ศพ – ตอนที่ 153 ตามหาคน

ตอนที่ 153 ตามหาคน

ขณะที่ความทรงจำของพวกเขายังไม่สมบูรณ์ ค่อยๆจำเรื่องที่ตัวเองเจอได้ คิดถึงความเจ็บปวดและความทรมานที่เคยได้รับ

ผมกำลังมองแววตาที่หลากหลายของพวกเขา ผมเข้าใจดีว่าในใจของพวกเขากำลังทรมานกับอะไรอยู่

ดังนั้น จึงได้ยินเสียงผมพูดกับพวกเขาว่า “ ขอโทษครับ พวกเราไม่สามารถช่วยเหลือผีตนอื่นได้จริงๆ สำหรับการสูญเสียคนรักของพวกคุณ ผมรู้สึกเสียใจมากๆครับ ! ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ! ”

หลังจากพูดจบ ผมก็โค้งคำนับให้กับพวกเขาอย่างจริงใจ

สำหรับผมแล้ว เมื่อกี้ผมเพิ่งฆ่าคนในครอบครัวของพวกเขาไป แม้ว่ามันจะจำเป็นจริงๆ แต่มันก็เป็นความจริง

 

แต่เสียงของผมเพิ่งเงียบลง จู่ๆผีผู้หญิงตนหนึ่งก็ทนต่อไปไม่ไหว เธอชี้หน้าด่าผมทันที “ ขอโทษแล้วมันได้อะไรฮะ แกฆ่าผัวและลูกชายของฉันไปแล้ว ผัว และลูกของฉันก็ต่างวิญญาณแตกสลาย มันเป็นความผิดของแกทั้งหมด ! พวกเขาตายไปแล้ว แกจะให้ฉันทำยังไงฮะ ทำไมแกไม่ฆ่าฉันให้ตายไปเลยละ ! ”

ขณะที่พูด ผีผู้หญิงตนนั้นก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอเริ่มร้อง “ ฮือฮือฮือ ” ออกมา

ท่าทางของผมและหยางเฉ่วเคร่งขรึมมาก แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไร

แต่ทันใดนั้นผีตาแก่ก็เดินออกมา “ นี่ยังไงก็คือชีวิต พวกท่านนักพรตพยายามสุดความสามารถแล้ว อีกอย่าง พวกเจ้ารองก็จากไปแล้ว พวกเราไม่ควรดีใจหรอกเหรอ ! บางครั้งการที่วิญญาณแตกสลาย ก็ดีกว่าต้องมาทนทรมานไม่รู้จักจบนิ มีชีวิตอยู่อย่างเครียดแค้นมันดีงั้นเหรอ…… ”

 

“ แต่ท่านพ่อตา…… ”

เหมือนผีผู้หญิงจะยังอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ผลลัพธ์เธอยังไม่ได้พูดออกมา ผีตาแก่นั้นก็ด่าต่อทันที

“ ไม่มีแต่ทั้งนั้น เธอยังอยากอยู่ที่นี่ฆ่าคนต่องั้นเหรอ ยังอยากจะทุกข์ทรมานเพราะความเจ็บปวดในทุกๆวัน เธอต้องจำเอาไว้ คนที่ทำร้ายพวกเราไม่ใช่นักพรตทั้งสามท่านนี้ แต่เป็นหมอผีชั่วที่ฆ่าพวกเรา ทำให้วิญญาณของพวกเราเป็นผีร้าย รอให้พวกเราได้ไปเจอกับท่านยมราชก่อน ข้าจะบอกเขาให้หมดทุกเรื่อง…… ”

ผีผู้หญิงถูกผีตาแก่ด่า เธอจึงร้องไห้ออกมาอีกครั้ง แต่ยังตอบกลับเบาๆว่า “ ค่ะ ! ”

หลังจากผีตาแก่พูดจบ เขาก็กวาดสายตามองผีที่เหลือ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาช้าๆ “ ถึงเมียและคนอื่นๆจะจากไปแล้ว แต่พวกเราก็หลุดพ้น พวกเรายังมีชีวิตอยู่ ก็ควรใช้ชีวิตต่อไปให้ดีๆ ”

 

ในบรรดาครอบครัวผีตาแก่ น่าจะมีฐานะที่สูงที่สุด

หลังจากเขาพูดคำเหล่านี้จบ ผีทุกตนก็พยักหน้าด้วยความเคารพมากๆ

เมื่อผีตาแก่เห็นลูกหลานของตัวเองได้สติกลับมาอย่างสมบูรณ์ เขาก็รีบหันมามองพวกเรา และทำมือคำนับให้ทันที

เมื่อผีตาแก่ได้สติกลับคืนมา เขาก็เหมือนชายชราที่เข้าใจเรื่องถูกผิดคนหนึ่ง

เมื่อเขาเริ่มคำนับให้กับพวกเรา ก็เป็นธรรมดาที่พวกเราจะไม่กล้าชักช้า

ผมรีบทำมือคำนับ ให้เขาอย่างเคารพ

 

หลังจากผีตาแก่คำนับเสร็จ เขาก็พูดออกมาอีกครั้ง “ ท่านนักพรต ขอบคุณพวกท่านมากที่ทำให้พวกเราหลุดพ้นได้ พวกเราก็คงได้แต่ตอบแทนท่านในชาติหน้า ”

หลังจากพูดจบ ผีตาแก่ก็โค้งคำนับให้พวกเราสามคน

หลังจากผีตาแก่คำนับเสร็จ ผีเด็กและผีอีกสองสามตน ก็โค้งคำนับให้กับพวกเรา เพื่อแสดงการขอบคุณ

เมื่อเห็นผีทุกตนโค้งคำนับให้กับพวกเรา ผมก็รู้สึกละอายใจนิดหน่อย

ฆ่าคนในครอบครัวของเขา แล้วพวกเขายังเคารพ แม้ว่ามันจะเป็นไปตามสถานการณ์ แต่ในใจของผมมักรู้สึกแปลกๆอยู่เสมอ

แต่ในเวลานี้หยางเฉ่วกลับพูดว่า “ พวกเขาได้สติแล้ว นายก็รีบให้พวกเขาพาไปหาเพื่อนของนายซิ ! ส่วนฉันจะตั้งแท่นบูชาที่นี่ อีกเดี๋ยวจะได้ทำพิธีส่งวิญญาณพวกเขา ! ”

 

เมื่อได้ยินหยางเฉ่วพูดแบบนั้น ผมถึงนึกเรื่องของเสี่ยวม่านได้

ผมตบหัวแรงๆ และถามออกมาทันที “ ท่านผู้เฒ่า เพื่อนผมที่ชื่อเสี่ยวม่านเธอเดินหายไปจากที่นี่ ไม่ทราบว่าพวกคุณคนไหนจะพาผมไปหาสถานที่ที่เธอหายไปได้บ้าง ”

ขณะที่พูด ผีเด็กตนนั้นก็เล่าเรื่องเสี่ยวม่านสั้นๆให้พวกผีที่เหลือฟัง

ผีตาแก่พยักหน้าเล็กน้อย “ ท่านนักพรตเชิญทางนี้…… ”

ขณะที่พูด ผีตาแก่ตนนั้นก็เดินนำทางให้กับผม

ผมไม่ได้ลังเล รีบเดินตามเขาไปทันที

เมื่อหานเฉ่วเฟิงเห็นผมเดินออกไป เขาก็ทำท่าจะเดินตามไปด้วย “ เจ้าเด็กน้อย พี่เฟิงจะไปกับนายด้วย ! ”

 

เมื่อได้ยินพี่เฟิงพูด ผมก็เข้าใจทันทีว่าพี่เฟิงจะไปคอยคุ้มกันผม

ผีห้าตนเดินร่วมทางไปกับผม ส่วนหยางเฉ่วต้องทำแท่นบูชาตรงนี้

ด้วยพลังของผมในตอนนี้ ถ้ามีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น ผมจะไม่สามารถจัดการได้เลย

ดังนั้นเจตนาดีของพี่เฟิง ผมจึงไม่ปฏิเสธ ผมพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย

หลังจากนั้น ผมและพี่เฟิงพร้อมกับผีอีกห้าตนก็เริ่มออกมาจากจัตุรัส เดินเข้าไปที่ซอยด้านหลังของตำบล

ซอยด้านหลังของที่นี่ส่วนใหญ่มีแต่บ้านเรือนเก่าๆโทรมๆ เหมือนกับไม่มีใครอยู่มาหลายปี มันทรุดโทรมและรกร้างจนดูไม่ได้

 

ผมมองไปรอบๆ ในที่สุดพวกเราก็มาถึงตรอกมืดๆที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นอับ

พวกเราเพิ่งมาถึงที่นี่ ผีตาแก่ตนนั้นก็พูดกับผมว่า “ท่านนักพรต เด็กผู้หญิงและคนอื่นๆที่คุณพูดถึง ตอนนั้นพวกเขาหายตัวไปจากตรงนี้ ”

ผมพยักหน้าให้เล็กน้อย จากนั้นก็มองสำรวจรอบๆ แต่ก็ไม่พบอะไร

ขณะที่กำลังจะถามว่าพวกเขาเคยไป หาตามบ้านที่อยู่รอบๆไหม

ผลลัพธ์ผมยังไม่ทันได้พูด ผีตาแก่ตนนั้นเหมือนจะอ่านใจผมออก เขารีบพูดออกมาทันที “ บ้านทุกหลังที่อยู่แถวๆนี้ พวกเราหากันจนทั่วแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นร่องรอยของพวกเขาเลย ”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ผมก็ขมวดคิ้ว

 

งั้นพวกเสี่ยวม่านซ่อนอยู่ที่ไหน ผมสงสัยในใจ และเดินตรงเข้าไปในตรอกเรื่อยๆ

แต่ในเวลานั้นเอง จู่ๆพี่เฟิงก็พูดว่า “ ฉันว่านะเจ้าเด็กน้อย นายจะยุ่งยากไปทำไม ! ตอนนี้ที่นี่ไม่มีผีร้ายแล้ว นายแค่ตะโกนก็จบแล้วนิ มัวหาให้ลำบากไปทำไม ”

พี่เฟิงพูดแบบลวกๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไร

แต่เมื่อผมได้ยินคำพูดนี้ ในใจของผมก็มีเสียงดัง “ กึก ” เผยสีหน้าดีใจออกมาทันที

ใช่แล้ว ตอนนี้มึนหัวจะตายอยู่แล้ว

ผมไม่ลังเล รีบตะโกนไปรอบๆทันที “ เสี่ยวม่าน ! จ้าวเสี่ยวม่าน…… ”

 

เสียงผมดังมาก ในคำคืนที่เงียบสงัดแบบนี้ มันดังพอที่จะสะท้อนไปทั่วทั้งตำบล

แต่สิ่งที่แปลกคือ หลังจากที่ผมตะโกนไปหลายรอบ มันกลับยังไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา

ขณะที่ผมกำลังจะตะโกนต่อ พี่เฟิงกลับพูดออกมาอีกครั้ง “ ในเมื่อไม่มีคนตอบกลับ งั้นบางทีเขาอาจออกไปจากตำบลนี้แล้วมั้ง ”

แต่ผมส่ายหัว ผมคิดว่า ถ้าเสี่ยวม่านออกไปจากตำบลนี้แล้ว ยังไงเธอก็ต้องโทรหาหรือไม่ก็ตอบกลับข้อความของผมแล้ว

แม้ว่าตำบลเล็กๆแห่งนี้จะไม่มีคนอยู่มาหลายปี แต่ที่นี่ก็ยังมีสัญญาณมือถืออยู่

 

และจากสิ่งที่พวกผีตาแก่พูด พวกเสี่ยวม่านเข้ามาที่ตำบลตอนบ่าย ถึงมือถือจะแบตหมดแล้ว แต่ก็ไม่น่าจะเร็วขนาดนี้

พวกเขาสองสามคนอยู่ด้วยกัน หรือมือถือของทุกคนจะแบตหมดพร้อมกันเลยงั้นเหรอ

เมื่อคิดย้อนจากศพเดินได้เมื่อก่อนหน้านี้ พวกเขาสวมเสื้อผ้าเป็นนักเดินทางและแบกกระเป๋า เห็นได้ชัดว่าวางแผนจะมาที่นี่ บนร่างกายก็น่าจะเตรียมแบตสำรอง หรือพาวเวอร์แบงค์มาด้วย

ดังนั้น ผมจึงคิดว่าเสี่ยวม่านยังอยู่ในตำบลแห่งนี้ เพียงแต่ซ่อนตัวอยู่แล้วไม่กล้าออกมาเท่านั้น

ผมไม่ได้ตอบกลับ แต่เงียบไปครู่หนึ่ง

 

ทันใดนั้นความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมา ผมรีบตะโกนออกมาอีกครั้ง “ จ้าวเสี่ยวม่าน ฉันคือ…เป่า เปิดร้ายขายของเกี่ยวกับงานศพอยู่ที่ตำบลชิงฉือ เธออยู่ที่ไหน ! ฉันได้รับข้อความของเธอแล้ว ฉันมาช่วยเธอแล้ว…… ”

ผมตะโกนเสียงดัง เพราะคิดว่า !

ถ้าเสี่ยวม่านยังอยู่  แล้วยังไม่ตอบกลับมา เธอจะต้องกลัวว่าผีร้ายกำลังหลอกเธออยู่แน่ๆ

ดังนั้นผมจึงใช้เรื่องที่ผมรู้พูดให้เธอฟัง เมื่อเสี่ยวม่านได้ยิน เธอจะต้องตอบกลับมาอย่างแน่นอน

ผลลัพธ์เสียงพึ่งเงียบไป แผ่นหินที่อยู่ไม่ไกล ก็มีบางอย่างขยับ

เสียงที่ดังออกมาอ่อนล้ามาก เหมือนกับคนที่กำลังหมดเรี่ยวแรง

 

แม้แต่ผมก็ยังได้ยินและเห็นสิ่งนี้ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงผีกลุ่มนั้นเลย

ผีเด็กรีบพูดทันที “ ที่ใต้แผ่นหินนั้นมีคนอยู่…… ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็ดีใจทันที จากนั้นก็พูดออกมาอีกครั้ง “ เสี่ยวม่านฉันเอง เธอไม่ต้องกลัว…… ”

ขณะที่พูด ผมก็รีบเดินเข้าไปที่แผ่นหินแผ่นนั้น

ผมไม่ลังเลอะไร รีบออกแรง ดันแผ่นหินแผ่นนั้นให้เปิดออกทันที

แต่วินาทีที่แผ่นหินแผ่นนั้นเปิดออก เสียงกรีดร้อง “ อร๊าย/อ๊าก ! ” ก็ดังออกมาจากแผ่นหินทันที

“ อย่าฆ่าฉัน อย่าฆ่าฉัน…… ”

 

“ ฉันไม่อยากตาย…… ”

ในนั้นมีทั้งหญิงชาย ทุกคนต่างหวาดกลัวจนเสียสติ

แต่เมื่อผมมองลงไปข้างล่าง ก็พบว่าใต้แผ่นหินเป็นหลุมขนาดใหญ่ เป็นพื้นที่ไม่แคบและไม่กว้างเกินไป เหมาะสำหรับเป็นที่ซ่อนตัวได้พอดี

ในนั้นมีคนยืนอยู่ทั้งหมด 4 คน แต่ผมก็สังเกตเห็นเสี่ยวม่านที่ส่งข้อความช่วยเหลือมาหาผมอย่างรวดเร็ว

เธอไม่กรีดร้องหวาดกลัวเหมือนคนอื่น ตอนนี้เธอกำลังยืนนิ่งๆ ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างและเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา หน้ามุ่ย ใบหน้ามอมแมม เงยหน้าขึ้นมามองผมทั้งๆแบบนั้น……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset