ศพ – ตอนที่ 151 ผีเด็กได้สติ

ตอนที่ 151 ผีเด็กได้สติ

เมื่อเห็นท่าทางของผีเด็ก และได้ยินสิ่งที่เธอพูด ผมและหยางเฉ่วต่างแสดงท่าทางดีใจจนออกหน้าออกตา ยกเว้นก็แต่พี่เฟิงเท่านั้นที่ทำหน้าตาตายด้านราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

สำหรับพวกเราคนปราบสิ่งชั่วร้าย การที่ทำให้วิญญาณร้ายกลับมามีสติได้นั้น ถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่ง

เหมือนกับหมอคนหนึ่ง ที่สามารถรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้

แต่หลังจากผีเด็กถอนหายใจออกมา ทันใดนั้นเธอก็หันไปหาผีอีกสี่ตนที่กำลังถูกยันต์สะกดเอาไว้บนพื้น

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ท่าทางของผีเด็กก็เปลี่ยนไปทันที เธอพุ่งเข้าไปหาผีอีกสี่ตน

 

“ แม่ ปู่…… ”

ขณะที่พูด สีหน้าของผีเด็กก็เต็มไปด้วยความเบิกบาน เธอดูดีใจเป็นอย่างมาก

แต่พวกเรากลับไม่สามารถให้ผีเด็กเข้าไปใกล้ผีทั้งสี่ตนได้ เพราะพลังชั่วร้ายของผีสี่ตนนี้ยังถูกกำจัดออกไม่หมด ดังนั้นพวกเขายังอันตรายอยู่

ผมเข้าไปยืนหยุดอยู่ที่หน้าผีเด็ก ในเวลาเดียวกันก็พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ ตอนนี้เธอยังเข้าใกล้พวกเขาไม่ได้ ! ”

จนกระทั่งถึงตอนนี้ ผีเด็กถึงได้รับรู้ถึงการมีตัวตนของผมและหยางเฉ่ว

เธอยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จากนั้นก็พูดด้วยความสงสัย “ พวกคุณ พวกคุณเป็นใคร ”

 

ผมและหยางเฉ่วไม่รู้สึกแปลกใจ เพราะผีเด็กพึ่งได้สติ ความทรงจำเมื่อก่อนหน้านี้จึงยังลางเลือน หรือไม่ก็ยังไม่เข้ามาอยู่ในหัวสมอง

ดังนั้นผมจึงพูดเบาๆว่า “ เธอคิดให้ดีๆ ว่าเธอหลุดพ้นได้ยังไง ! ”

“ หลุด หลุดพ้นได้ยังไง…… ” ผีเด็กพึมพำพูดกับตัวเอง

แต่เสียงเพิ่งเงียบลง “ พรึบ ” ทันใดนั้นสีหน้าของผีเด็กก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง แววตาที่ใช้มองพวกเราเปลี่ยนไปทันที

“ เป็น ! เป็นพวกคุณ ! ” ผีเด็กพูดด้วยความตกใจ

แต่เสี้ยววินาทีต่อมา เธอก็กุมหัวของตัวเอง เผยท่าทางทรมานออกมา “ ไม่ ไม่ ไม่เอา อร๊าย…… ”

 

ขณะที่ความทรงจำของเธอเริ่มกลับคืนมา ความเจ็บปวดเมื่อครั้งอดีตก็ค่อยๆไหลเข้ามาสู่หัวใจของเธอ

ทันใดนั้น ผีเด็กก็เริ่มบ้าคลั่ง ตบที่หัวของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมกับตะโกนออกมาว่า “ ไม่เอา ไม่เอา ” อย่างต่อเนื่อง

ผมขมวดคิ้ว เมื่อเห็นท่าทางที่เจ็บปวดทรมานของผีเด็ก ผมกลับไม่ได้เข้าไปปลอบใจทันที

เพราะความทรงจำในอดีตพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องจริง เมื่อมันโผล่ขึ้นมาในสมอง เธอถึงได้มีสภาพเจ็บปวดทรมานแบบนี้ แต่เธอต้องรับให้ได้กับทุกสิ่ง

หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที ผีเด็กก็เลิกกรีดร้อง หลังจากจิตใจสงบลงมานิดหน่อย เธอก็ได้ยินเสียงผมพูดว่า “ ตอนนี้จำได้แล้วใช่ไหม ”

 

ผีเด็กที่นั่งอยู่บนพื้น ไม่ได้มองหน้าผม แค่พยักหน้าให้เล็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า “ พวกคุณฆ่าคุณปู่ แม่ และลุงสาม…… ”

ผมทำใจให้สงบลงเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบกลับด้วยความหนักแน่น “ ขอโทษด้วย ฉันไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ พวกเราไม่สามารถช่วยพวกเธอได้ทุกคน…… ”

เมื่อผีเด็กได้ยินคำพูดนี้ ร่างกายของเธอก็สั่นเล็กน้อย จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมา

หน้าของผีเด็กซีดเซียวมาก แต่ดวงตาของเธอ กลับไม่ได้ดูน่ากลัวมากนัก

ผมแสดงสีหน้าจริงใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

 

แต่วินาทีนั้นผีเด็กกลับแสดงสีหน้าโศกเศร้าออกมา จากนั้นก็พูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่อ้อนวอน “ งั้น งั้นพวกคุณ พวกคุณยังช่วยครอบครัวของฉันอีกได้ไหม ทำ ทำให้พวกเขาสามารถหลุดพ้น ขอ ขอร้องพวกคุณละ…… ”

หลังจากพูดจบ ผีเด็กตนนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้น และคำนับมาทางพวกเรา

เมื่อเห็นอีกฝ่ายคำนับให้ ในใจของผมก็รู้สึกแปลกๆ

แต่ไม่รอให้ผมได้ห้ามการกระทำของเธอ หยางเฉ่วก็เดินเข้าไปแล้ว เธอประคองผีเด็กขึ้น “ น้องสาวลุกขึ้นก่อน ! ครอบครัวที่เหลือของเธอ พวกเราจะต้องช่วยเขาอย่างแน่นอน ! ”

ขณะที่พูด หยางเฉ่วก็ประคองผีเด็กขึ้นมาแล้ว

 

ผมเห็นผีเด็กได้สติกลับคืนมา ความทรงจำในอดีตก็ผุดขึ้นมาแล้ว จึงเป็นเวลาดีที่จะถามหาเบาะแสของเสี่ยวม่าน

ในเวลานี้ผมจึงถามออกมาตรงๆ “ น้องสาว ฉันมีเรื่อง อยากจะถามเธอหน่อย…… ”

เมื่อผีเด็กได้ยินเสียงผม เธอก็หันมามองด้วยความสงสัย แต่ก็ตอบรับ “ คะ ” หนึ่งครั้ง

ผมเองก็ไม่รอช้า รีบหยิบโทรศัพท์ออกมา และเปิดรูปตอนงานเลี้ยงรุ่นขึ้นมาทันที

“ เธอเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ไหม เธอ เธอยังมี มีชีวิตอยู่ไหม ” ขณะที่ผมพูดประโยคนี้ออกมา หัวใจของผมเต้นรัวมาก

 

เพราะผมไม่แน่ใจว่าเสี่ยวม่านยังมีชีวิตอยู่ไหม และถ้าตายแล้ว งั้นคำตอบที่ได้จะกลายเป็นระเบิดลูกใหญ่สำหรับผม

ผีเด็กมองรูปเสี่ยวม่านสักพัก เธอขมวดคิ้ว เหมือนกับกำลังพยายามคิดอย่างหนัก

หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็เห็นผีเด็กส่ายหัว “ ไม่อยู่แล้ว…… ”

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ในสมองของผมก็มีเสียงดัง “ ตูม ” เหมือนร่างกายระเบิดจนขาดกระจุย อีกนิดเดียวผมก็แทบไม่มีแรงยืน

เพื่อนเล่นในตอนเด็ก ที่ไม่ได้เจอกันมา 10 กว่าปี ได้ตายไปแล้วงั้นเหรอ

ในเวลานี้สีหน้าของผมเผยให้เห็นความโศกเศร้า ร่างกายเริ่มสั่นเทา

 

หยางเฉ่วเห็นผมรับไม่ได้ จึงรีบเข้ามาประคองผมทันที

เมื่อผีเด็กเห็นผมเป็นแบบนั้น เธอก็ตกใจ รีบพูดออกมาทันที “ ไม่ใช่ ไม่ใช่ความหมายนั้น หนูเคยเห็นเธอ แต่เธอน่าจะไม่ได้อยู่ในตำบลของพวกเรา เพราะพวกเราหาตัวเธอไม่เจอในตำบลเลย ! ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ตาของผมก็เบิกกว้าง ความรู้สึกที่เศร้าสร้อยอยู่ ได้หายไปในทันที “ จริง จริงเหรอ ”

ผมพูดด้วยความดีใจ ขอแค่เสี่ยวม่านยังไม่ตาย คนที่โตแล้วอย่างเธอ จะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน

ผีเด็กพยักหน้าให้อย่างหนักแน่น “ จริงค่ะ ! หนูจำได้นอกจากเธอแล้ว คนที่มาในตำบลของพวกเรามีทั้งหมด 9 คน แต่สุดท้ายแล้วเธอกับคนที่เหลืออีกสามคน กลับหายไปอย่างกระทันหัน พวกเราหากันจนทั่วตำบลแต่ก็ยังหาไม่เจอ ! ”

 

ผีเด็กพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ แต่ผมกลับขมวดคิ้ว “ หายไปอย่างกะทันหันงั้นเหรอ ”

ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทำไมถึงหายไปอย่างกระทันหันได้

ผีเด็กกลับพยักหน้าอย่างมั่นใจ “ ใช่จู่ๆก็หายไป ตอนที่พวกเรากำลังไล่ตามไปที่ท้ายซอย จู่ๆพวกเขาก็หายไป อาจหาที่ซ่อนได้ หรือไม่ก็ออกไปแล้ว…… ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมและหยางเฉ่วก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองหน้ากัน

“ จู่ๆก็หายไป ” และยังหายไปตอนที่ถูกผีไล่ตาม เรื่องนี้จะเอามาพูดเล่นๆไม่ได้ และเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าเชื่อ

ผู้ใหญ่สองสามคน ถึงจะไม่ใช้ตาผีร้ายมอง แต่ก็ยังสามารถดมกลิ่นลมหายใจของพวกเขาได้นิ

ถ้านี่เป็นเรื่องจริง งั้นคำตอบคงมีเพียงข้อเดียว

 

นั้นก็คือเสี่ยวม่านและพวกจะต้องมีวิธีบางอย่างที่สามารถซ่อนตัวจากผีได้ แถมในเวลาเดียวกันก็ยังสามารถปกปิดลมหายใจของตัวเองได้

คล้ายกับยันต์ที่หยางเฉ่วใช้เมื่อตอนนั้น ที่ช่วยปกปิดพวกเราจากสายตาของกองทัพผีได้

“ ที่นั้นอยู่ที่ไหน ฉันจะไปดู ! ” ผมพูดด้วยความร้อนรน

ถ้าเสี่ยวม่านสามารถหนีไปได้ จะต้องโทรศัพท์หาผมอย่างแน่นอน แต่โทรศัพท์กลับไม่มีข้อความใดๆเข้ามา ดังนั้นเสี่ยวม่านจะต้องยังซ่อนตัวอยู่แน่

แต่ผีเด็กกลับไม่ตอบกลับทันที เธอแสดงท่าทางเลิ่กลั่ก

 

ในเวลาเดียวกัน เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนอีกครั้ง พร้อมกับคุกเข่าลงที่พื้น “ ขอให้ท่านนักพรตโปรดช่วยครอบครัวของฉันให้หลุดพ้นด้วยค่ะ พวกเราถูกคนชั่วทำร้าย ทรมานมาหลายปี ทุกนาทีจะรู้สึกเจ็บปวด ดังนั้นท่านนักพรตโปรดช่วยด้วยค่ะ…… ”

หลังจากพูดจบ ผีเด็กก็คำนับผมอีกครั้ง

ในใจของผมกำลังร้อนรน แม้ว่าตอนนี้จะอยากออกไปตามหาเบาะแสของเสี่ยวม่าน

แต่เมื่อได้ยินคำพูดของผีเด็ก ก็คิดได้ว่าถ้าไม่ช่วยครอบครัวของเธอ เธอก็คงไม่ยอมพูดออกมา

และเมื่อกี้เธอยังบอกว่า ครอบครัวของเธอถูกคนชั่วทำร้าย ได้รับความทุกข์ทรมานจนถึงตอนนี้

 

พวกเขาไม่ได้ฆ่าตัวตายงั้นเหรอ แล้วทำไมถึงถูกคนชั่วทำร้ายได้ละ

ผมเริ่มสงสัย และอยากจะถาม

แต่หยางเฉ่วที่อยู่ข้างๆกลับประคองผีเด็กขึ้น ในเวลาเดียวกันก็พูดว่า “ น้องสาว เมื่อกี้เธอบอกว่าครอบครัวของเธอถูกคนชั่วทำร้าย ไม่ได้ฆ่าตัวตายงั้นเหรอ ”

ผีเด็กแสดงท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรม และค่อยๆลุกขึ้นยืน

เธอส่ายหัว พร้อมพูดด้วยน้ำตา “ พวกเราไม่ได้ฆ่าตัวตาย มีคนชั่วฆ่าเรา สุดท้ายก็กุเรื่องว่าพวกเราฆ่าตัวตาย และเขายังทรมานพวกเราไม่หยุด ทำให้พวกเรากลายเป็นผีร้าย และสุดท้ายก็ให้พวกเรา ไปฆ่าผู้คนที่เข้ามาใกล้ตำบลหม่าหวาง แล้วเก็บดวงวิญญาณของพวกเขา เอาไปฝึกวิชามาร…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset