ศพ – ตอนที่ 152 คนบงการคนเดิม

ตอนที่ 152 คนบงการคนเดิม

คำพูดของผีเด็กทำให้คนตกตะลึง เรื่องราวเริ่มลึกลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ

พวกเราไม่เคยคิดมาก่อน ว่าเบื้องหลังทั้งหมดของเรื่องนี้ จะมีเงื้อมงำที่แท้จริงอีกประการหนึ่ง

สีหน้าของผมเคร่งขรึมลง “ ใครเป็นคนทำร้ายพวกเธอกันแน่ แล้วเจ้านั้นมันอยู่ที่ไหน ”

ไม่ใช่แค่ผม แม้แต่หยางเฉ่วเองก็ทำหน้าตาเคร่งเครียด

คิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังการตายของผี 11 ตนที่ตำบลหม่าหวาง จะไม่ใช่การฆ่าตัวตาย แต่เป็นการวางแผนของใครบางคน และเขาทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร

แต่ผีเด็กกลับแสดงท่าทางลำบากใจ เธอส่ายหัว “ ไม่รู้ค่ะ เขาสวมผ้าคลุมสีดำ พวกเราไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน แต่ทุกๆครึ่งปี เขาจะมาเก็บวิญญาณคนตายจากที่นี่ ! ในเวลาเดียวกันก็มาทรมานพวกเรา ทำให้พวกเราตกอยู่ในวังวนของความเกลียดชังนักพัฒนา แล้วหลังจากนั้นเขาก็จะเก็บพลังแค้นจากร่างกายของพวกเราไปค่ะ ”

 

เสียงของผีเด็กพึ่งจางหาย ทันใดนั้นหยางเฉ่วที่อยู่ข้างๆก็หันมามองหน้าผม

ทุกๆครึ่งปี นี่มันสถานการณ์เดียวกันกับเจ้าเชี่ยนเชี่ยนเลยไม่ใช่เหรอ

แต่ของเจ้าเชี่ยนเชี่ยนถูกเก็บพลังแค้นทุกหนึ่งปี และที่นี่ก็ยังถูกเปลี่ยนให้เป็นที่สะสมวิญญาณคนตาย เก็บพลังแค้น สิ่งที่ต่างไปก็แค่เวลาครึ่งปีเท่านั้น

“ หรือว่า หรือว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับองค์กรตาผี ” ผมพูดกับหยางเฉ่วด้วยความตกใจ

ท่าทางของหยางเฉ่วดูค่อนข้างมั่นใจ “ ต้องเกี่ยวแน่ๆ ! ”

หลังจากพูดจบ หยางเฉ่วก็พูดกับผีเด็กว่า “ น้องสาว เธอเคยเห็นสัญลักษณ์นี้ไหม ”

“ สัญลักษณ์ สัญลักษณ์อะไรคะ ” ผีเด็กไม่เข้าใจ

 

หยางเฉ่วกลับหยิบกิ่งไม้ขึ้นมา จากนั้นก็วาดสัญลักษณ์หน้าผีสามตาลงบนพื้น

หยางเฉ่วเรียนด้านการวาดภาพ ดังนั้นแค่ถือกิ่งไม้ เธอก็สามารถวาดสัญลักษณ์นั้นออกมาได้เหมือนมากๆ

ผลลัพธ์ยังไม่รอให้หยางเฉ่ววาดเสร็จ ผีเด็กก็พูดด้วยความตกใจ “ เจ้าภาพนี้ เจ้าภาพนี้หนูเคยเห็นมาก่อน ! คนที่ใส่ผ้าคลุมดำ ก็มีสัญลักษณ์แบบนี้ และ และ…… ”

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ในใจของผมและหยางเฉ่วก็มีเสียงดัง “ กึก ” สัญลักษณ์ผีสามตา มันเกี่ยวข้องกับองค์กรตาผีจริงๆ

นอกจากผมแล้ว แม้แต่หานเฉ่วเฟิงที่กำลังนั่งอย่างไม่สนโลกอยู่นั้น

 

ก็ยังรีบยืนขึ้นมาทันที เขาเริ่มเดินมาทางพวกเรา

เพราะใจกำลังกระวนกระวาย ผมเห็นผีเด็กยังพูดออกมาไม่หมด จึงเร่งเธอทันที “ และอะไร ”

ผีเด็กค่อนข้างเคร่งเครียด กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก จากนั้นก็พูดว่า “ และบนร่างกาย ของพวกเรา ก็ ก็มีสัญลักษณ์นี้ด้วยค่ะ ! ”

“ อะไรนะ พวกเธอก็มีงั้นเหรอ ” ผมพูดด้วยความตกใจ

นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาล้อเล่นกันได้ ถ้าถูกตีตราด้วยสัญลักษณ์นี้ นั้นก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องเกี่ยวข้องกับองค์กรตาผีแล้ว และเมื่อดูจากสถานการณ์ก่อนหน้านี้

เมื่อใครก็ตามที่มีสัญลักษณ์นี้ ล้วนมีจุดจบไม่สวยทั้งนั้น

 

ผีร้ายที่สุสานเก่า เจ้าเชี่ยนเชี่ยน โจวเจี่ยน พวกเขาล้วนตายอย่างอนาถ วิญญาณแตกสลายไปทั้งนั้น

“ เธอแน่ใจนะว่ามีสัญลักษณ์นี้จริงๆ มันอยู่ที่ไหนให้ฉันดูหน่อย…… ” หยางเฉ่วรีบถาม อยากยืนยันด้วยตาตัวเอง

เมื่อผีเด็กได้ยิน เธอก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง เหมือนไม่ค่อยอยากให้เห็น

แต่เมื่อเธอเห็นท่าทางที่ร้อนรนของผมและหยางเฉ่ว ก็พูดออกมาทันที “ อยู่ที่ อยู่ที่หน้า หน้าอกของหนู ! ”

หลังจากพูดจบ ผีเด็กก็ดึงคอเสื้อลง เผยให้เห็นผิวด้านในที่ขาวสวย

แต่ภายใต้ผิวขาวสวยนั้น กลับมีสัญลักษณ์หน้าผีสามตา ขนาดกลางๆอยู่ข้างบน ด้านล่างคางยังมีอักษณ์คำว่า “ วิญญาณ ” เขียนเอาไว้เล็กมาก

 

เมื่อผมและหยางเฉ่วเห็นสิ่งนี้ พวกเราก็ต่างอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ

ไม่ผิดแน่ นี่ก็คือสัญลักษณ์ขององค์กรตาผี

คิดไม่ถึงว่าผี 11 ตนที่ตำบลหม่าหวาง เองก็จะมีสัญลักษณ์นี้อยู่ กลายเป็นทาสที่ต่ำต้อยให้กับองค์กรนั้น

ถ้าพูดแบบนี้ เขาคนนั้นก็ฆ่าพวกเขาทำให้วิญญาณกลายเป็นผีร้าย แล้วก็ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่อันตราย จากนั้นเขาก็เข้ามาเก็บวิญญาณไปฝึกวิชา หรือพูดได้ว่าทำให้ตัวเองมีแต่ได้กับได้

เจ้าองค์กรตาผีนี้ เป็นองค์กรที่ชั่วร้ายอยู่แล้ว ทำเรื่องที่ผิดศีลธรรม ฆ่าคนบริสุทธิ์ เพื่อฝึกวิชามาร

 

หยางเฉ่วเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดกับผมว่า “ ติงฝาน พวกเราทำเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ คนพวกนั้น อาจเห็นแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ ! ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดี ”

หลังจากพูดจบ หยางเฉ่วก็ยังมองไปรอบๆหนึ่งครั้ง แต่บ้านเรือนที่อยู่รอบๆต่างก็ทรุดโทรม และยังมี

พลังหยินที่เข้มข้นไหลออกมา

แต่หยางเฉ่วก็พูดมีเหตุผล ตอนนั้นพวกเราเพิ่งจัดการเจ้าเชี่ยนเชี่ยนและโจวเจี่ยนได้

ผลลัพธ์คนที่อยู่เบื้องหลัง ก็บุกมาหาพวกเราในคืนนั้นเลย แถมยังฆ่าเจ้าเชี่ยนเชี่ยนและโจวเจี่ยนให้ตายต่อหน้าของพวกเรา พวกเราจึงไม่สามารถหาเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับองค์กรตาผีนั้นได้อีก

จนกระทั่งวันนี้ ก็ยังไม่รู้จักตัวตนและความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย และยังไม่มีใครให้เบาะแสกับพวกเราได้

 

ขณะที่ผมไม่รู้ว่าขั้นต่อไปพวกเราควรจะทำอะไรดีนั้น จู่ๆผีเด็กก็ขอร้องพวกเราอีกครั้ง “ ท่านนักพรต พี่สาว พวกคุณช่วยครอบครัวของฉันก่อนได้ไหมคะ ฉันไม่อยากให้พวกเขาต้องทรมานต่อไป ขอร้องพวกคุณละคะช่วยพวกเขาด้วยเถอะนะคะ…… ”

เสียงของผีเด็กแฝงไปด้วยการอ้อนวอนและร้องไห้ จนกระทั่งถึงตอนนี้ ผมเพิ่งได้สติกลับคืนมา

แม้จะรู้ว่าผีร้ายพวกนี้เกี่ยวข้องกับองค์กร ถูกทำให้กลายเป็นทาส และฆ่าคนแทนพวกเขา

แต่ในเมื่อได้พบกันแล้ว แน่นอนว่าผมจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องจนถึงที่สุด

และเจ้าองค์กรตาผีนี้ ตอนนี้ไม่เพียงเป็นศัตรูของพวกเราคนปราบผี แต่ยังเป็นศัตรูของน้องศพมู่หลงเหยียนอีกด้วย

 

เมื่อได้มาเจอแล้ว ผมจะต้องกำจัดมันให้สิ้นซาก จะปล่อยให้พวกมันทำทุกสิ่งตามที่ต้องการไม่ได้

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็พูดกับผีเด็กว่า “ น้องสาววางใจได้ ฉันจะลงมือตอนนี้เลย กำจัดพลังชั่วร้ายในร่างกายของคนในครอบครัวเธอ ทำให้พวกเขากลับมามีสติอีกครั้ง ! ”

“ ขอบคุณ ขอบคุณมากเลยค่ะ…… ” ผีเด็กแสดงท่าทางซาบซึ้งใจมาก

ถ้าวิญญาณมีน้ำตาได้ ป่านนี้ผีเด็กตนนี้ก็คงร้องไห้ไปแล้ว

ต่อจากนั้น ผมไม่ได้ไปตามหาตัวเสี่ยวม่าน แต่วางแผนจะช่วยผีพวกนี้ก่อน

เพราะจากที่ผมวิเคราะห์ เรื่องของผีร้ายพวกนี้ มีความสำคัญมากกว่า

 

ถ้าผมไม่รีบกำจัดพลังชั่วร้ายให้พวกเขา ทำให้พวกเขาคืนสติ จากนั้นก็ส่งพวกเขาออกจากโลกมนุษย์ ให้พวกเขาไปลงนรก

เมื่อสมาชิกในองค์กรปรากฎตัว ผีร้ายพวกนี้ก็อาจจะมีจุดจบเหมือนของเจ้าเชี่ยนเชี่ยน ถูกฆ่าอย่างไร้เยื่อใย สุดท้ายก็วิญญาณแตกสลาย

เมื่อมองย้อนมาดูที่เสี่ยวม่าน ตอนนี้ผมเกือบแน่ใจแล้วว่า เธอยังมีชีวิตอยู่ และยังไม่ตาย

ผมเดาจากสถานการณ์ปัจจุบัน เหตุผลที่ลมหายใจของเสี่ยวม่านหายไปจากกลุ่มผีร้ายอย่างกระทันหัน ก็น่าจะใช้วิธีหรืออาวุธบางอย่างปกปิดลมหายใจของตัวเอง ตอนนี้ก็คงซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง

และถ้าคิดให้ดีๆ บนร่างกายของเสี่ยวม่านอาจมีพลังเวทย์ของนักพรตที่ร้ายกาจคนไหนหรือเครื่องรางของขลังบางอย่างอยู่ก็ได้

 

ตอนที่ไปบ้านเสี่ยวม่าน แม่ของเสี่ยวม่านก็พาลุงคนหนึ่งมาดูฮวงจุ้ยให้เธอ แถมเขายังเป็นคนมีวิชาอาคมจริงๆ

พลังแบบนั้น แรงกดดันแบบนั้น จะต้องไม่ใช่นักพรตที่ออกมาหลอกลวงผู้คนแน่ และจากฐานะทางบ้านของเสี่ยวม่าน การปลุกเสกทำของพวกนี้ ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก

เพราะเหตุนี้ ผมจึงพักเรื่องของเสี่ยวม่านเอาไว้ก่อน ตอนนี้จะต้องช่วยผีพวกนี้ให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ดังนั้นผมจึงหันไปพูดกับหยางเฉ่วสองสามประโยค บอกให้เธอทำยันต์แผ่นที่จะใช้ในพิธี

แล้วก็บอกให้พี่เฟิงคอยคุ้มครองพวกเราสองคน หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มทำพิธีกำจัดพลังชั่วร้าย

เมื่อเริ่มทำพิธี ผมก็หยิบธูปออกมาจุดจากในกระเป๋า เผากระดาษเหลือง และเริ่มท่องบทสวดส่งวิญญาณ……

 

ถ้าตอนนี้มีแค่ผมคนเดียว ถึงแม้ว่าฟ้าจะสว่างแล้วผมก็อาจยังทำไม่เสร็จ

แต่มีหยางเฉ่วอยู่ด้วย และเธอยังมียันต์กำจัดพลังชั่วร้ายที่ร้ายกาจอยู่

เมื่อพวกเราร่วมมือกัน ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง พวกเราก็สามารถกำจัดพลังชั่วร้ายออกจากผีทั้งสี่ได้ถึงเจ็ดสิบแปดสิบเปอร์เซ็น

ขณะที่พลังชั่วร้ายของผีสี่ตนกำลังถูกกำจัด ผมและหยางเฉ่วก็เริ่มใช้พลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้หัวพวกเราจึงเต็มไปด้วยเหงื่อ

แต่นี่เป็นจุดสิ้นสุดของพิธีแล้ว ทันใดนั้นดวงตาของหยางเฉ่วก็เบิกกว้าง เธอเริ่มเสกคาถาอย่างรวดเร็ว

 

ในที่สุด มือก็ประสานท่าเซียนโฉ่ว จากนั้นเธอก็พูดออกมาทันที “ ขอชิญเทพลุ่ยลิ้ง ทำลาย ! ”

วินาทีนั้นคาถาเริ่มระเบิดออกมา ขณะเดียวกันวงไฟสีเขียวก็ปรากฎขึ้น

ผีสี่ตนเหมือนกับผีเด็กไม่มีผิด พวกเขาต่างเริ่มดิ้นทุรนทุรายไปมากับพื้น

และผีทั้งสี่ตนยังเริ่มกรีดร้องออกมาอย่างทุกข์ทรมาน เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังเจ็บปวดมาก

แต่ สุดท้ายที่หน้าอกของพวกเขา ก็มีพลังชั่วร้ายไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง จากนั้นพวกมันก็กระจายไปรอบๆสี่ทิศ

ดวงตาของพวกเขา เริ่มมีนัยน์ตาปรากฎขึ้น  และในที่สุดพวกเขาก็ได้สติกลับมา

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมและหยางเฉ่วก็อดไม่ได้ที่จะถอยหายใจด้วยความโล่งอก

ผีสี่ตนเหมือนกับผีเด็ก หลังจากได้สติ ทุกตนก็ถอนหายใจด้วยความหลุดพ้นตั้งแต่วินาทีแรก เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความสุขมาก

หลังจากนั้นก็กลับมาสับสนอีกครั้ง ความทรงจำไหลย้อนเข้ามาในสมองอย่างต่อเนื่อง แถมยังเห็นพวกเราสามคนยืนอยู่ตรงนั้น ทุกตนจึงคิดได้ว่าก่อนหน้านี้ พวกเราสามคนเป็นคนฆ่าผีร้ายตนอื่น

สีหน้าของผีแต่ละตนต่างเปลี่ยนไป เผยใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัวออกมา ทำท่าอยากจะเข้ามากินพวกเราให้ได้

 

แม้แต่มีความหวังและแรงกระตุ้นในการแก้แค้น ผีตาแก่หนึ่งในกลุ่มผีตะคอกใส่พวกเราว่า“ เป็น เป็นพวกแก เป็นพวกแกที่ฆ่าเมียของฉัน แถมยังฆ่าลูกชายและหลานของฉัน…… ”

ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาดี ผมจึงเลือกที่จะไม่ใส่ใจ เพียงตอบกลับผีตาแก่เบาๆ “ คุณคิดให้ดีๆอีกครั้ง…… ”

เมื่อพวกผีได้ยินคำพูดของผม ทุกตนก็ต่างเลิกคิ้วขึ้น

ผลลัพธ์ผ่านไปแค่แป๊บเดียว พวกเขาก็เริ่มกุมหัวของตัวเองด้วยความเจ็บปวด

พวกเรามองท่าทางของพวกเขา แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงใดๆออกมา

 

แต่ขณะที่ความทรงจำของพวกเขากำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และมีผีเด็กเป็นคนอธิบาย

พวกเขาก็ค่อยๆรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมด ตอนนี้อารมณ์ของพวกเขาจึงค่อยๆสงบลง

สายตาที่มองพวกเรา จากความเกลีดชังเมื่อครั้งแรกเริ่มและความรู้สึกต่างๆที่หลั่งไหลเข้ามาจนถึงตอนนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไป……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset