปแปะยันต์อย่างรวดเร็ว สะกดวิญญาณของเขาเอาไว้ทันที

หลังจากผีตนสุดท้ายถูกพี่เฟิงอัดเสร็จ ผีทั้ง 11 ตัวก็ถือว่าถูกจัดการแล้ว

พี่เฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ “ แม่เจ้า ! เจ้าขยะนี้ ถูกทำร้ายจนกลายเป็นแบบนี้เลยเหรอ มันช่างโง่จริงๆ…… ”

พี่เฟิงทั้งเยาะเย้ย และใช้มือลูบแผลที่แขนของตัวเองไปพร้อมๆกัน

ส่วนผมและหยางเฉ่วกลับไม่สนใจเขา พวกเรามองผี 5 ตนที่อยู่ตรงหน้า

สิ่งที่ผมต้องทำขั้นต่อไปคือ ขับไล่พลังชั่วร้ายที่อยู่ในร่างกายของพวกเขา จากนั้นก็ถามหาเบาะแสเกี่ยวกับเสี่ยวม่านจากปากของพวกเขา

 

เพราะการขับไล่พลังชั่วร้าย ไม่ใช่เรื่องเล็กๆที่ทำกันได้ง่ายๆ

ดังนั้นผมและหยางเฉ่วจึงเลือกผีมาหนึ่งตน นั้นก็คือผีเด็กผู้หญิงที่มีอายุ 6-7 ขวบที่ถูกพวกเราทำร้ายเมื่อตอนแรกเริ่ม

พลังชั่วร้ายของผีเด็กตนนี้อ่อนที่สุด ถ้าเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้น ก็จะจัดการได้ง่าย

หลังจากเลือกเป้าหมายเสร็จ ผมก็ให้หยางเฉ่วหยิบยันต์ออกมาหนึ่งแผ่น เพราะคาถาของเธอทรงพลังกว่าผม

ส่วนผมก็หยิบธูปออกมาจากกระเป๋าสามดอก เผายันต์เหลืองสองแผ่น

เพราะผีเด็กถูกยันต์สะกดเอาไว้ ตอนนี้จึงได้ยินเสียงพูดของพวกเราเท่านั้น

 

หลังจากผมเผายันต์เหลืองเสร็จ ในปากก็ท่องพวกคำส่งวิญญาณที่เคยเรียนมาจากอาจารย์

ขณะที่ผมกำลังท่องอย่างต่อเนื่อง ธูปที่ปักอยู่บนดิน ตอนนี้ดูเหมือนจะลอยตั้งขึ้น จากนั้นก็เข้าไปในจมูกของผีเด็กทันที

เมื่อเห็นฉากนี้ หยางเฉ่วก็นำยันต์ที่วาดเสร็จแล้ว ไปแปะที่หน้าอกของผีเด็ก ในเวลาเดียวกันก็ดึงยันต์สะกดวิญญาณออกจากประตูชีวิตผี

จากนั้น หยางเฉ่วก็ประสามมือ เริ่มเสกคาถาอย่างรวดเร็ว

สุดท้ายเธอก็ทำมือท่าเซียนโฉ่วยิ่ง และตะโกนออกมาว่า “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง ทำลาย ! ”

เมื่อเสียงนี้หลุดออกไป “ ตูม ” ยันต์แผ่นนั้นก็มีเปลวไฟสีเขียวลุกโชนขึ้นมาเป็นวงกลม และมอดไหม้ในทันที

 

ทันใดนั้นเสียง “ ปัง ” ก็ดังตามมาติดๆ

ยันต์แผ่นนี้ไม่ใช่ยันต์ที่เอาไว้ใช้โจมตี มันเป็นยันต์ขจัดพลังชั่วร้ายอีกชนิดหนึ่ง

มีอักษรณ์คำว่า “ ปราบ ” เขียนเอาไว้ มีความสามารถในการขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากศพ

หลังจากที่ยันต์ระเบิดออก ผีเด็กตนนั้นก็ดิ้นไปมากับพื้น

ในปากกรีดร้องอย่างรุนแรง “ อร๊าย ! เจ็บ เจ็บมาก…… ”

ขณะที่พูด เธอก็ยังดิ้นไม่หยุด เห็นได้ชัดว่ากำลังทรมานมาก

 

แต่ขณะที่เสียงกรีดร้องของเธอดังขึ้น พวกเรากลับมองเห็นพลังหยิน ที่กำลังไหลออกมาจากด้านในร่างกาย ผ่านทางปากของเธอ

พลังชั่วร้ายที่อยู่ในร่างของเธอ ค่อยๆลดลงทีละนิด

ดวงตาที่เคยไร้ชีวิตชีวา และมีสีขาวโพน ตอนนี้มันได้มีนัยน์ตาปรากฎขึ้นมาเล็กน้อย

เสียงกรีดร้องของเธอ ก็ค่อยๆอ่อนลง

หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที ผีเด็กก็กลับมาสงบอีกครั้ง

พวกเราไม่ได้ขยับไปไหน เพียงยืนมองอยู่ข้างๆ

 

แต่สามารถรู้ได้อย่างชัดเจน ว่าพลังชั่วร้ายในร่างกายของผีเด็กไม่มีเหลืออยู่แล้ว

หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ผีเด็กตนนั้นก็ลุกขึ้นมาจากพื้น

เมื่อเห็นผีเด็กลุกขึ้นมา พวกเราก็อดไม่ได้ที่จะหวาดระแวง

แต่ผีเด็กตนนั้นกลับแสดงหน้าตาสบายๆออกมา ราวกับลูกผู้ดีมีการศึกษา มองไปบนท้องฟ้าและสูดหายใจเข้าลึกๆ

ตอนนี้ ท่าทางของเธอดูไม่เหมือนผีร้ายเลยสักนิด ตอนที่เธอเพิ่งได้สติกลับมาไม่นานเธอก็สับสนอยู่พักหนึ่ง แต่ก็เผยท่าทางมีชีวิตชีวา และใบหน้าที่ผ่อนคลาย

จากนั้น เธอก็อ้าแขนออก และพูดด้วยเสียงที่ตื่นเต้น “ หลุดพ้นแล้ว ในที่สุดฉัน ก็พลุดพ้นแล้ว…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset