ศพ – ตอนที่ 155 พิธีส่งวิญญาณ

ตอนที่ 155 พิธีส่งวิญญาณ

จู่ๆก็ได้ยินพี่เฟิงพูดแบบนั้น “ พรึบ ” สีหน้าของผมจึงเปลี่ยนไปทันที

ลุงวัยกลางคนคนนั้น คิดจะทำร้ายเสี่ยวม่านอย่างงั้นเหรอ

แต่ไม่รอให้ผมได้พูด เสี่ยวม่านกลับแย่งกุ่ยจินตานออกจากมือพี่เฟิง จากนั้นก็เถียงเขาทันที “ อย่ามากล่าวหาลุงฉินของฉันนะ ฉันพกลูกปัดนี้ติดตัวมาเป็นสิบปีแล้ว ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ดี ! แถมลุงฉินและแม่ของฉันก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกัน เขาดีกับฉันมาตั้งแต่เด็ก เขาไม่ทำร้ายฉันแน่นอน ! ”

ขณะที่พูด เสี่ยวม่านก็ไม่สนใจคำพูดของพี่เฟิงเลยสักนิด

แม้จะอยู่ต่อหน้าพวกเรา เธอก็ยังนำลูกปัดเส้นนั้นสวมลงบนคอของเธออีกครั้ง

 

เมื่อพี่เฟิงได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ น้องเสี่ยวม่าน เธอแน่ใจจริงๆเหรอ ว่าตัวเองพกติดตัวมา 10 ปีแล้ว ”

“ นั้นมันโกหกกันได้เหรอ ตอนฉันอายุ 10 ปีฉันมีไข้สูงมาก ลุงฉินเลยให้ลูกปัดเส้นนี้เพื่อคุ้มครองฉัน ต่อมาฉันก็ไม่ป่วยอีกเลย และหลังจากนั้นฉันก็พกลูกปัดติดตัวมาตลอด ! ” เสี่ยวม่านพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เธอไม่สงสัย ในตัวลุงฉินและกุ่ยจินตานเส้นนี้เลยสักนิด

ในเวลาเดียวกันผมเองก็สงสัยขึ้นมา ถ้าที่เสี่ยวม่านพูดมาเป็นความจริง งั้นเรื่องนี้ก็แปลกประหลาดแล้วละ

เจ้ากุ่ยจินตานเส้นนี้ไม่ได้เป็นของปลอม และมันก็มีพลังหยินแรงสุดๆ

 

ถ้าคนเป็นอยู่กับเจ้าสิ่งนี้นานๆ จะต้องลำบากอย่างแน่นอน

แต่เสี่ยวม่านกลับพกติดตัวมา 10 ปีแล้ว แถมยังไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แล้วแบบนี้มันหมายความว่ายังไงกันแน่

ช่วงเวลานั้นผมยังไม่เข้าใจ พี่เฟิงเองก็ทำท่าทางไม่มีอะไรจะพูด

แต่เสี่ยวม่านกลับพูดว่า “ อย่าสนใจลูกปัดของฉันเลย พวกเรารีบเดินไปกันเถอะ ! ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว ! ”

เมื่อได้ยินเสี่ยวม่านพูดแบบนั้น วูน่าที่อยู่ข้างๆก็พูดว่า “ ใช่ค่ะ ! พวกเรารีบเดินไปกันเถอะ ! ”

“ ใช่ใช่ใช่ ที่นี่มืดมาก น่ากลัวจะตาย ต่อไปฉันจะไม่ออกมาหาสิ่งลี้ลับอีกแล้ว ! ” ผู้ชายที่สวมแว่นตาพูด เขาดูกลัวมากๆ

 

เมื่อเห็นทุกคนตื่นกลัว ผมและพี่เฟิงเองก็คิดไม่ตก ตอนนี้ผมจึงพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน

แม้จะยังสงสัย แต่เจ้าสิ่งนี้เป็นตัวช่วยพวกเสี่ยวม่านเอาไว้ และเสี่ยวม่านก็พกติดตัว และไม่เป็นอะไร

ถ้าระยะเวลาสั้นๆผมยังเข้าใจ แต่เธอกลับพกมา 10 ปีแล้ว นี่มันจะอธิบายว่ายังไง

เมื่อหาสาเหตุไม่ได้ ผมจึงคิดว่าเสี่ยวม่านไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว

หลังจากนั้นผมก็สูดหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้าให้กับทุกคน จากนั้นก็รีบพาทุกคนออกจากที่นี่อย่างรวดเร็ว เดินตรงไปยังที่จัตุรัส

เพราะที่นี่เป็นตำบลเล็กๆ ดังนั้นผ่านไปไม่นานพวกเราก็มาถึงตัวจัตุรัสแล้ว

 

หยางเฉ่วและผีทุกตนต่างอยู่ที่นี่ ในเวลานี้หยางเฉ่วได้ใช้หญ้าที่อยู่รอบๆ มาทำเป็นหุ่นหลายตัว เพื่อใช้ในการส่งวิญญาณ

เมื่อเสี่ยวม่านและคนอื่นไม่เห็นผี แต่เห็นหยางเฉ่วใส่ชุดสีขาวอย่างกระทันหัน ทุกคนก็ต่างตกใจทันที

โชคดีที่ผมรีบอธิบาย “ ทุกคนอย่าตกใจ เธอก็เป็นคนที่ผมเรียกมา เป็นนักพรตอีกคนหนึ่ง ! ”

เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดนี้ ก็หายใจในด้วยความโล่งอก

ในเวลาเดียวกันผู้ชายอ้วนๆอีกคนก็พูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ “ เอ่อ เอ่อเธอกำลังทำอะไร ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมยังทำหุ่นฟางอยู่ ”

“ จะทำอะไรได้ละ ก็ส่งผีนะซิ ! ” พี่เฟิงพูดตรงๆ

 

ผลลัพธ์เสียงพึ่งจางหาย ทันใดนั้นในใจของพวกเขาก็มีเสียงดัง “ กึก ” พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหวาดระแวงขึ้นมา

เมื่อผมเห็นทุกคนตกใจกลัว และได้ยินคำว่า “ ผี ” ที่ทำให้อกสั่นขวัญแขวน ผมก็รีบปลอบใจทันที

“ ไม่เป็นไรนะ ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที พวกนายแค่ยืนรอเท่านั้น ! ”

ทั้งสี่คนไม่ได้ตอบกลับ ได้ยินเพียงเสียง “ อืม ” สองครั้งเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่าดวงตาทั้งสองข้างของพวกเขาเผยให้เห็นความหวาดกลัว

ในเวลาเดียวกันก็หันไปมองรอบๆด้วยความหวาดระแวง กลัวว่าจะเจอกับสิ่งไม่ดีอีกครั้ง

ในเวลานี้ พวกเราได้มาถึงด้านหน้าของหยางเฉ่วแล้ว

 

เมื่อหยางเฉ่วเห็นพวกเราพาใครหลายคนกลับมา เธอก็ถามพร้อมกับรอยยิ้ม “ ใครคือเสี่ยวม่าน ”

เมื่อได้ยินหยางเฉ่วถาม เสี่ยวม่านก็พูดด้วยความสงสัย “ ฉัน ฉันเอง ! ”

เมื่อหยางเฉ่วเห็นเสี่ยวม่าน เธอก็สำรวจอยู่แป๊บนึง จากนั้นก็เหล่มอง “ สวัสดี ฉันชื่อหยางเฉ่ว เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม ”

“ ไม่เป็นไร ขอบคุณ ขอบคุณพวกเธอมากนะที่มาช่วยพวกเรา ! ” เสี่ยวม่านตอบกลับอย่างมีมารยาท ในเวลาเดียวกันก็สำรวจหยางเฉ่วอย่างละเอียด

หยางเฉ่วเองก็ยิ้มให้ และยังหันไปทักทายคนที่เหลืออย่างเป็นมิตร

บอกให้พวกเขาพักผ่อน จากนั้นถึงหันมาพูดกับผมว่า “ ทุกอย่างพร้อมแล้ว ตอนนี้มาเริ่มส่งวิญญาณกันเถอะ ! ”

 

ผมพยักหน้าให้ มองไปที่หุ่นฟางห้าตัว ในเวลาเดียวกันก็มองตำแหน่งที่ผีห้าตนยืนอยู่

จากนั้นผมก็จับมือกับพวกเขา และพูดว่า “ ทุกท่าน สถานการณ์เร่งด่วน ตอนนี้ผมจะส่งพวกคุณลงไปแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าหมอผีนั้นมาเจอเข้า จะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น…… ”

ผีห้าตนจับมือกลับ ผีตาแก่ได้ยินผมพูดจบ เขาเองก็พูดด้วยความรู้สึกขอบคุณมากๆ “ งั้นก็ขอรบกวนท่านนักพรตแล้ว ! ”

ผมตอบรับ “ อืม ” จากนั้นก็เดินไปทางหยางเฉ่วและหานเฉ่วเฟิง เตรียมร่วมมือกับพวกเขา ทำพิธีส่งวิญญาณพร้อมกัน

แต่เสี่ยวม่านและคนอื่นๆที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับมองด้วยความสงสัย

 

เพราะในสายตาของพวกเขา มองไม่เห็นการมีอยู่ของผีทั้งห้าตน เห็นผมกำลังพูดคุยกับอากาศอย่างสมบูรณ์

แต่สถานการณ์ยิ่งเป็นแบบนี้ พวกเขาก็ยิ่งหวาดกลัว

ในเวลานี้พวกเขาไม่กล้าเดินไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้า เพียงยืนรอพวกเราอยู่ที่เดิม

พิธีส่งวิญญาณทำได้ไม่ยาก คนที่ทำงานสายนี้ต่างทำได้ทุกคน

ผมติดตามพ่อมา 10 กว่าปีแล้ว รู้ตั้งนานแล้วว่าต้องทำยังไงบ้าง

ตอนนี้พวกเราตั้งหุ่นฟางห้าตัวเรียบร้อย  ผมนำยันต์เหลืองออกมาจากกระเป๋า

 

ถามวันเดือนปีเกิดของผีห้าตน จากนั้นก็นำมันไปแปะเอาไว้บนตัวหุ่นฟาง

หลังจากนั้นก็จุดธูป เผากระดาษเหลืองสองสามแผ่น ร่ายคาถาส่งวิญญาณลากยาว หยินหยางเท่าเทียม กระแสน้ำไหลวน ชีวิตและความตาย มักถูกกำหนดไว้……

ผมท่องคำพูดพวกนี้ จนกระทั่งมาถึงท่อนสุดท้าย ก็จะได้ยินเสียงของผมจมดิ่งลง พูดออกมาว่า สุดท้ายทุกชีวิตก็ต้องตาย วิญญาณดับสูญ มาจากไหนก็กลับไปที่นั้นเถอะ……

เสียงของผมเพิ่งเงียบลง ผม หยางเฉ่ว และพี่เฟิง ทุกคนต่างประสามมือ กลายเป็นรูปดาบอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเดียวกันก็หมุนตัว ชี้ไปทางยันต์เหลืองที่แปะไว้บนตัวหุ่นฟางทั้งห้า จากนั้นก็พูดออกมาทันที “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง เพี๊ยง ! ”

 

คำพูดเพิ่งหลุดออกมา ยันต์ที่แปะไว้บนตัวหุ่นฟางก็ระเบิดดัง “ ตูม ” พร้อมกลับเปลวไฟสีเขียวที่เผาไหม้พวกมันทันที

เมื่อเปลวไฟสีเขียวปรากฎขึ้น หุ่นฟางก็ถูกเผาทันที

ไฟแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว มันถูกพัดให้โอบล้อมไปทั่วทั้งตัวของหุ่นฟาง……

เมื่อหันไปมองผีห้าตนอีกครั้ง ผมก็พบว่าในเวลานี้ผีทั้งห้าตนกำลังอ่าแขนออก เผยท่าทางที่มีความสุขมากๆออกมา

ผมรู้ดี ว่าพวกเขาจะจากไปแล้ว

ขอแค่หุ่นฟางไหม้จนหมด พวกเขาก็จะจากโลกนี้ไปลงนรกได้แล้ว

 

เพราะพวกเขาเคยฆ่าคน สำหรับเรื่องที่พวกเขาจะต้องตกนรก หรือไปเกิดใหม่นั้น ก็คงต้องรอดูที่ท่านยมราชอย่างเดียวแล้วละ

ขณะที่หุ่นฟางกำลังเผาไหม้อย่างต่อเนื่อง ร่างกายของผีตาแก่และผีตนอื่นๆก็เริ่มเลือนลาง

พวกเขารู้ว่า ตัวเองกำลังจะหายไปแล้ว ตอนนี้จึงมองพวกเรา ด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างมาก

ผีตาแก่พูดขอบคุณกับพวกเราอีกครั้ง และยังบอกว่าเวลาของโลกนี้สิ้นสุดแล้ว เขาจะตอบแทนพวกเราเมื่อได้เกิดใหม่อะไรทำนองนั้น !

เรื่องพวกนี้ผมไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ขอเพียงให้พวกเขาออกไปได้อย่างปลอดภัย ภารกิจของพวกเราก็จะถือว่าสำเร็จ หมดหน้าที่ของคนปราบผีแล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเราคิดไม่ถึงคือ ขณะที่หุ่นฟางกำลังไหม้จนหมด วิญญาณของพวกเขากำลังจะจากโลกนี้ไป เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

 

ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้าแต่อย่างใด เสียงระเบิดดัง “ ปัง ” ก็ปรากฎขึ้น หุ่นฟางตัวหนึ่ง ล้มลงกับพื้นทันที เปลวไฟที่กำลังเผาไหม้อยู่นั้น ได้หายไปทันที สิ่งที่เหลืออยู่ มีเพียงซากหญ้าที่ไหม้เกรียมกระจายอยู่บนพื้น

ในเวลาเดียวกัน ผีตนหนึ่งที่กำลังจะหายไป ก็ร้อง “ อร๊าย ” ออกมาอย่างกระทันหัน จากนั้นเธอก็ล้มลงกับพื้น และไม่ขยับตัวอีกเลย

เมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกเราทุกคนก็ตกใจ “ พรึบ ” และสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

แต่ไม่รอให้พวกเราได้ทำอะไร “ ปังปังปังปัง ” เสียงระเบิดก็ดังขึ้นมาติดกัน หุ่นฟางที่เหลืออีกสี่ตัว ก็ระเบิดติดกันทันที

ผีที่เหลืออีกสี่ตนก็เป็นเหมือนกัน ทุกตนต่างกรีดร้อง ล้มลงกับพื้น และไม่ขยับตัวอีกเลย……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset