ศพ – ตอนที่ 156 ยายแก่

ตอนที่ 156 ยายแก่

อีกนิดเดียวพิธีส่งวิญญาณก็จะเสร็จแล้ว แต่ในช่วงเวลาสำคัญนี้ กลับมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น

หน้าของผมถอดสี เผยสีหน้าที่ตื่นตระหนกออกมาทันที

“ เกิดอะไรขึ้น ทำไมหุ่นฟางถึงระเบิด ” ผมทำหน้างง พร้อมพูดด้วยความสงสัย

แต่เสียงเพิ่งจางหาย หยางเฉ่วและพี่เฟิงก็แสดงใบหน้าสงสัยเช่นกัน

หยางเฉ่วก็พูดว่า “ ฉันไม่แน่ใจ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ! ”

“ นี่น่าจะเป็นผลจากพลังภายนอก…… ” จู่ๆพี่เฟิงก็พูดออกมา ในเวลาเดียวกันยังทำสีหน้าเคร่งขรึมอีกด้วย

แต่ผมกลับขมวดคิ้ว “ พลังภายนอก พลังภายนอกอะไร ”

“ ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่จะต้องมีคนอื่นเข้ามายุ่งกับพิธี ไม่อย่างนั้นพิธีนี้ก็คงไม่ถูกขัดจังหวะอย่างกะทันหัน ” พี่เฟิงพูดต่อ

 

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ในใจของผมก็อดไม่ได้ที่จะเต้นแรง

ในเวลาเดียวกันก็หันไปมองรอบๆ นอกจากพวกเรา และผีห้าตนที่นอนสลบอยู่บนพื้นแล้ว คนที่เหลือก็คือพวกเสี่ยวม่านสี่คนที่เป็นแค่คนธรรมดาและกำลังยืนตัวสั่นอยู่

ผมแอบพูดในใจ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกใจสั่นไปด้วย

หรือว่าคนที่อยู่เบื้องหลังจะเห็นความผิดปกติแล้ว เลยชิงลงมือก่อน

ในใจของผมกำลังคิดแบบนี้ และกำลังจะเข้าไปใกล้ผีทั้งห้าตน

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆรอบๆตัวก็มีลมกระโชกแรงพัดเข้ามา มันเย็นจนผมต้องตัวสั่น

ขณะที่ลมกระโชกแรงพัดเข้ามา ผีห้าตนที่นอนอยู่บนพื้น ก็ลุกขึ้นยืนอย่างเป็นระเบียบ

 

ทุกตนทำเหมือนกัน และยังทำแบบไม่ให้สุ่มให้เสียง

จู่ๆก็ลุกขึ้นมา ทำให้ผมตกใจ ยืนอึ้งไปในทันที

หลังจากมองดูพวกเขา ผมก็พบว่าผีทั้งห้าตนได้ยืนเรียงแถว อยู่ตรงหน้าของพวกเราอย่างเป็นระเบียบ

ไม่ใช่แค่นั้น พวกเขาทุกตนยังหลับตา และไม่ขยับเขยื้อนเหมือนเคย

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ

ตอนนี้ ผมได้รู้สึกถึงพลังชั่วร้าย ที่ไหลออกมาจากร่างของผีทั้งห้าตนอีกครั้ง เหมือนพวกเขาเปลี่ยนไป กลับมาเป็นผีร้ายอีกครั้ง

และ บนหัวของพวกเขา ก็ยังมีไอสีดำค่อยๆไหลออกมา……

 

นอกจากผมแล้ว ม่านตาของหยางเฉ่วและพี่เฟิงเองก็ขยายออกอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงหยางเฉ่วพูดอย่างตกใจ “ แย่แล้ว รีบผนึกพวกเขาเร็ว พวกเขาจะกลายเป็นผีร้ายอีกแล้ว ”

หลังจากพูดจบ หยางเฉ่วก็รีบหยิบยันต์ออกมา เธอคิดจะผนึกผีทั้งห้าตนอีกครั้ง

ผมเองก็ไม่รอช้า หยิบยันต์ผนึกออกมาสองใบ และกำลังจะลงมือเช่นกัน

ผลลัพธ์ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงหัวเราะที่แหบแห้งของยายแก่คนหนึ่ง ก็ดังขึ้นอยู่รอบๆตัวของพวกเรา

“ ฮึฮึฮึ…… ”

ขณะที่เสียงนี้ดังขึ้น ในใจของผมก็เกิดกลัว และมองดูรอบๆตัวไม่หยุด

 

ใครกำลังหัวเราะอยู่ แต่เสี่ยวม่านและคนอื่นๆ กลับถูกเสียงที่น่าขนลุกนี้ ทำให้ตกใจจนกรีดร้องออกมา พวกเธอถอยหลังไปอย่างต่อเนื่อง

ดูเหมือนพวกเขาจะมองไม่เห็นผีห้าตน ไม่อย่างนั้นต้องตกใจจนสลบไปแล้วแน่ๆ

เพื่อหยุดการกระทำของเสี่ยวม่านและคนอื่นๆ และไม่ให้พวกเขาวิ่งไปคนละทิศละทาง

ผมจึงรีบหันมาพูดว่า “ พวกเธอหลับตาเอาไว้ หมอบอยู่ที่เดิม ถ้าฉันไม่พูด ใครก็ห้ามลืมตา ไม่อย่างนั้นทุกคนต้องตายแน่ ! ”

น้ำเสียงปนไปด้วยการข่มขู่ แต่ผลลัพธ์กลับใช้ได้ผลมาก

เสี่ยวม่าน วูน่า เจ้าแว่นและเพื่อนอีกคนต่างกลัวจนถึงขีดสุด เมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้น ไหนเลยจะกล้าชักช้า

 

พวกเขารีบหลับตา จากนั้นหมอบลงไปกับพื้นทันที

เมื่อเห็นท่าทางที่หวาดกลัวของพวกเขา และร่างกายที่สั่นเทา ผมก็รู้ทันทีว่าพวกเขากำลังหวาดกลัวแค่ไหน

ขณะที่เสี่ยวม่านและคนอื่นๆหมอบลง ทันใดนั้นผมก็พบว่า ตอนนี้ไอดำที่ไหลออกมาจากหัวของผีทั้งห้าตน มันเริ่มรวมตัวกันอยู่ตรงกลางระหว่างตัวของพวกเขาแล้ว

ขณะที่ไอดำกำลังรวมตัว จู่ๆเงาที่มืดมนของใครบางคน ก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของพวกเรา และเสียงหัวเราะที่ได้ยินก็คือเสียงที่ใครคนนี้เป็นคนเปล่งออกมา

ขณะที่เงาของใครคนหนึ่งปรากฎตัว ผมก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “ แกเป็นใคร ! ”

ผลลัพธ์เสียงเพิ่งจางหาย เงาที่คลุมเครืออยู่นั้นก็หัวเราะ “ ฮึฮึฮึ ” จากนั้นก็พูดกับผมด้วยเสียงที่แหบแห้ง

“ พ่อหนุ่มน้อย นี่เพิ่งผ่านไปไม่นาน เธอก็ลืมยายแก่คนนี้แล้วเหรอ ”

 

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ผมก็หนาวสั่นไปทั้งตัว

แม้ว่าเสียงนี้จะแหบมาก แต่ผมกลับจำได้อย่างชัดเจน เพราะเธอก็คือยายแก่ลึกลับที่ฆ่าเจ้าเชี่ยนเชี่ยนไปนั่นเอง

สีหน้าของผมเปลี่ยนไปทันที กลายเป็นใบหน้าบูดบึ้ง “ แกนี่เอง ! ยายแก่ที่ฆ่าเจ้าเชี่ยนเชี่ยน ! ”

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ผมก็ดึงดาบไม้ออกมาจากฝักทันที

นี่คือปีศาจ จะรอช้าไม่ได้

นอกจากพี่เฟิงจะไม่เข้าใจที่มาของยายแก่คนนี้แล้ว ในคืนนั้นหยางเฉ่วเองก็อยู่ในเหตุการณ์

ในเวลานี้เธอจึงเริ่มระแวดระวัง กำดาบไม้ในมือให้แน่นกว่าเดิม

 

และตอนนี้เงาดำนั้น ก็ได้หัวเราะ “ ฮึฮึฮึ ” ออกมาอีกครั้ง จากนั้นเธอก็เริ่มรวมตัว กลายเป็นรูปร่างของคนๆหนึ่ง

จากหัวจรดเท้า เธอใส่ผ้าคลุมสีดำ ถือไม้เท้า หลังค่อม และเผยให้เห็นคางที่เหี่ยวย่น แต่พวกเราก็ยังมองไม่เห็นใบหน้าที่ลึกลับของยายแก่คนนี้

ไม่ผิดแน่ ยายคนนี้ก็คือคนที่ฆ่าเจ้าเชี่ยนเชี่ยน ที่เป็นหนึ่งในผู้ควบคุมขององค์กรตาผีลึกลับ

หลังจากที่ยายแก่ลึกลับนี้ปรากฎตัว ร่างกายของผมก็ตรึงเครียดทันที

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปีศาจแบบนี้ ผมจึงไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย

แต่ในเวลานั้นเอง ยายแก่ก็พูดออกมาอีกครั้ง “ พ่อหนุ่มน้อย เธอนี่ไม่มีทารยาทจริงๆ เธอเรียกฉันว่าป้าคนสวยได้นะ แต่ยังไงพวกเธอก็สร้างเรื่องยุ่งให้ฉัน ดึกดื่นขนาดนี้ กลับมาทำลายทาสผีหลายตัวของฉันอีกแล้ว ทำให้ฉันต้องเดือดร้อนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจริงๆ ”

 

เสียงของยายแก่แหบมาก แต่ตอนพูดเธอดูสบายๆ ไม่มีความโกรธอะไรอยู่เลย

พี่เฟิงเป็นนักเลงมาก เมื่อได้ยินยายแก่พูดแบบนั้น เขาก็ด่าออกมาทันที “ ป้าคนสวยกะแม่แกน่ะซิ เรียกยายแก่หนังเหี่ยวก็ว่าไปอย่าง เก่งจริงก็เข้ามาเลย ฉันจะฆ่าแกให้ตาย…… ”

“ ยายแก่อย่างแก ทำแต่เรื่องชั่วร้าย แกไม่กลัวโดนลงโทษบ้างเลยเหรอฮะ ” หยางเฉ่วถามเสียงดัง

แต่ยายแก่คนนั้นกลับหัวเราะ “ ฮึฮึ ” “ ลงโทษฉันงั้นเหรอ ฉันเป็นอมตะ จะยังต้องกลัวการลงโทษนั้นอีกทำไม ”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ยายแก่ก็หยุดไปแป๊บนึง จากนั้นเธอก็พูดต่อ “ เด็กอย่างพวกเธอ นอกจากจะก่อปัญหาให้ฉันแล้ว ยังไม่มีทารยาท ไม่มีการศึกษาจริงๆ ในเมื่อเป็นแบบนี้ คืนนี้ฉันก็จะทำให้พวกเธอสมปรารถนา ทำให้พวกเธอกลายเป็นทาสผีอยู่ที่ตำบลหม่าหวางแห่งนี้นี่แหละ ! ”

หลังจากพูดจบ ยังไม่รอให้พวกเราได้โต้กลับ ยายแก่คนนั้นก็ยกมือขึ้น และประสานมือเป็นรูปดาบที่หน้าอกทันที

 

จากนั้น พวกเราก็ได้ยินยายแก่พูดด้วยเสียงอันแหบแห้ง “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง เพี๊ยง ! ”

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ผีห้าตนที่อยู่ด้านหลังยายแก่ ก็ตัวสั่นขึ้นมาอย่างกระทันหัน

จากนั้นพลังชั่วร้าย ก็ไหลเวียนไปมาอย่างรวดเร็ว

นอกเหนือจากนั้น ในเวลานี้ที่หน้าผากของผีห้าตนยังแยกออก และมีลูกตาสีขาวโพนลูกหนึ่ง โผล่ออกมา

เมื่อพวกเราสามคนเห็นแบบนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าหนึ่งครั้ง

ตาผี ตาผีที่สามปรากฎแล้ว

ขณะที่ดวงตาดวงที่สามปรากฎออกมา ในเวลานี้พลังชั่วร้ายที่ถูกขับออกไปจากร่างกายของผีห้าตน ก็ได้ถูกคนควบคุม ให้พลังชั่วร้ายกลับเข้ามาอยู่ในร่างกายอีกครั้ง

 

ยายแก่คนนั้นเงยหน้าเล็กน้อย จึงเผยให้เห็นส่วนคางที่เหี่ยวย่น จากนั้นเธอก็พูดออกมาเบาๆว่า “ ฆ่าพวกมันซะ ! ”

เมื่อคำพูดนี้ดังขึ้น ผีห้าตนที่เคยหลับตาอยู่ ก็ต่างลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ขณะที่พวกเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็เห็นว่านัยน์ตาของพวกเขาได้หายไปหมดแล้ว ตอนนี้พวกเขากลับมามีดวงตาสีขาวโพน และไร้ชีวิตชีวาอีกครั้ง

ไม่ใช่แค่นั้น วินาทีที่พวกเขาลืมตาขึ้น ผีทุกตนยังอ้าปากอย่างรวดเร็ว พวกเขาต่างคำราม “ โฮก ” มาทางพวกเรา พร้อมกับเผยให้เห็นเขี้ยวที่แหลมคม

วินาทีต่อมา ผีทั้งห้าตนก็ยกกรงเล็บขึ้น และพุ่งมาทางพวกเราทันที

 

เมื่อผมเห็นผีห้าตนพุ่งเข้ามา ในใจก็โมโหขึ้นมาทันที

อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้นพวกเราก็จะส่งวิญญาณของพวกเขาได้แล้วเชียว

ผลลัพธ์กลับช้าไปเพียงแค่ก้าวเดียว ท้ายที่สุดพวกเขาก็ถูกสมาชิกในองค์กรตาผีควบคุม

ตอนนี้ พวกเขาจึงกลายเป็นผีร้าย และสูญเสียสติปัญญาอีกครั้ง

ความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาล้วนสูญเปล่า และตอนนี้พวกเรายังไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจับดาบไม้และพุ่งเข้าไปห้ำหั่นกับพวกเขาอีกครั้ง……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset