ศพ – ตอนที่ 157 กลายเป็นมือสังหารอีกครั้ง

ตอนที่ 157 กลายเป็นมือสังหารอีกครั้ง

ในใจของผมกำลังโมโหมาก แต่ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ได้ นอกจากจะจับอาวุธไปสู้กับอีกฝ่าย

สีหน้าของผมเคร่งขรึมลง จ้องยายแก่ที่ถือไม้เท้า และคลุมผ้าคลุมสีดำอย่างเย็นชา จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังทันที “ ลงมือ ! ”

หลังจากพูดจบ ผมก็กำดาบไม้แน่น และเข้าไปปะทะกับผีห้าตนที่พุ่งเข้ามาทันที

เพราะตอนนี้ผีทั้งห้าตน ถูกกระตุ้นด้วยคาถา ตาที่สามจึงปรากฎ

พลังของพวกเขา จึงแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้มาก

และสิ่งที่ผมมั่นใจมากคือ พวกเขากลายเป็นผีร้ายไปแล้ว

 

การเป็นผีร้ายในครั้งนี้ เพราะเป็นการเปลี่ยนเป็นครั้งที่สอง และพลังของพวกเราสามคน ยังสูญเสียไปตอนที่ช่วยพวกเขาให้หลุดจากพลังชั่วร้าย

แถมตอนนี้ยังต้องมาสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย แถมยังมียายแก่ปรากฎตัวอีก พวกเราจึงทำได้เพียงส่งพวกเขาด้วยอาวุธ และทำให้คนอีกกลุ่มหนึ่งปลอดภัยเท่านั้น

ผมจับดาบแทงไปข้างหน้า เล็งว่าจะแทงผีตาแก่ที่อยู่ใกล้ที่สุดให้ตายในดาบเดียว

แต่ตอนนี้ผีตาแก่ดุร้ายมาก เมื่อเห็นดาบของผมแทงเข้ามา เขาก็บิดตัว หลบการโจมตีของผมทันที

ไม่ใช่แค่นั้น เขายังคำราม “ โฮก ” ออกมา จากนั้นก็กวาดกรงเล็บ มาที่คอของผมอย่างรวดเร็ว

ผมจะกล้ารอช้าได้ยังไง วินาทีนั้นผมเองก็รีบหลบไปอีกทางด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว

และกรงเล็บที่แหลมคมนั้น ก็ผาดผ่านไปตามลำคอของผม อีกนิดเดียวผมก็แทบต้องเอาชีวิตเข้าไปแลกแล้ว

 

แต่มันยังไม่จบเท่านี้ ผมเพิ่งหลบการโจมตีได้ ผีเด็กหญิงตนนั้นก็พุ่งเข้ามา

ตอนนี้ผีเด็กหญิงเปลี่ยนเป็นดุร้ายบ้าคลั่งไปแล้ว ทั้งตัวของเธอหล่อหลอมไปด้วยพลังชั่วร้าย

ดวงตาสีขาวโพนจ้องผมอย่างไม่ละสายตา ทันใดนั้นเธอก็พุ่งลงมาจากฟ้า

เขี้ยวที่แหลมคมของเธอ ตรงเข้ามากัดที่หน้าของผมทันที

ตอนนั้นผมเพิ่งหลบการโจมตีได้ ยังไม่ทันยืนให้มั่นคง ผีเด็กก็พุ่งเข้ามาแล้ว ดังนั้นผมจึงไม่สามารถหลบการโจมตีครั้งนี้ได้

แต่ในเวลานั้นเอง จู่ๆหยางเฉ่วก็โผล่ออกมาจากด้านหลังของผม

ผมเห็นเธอกระโดดขึ้น จากนั้นก็ตะโกนออกมาทันที “ ไสหัวไป ! ”

ขณะที่พูด หยางเฉ่วก็ดึงลวดยาวออกมาจากเอว

 

“ ฟืด ” ลวดเส้นนั้นกลายเป็นเส้นโค้ง ตรงเข้าไปที่คอของผีเด็กหญิงทันที

หลังจากลวดเข้าไปที่คอของผีเด็กหญิง หยางเฉ่วก็ไม่ลังเลกระตุกมันอย่างรวดเร็ว

ผลลัพธ์ผีเด็กหญิงที่พุ่งเข้ามาหาผมก็กรีดร้องออกมา และล้มลงไปกับพื้นทันที……

เมื่อเป็นภัยอันตรายผ่านพ้นไปแล้ว ผมก็อดไม่ได้ที่จะหันมาพูดกับหยางเฉ่วว่า “ ขอบใจมาก ! ”

แต่มุมปากของหยางเฉ่วกลับยกขึ้นมาเล็กน้อย “ อย่าเพิ่งขอบใจ เอาชีวิตให้รอดก่อนแล้วค่อยพูด ! ครั้งนี้ห้ามใจอ่อนเด็ดขาด ! ”

หลังจากพูดจบ หยางเฉ่วก็ขึ้นไปทับผีเด็กหญิงทันที ดาบไม้ที่อยู่ในมืออีกข้างของเธอ ตรงเข้าไปแทงผีเด็กทันที เห็นได้ชัดว่าเธอคิดจะกำจัดผีเด็กหญิง

เมื่อเห็นการกระทำของหยางเฉ่ว ผมก็ไม่ฉุดรั้งเธอ

 

ผมเข้าใจดีว่าตอนนี้พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับอะไร และรู้ดีว่าพวกเขาเองก็ถูกบังคับ พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์

แต่ถ้าตอนนี้ พวกเราไม่ฆ่าพวกเขา คนที่จะตายอยู่ที่นี่ ก็คือพวกเรา

เพราะผีร้ายที่กลับมามีพลังชั่วร้ายเป็นครั้งที่สอง อยู่เหนือความสามารถของพวกเราแล้ว ถึงแม้อยากจะเข้าไปยุ่ง หรืออยากทำให้พวกเขากลับมามีสติได้อีกครั้ง แต่พวกเราก็ทำไม่ได้

ในเวลานี้ผีเด็กหญิงตนนั้นก็ร้ายกาจมาก หลังจากที่เธอคำรามออกมา เธอก็ดึงลวดที่คอออก จากนั้นก็เข้าปะทะกับหยางเฉ่วอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อหันไปมองที่หานเฉ่วเฟิง ตอนนี้พี่เฟิงเป็นกำลังหลักของพวกเรา เขาเองก็เข้าไปต่อสู้ กับผีสามตนด้วยตัวคนเดียว

 

พลังของพี่เฟิงสูงกว่าพวกเราสองคน ถ้าเทียบจากสายตาเขาก็น่าจะในขั้นอาจารย์ลัทธิเต๋าหรือไม่ก็สูงกว่านั้น

ขณะที่กำลังสู้กับผีสามตน แม้แต่การโจมตีของเขาก็ยังแตกต่างจากก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ไม่ได้ตกที่นั่งลำบาก

ส่วนยายแก่คนนั้น เธอยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน เธอเผยให้เห็นคางที่เหี่ยวย่น มองพวกเราจากที่ห่างไกล ราวกับกำลังดูการแสดงที่ยิ่งใหญ่อยู่อย่างนั้น

ในเวลานี้ ผมได้ยืนให้มั่นคงแล้ว และผีตาแก่ตนนั้นก็พุ่งมาทางผมอีกครั้ง

ตอนนี้เขาเหมือนกับสัตว์ร้าย อ้าปากคำราม “ โฮกโฮก ” ออกมา

ผมไม่กล้าชักช้า รีบเคลื่อนพลัง เพ่งสมาธิเตรียมรับการโจมตีทันที

ผีตาแก่ที่มีตาที่สาม ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อกี้กี่เท่า

 

ก่อนหน้านี้ถ้าสู้กันตัวต่อตัว ผมสามารถปราบผีทุกตนได้อย่างแน่นอน

แต่ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าผมกำลังตกที่นั่งลำบาก

ทุกครั้งที่ผีตาแก่โจมตี เขาก็ต่างใช้พลังอันมหาศาล ถ้าไม่ใช่เพราะมีดาบไม้ที่คอยปราบพลังชั่วร้ายอยู่ในมือ ป่านนี้ผมก็คงถูกเขาฉีกเป็นชิ้นๆไปแล้ว

แต่ตอนที่ผมกำลังต่อสู้กับผีตาแก่ด้วยความยากลำบากอยู่นั้น ในที่สุดการต่อสู้ของหยางเฉ่วและผีเด็กหญิง ก็ได้แยกแยะฝ่ายแพ้ชนะได้

หยางเฉ่วฟาดฟันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผีเด็กถูกบีบเข้าไปในมุมหนึ่งของจัตุรัส ในเวลาเดียวกันเธอก็ยังโจมตีด้วยยันต์สามแผ่นติดกัน

แม้ผีเด็กหญิงจะร้ายกาจ แต่ก็ไม่ร้ายกาจจนสามารต้านทานคาถาของหยางเฉ่วได้

 

หลังจากเจอยันต์สามแผ่นติดกัน ผีเด็กหญิงตนนั้นก็จนมุม ไม่สามารถหนีไปไหนได้อีก

ผลลัพธ์แค่คิดก็รู้ผล  หยางเฉ่วแปะยันต์แผ่นหนึ่งลงบนตัวผีเด็กหญิงทันที

หลังจากยันต์ถูกแปะลง หยางเฉ่วก็ตะโกนออกมาทันที

ทันใดนั้นเสียงระเบิด “ ปัง ” ของยันต์ก็ดังขึ้น และแล้วผีเด็กหญิงก็กรีดร้องออกมา

ต่อจากนั้นหยางเฉ่วก็ไม่ปราณี พูดออกมาเบาๆ “ ฉันไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ! ”

หลังจากพูดจบ เธอก็ยกดาบขึ้น แทงเข้าไปที่หน้าอกของผีเด็กหญิงทันที

เพราะผลกระทบจากยันต์ และถูกแทงที่หน้าอก ไหนเลยผีเด็กหญิงจะยังมีชีวิตอยู่ได้

 

ร่างกายของเธอเริ่มสั่นอย่างรุนแรง ตาผีที่หน้าผาก ระเบิดในทันที มันกลายเป็นของเหลวสีดำไหลย้อยลงตามใบหน้าของเธอ

จากนั้นพลังชั่วร้ายไหลทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง ผีเด็กหญิงทรุดตัวลงไปกับพื้นทันที

ชะตากรรมของผีเด็กหญิงจบสิ้นแล้ว ดวงวิญญาณของเธอกำลังแตกสลาย

แต่ในตอนนั้นเอง ผีเด็กหญิงกลับเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย

เธอมองหยางเฉ่ว แล้วก็พูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ “ พี่สาว แก้ แก้ แก้แค้น ให้ ให้พวกเราด้วย…… ”

เสียงเพิ่งจางหาย ผีเด็กหญิงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป “ ตูม ” ร่างกายของเธอระเบิด กลายเป็นแสงดวงน้อยๆทันที

หยางเฉ่วมองร่างของผีเด็กหญิงที่หายไป ขณะเดียวกันเธอก็ตอบกลับด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “ วางใจได้ ! พี่สาวคนนี้จะต้องทำให้อย่างแน่นอน ! ”

 

หลังจากพูดจบ หยางเฉ่วก็ไม่สนใจ เธอหมุนตัว วิ่งเข้ามาทางผมทันที

ผมต่อสู้อย่างยากลำบาก ส่วนสถานการณ์ของพี่เฟิงยังคงไม่ชัดเจน เขายังสามารถรับมือได้

การเคลื่อนไหวของหยางเฉ่วเร็วมาก ผ่านไปเพียงชั่วพริบตาเธอก็เข้ามาในสนามรบของผมแล้ว

เธอไม่ลังเล จับดาบไม้ขึ้น และแทงเข้ามาที่ด้านหลังผีตาแก่ทันที

แต่ดูเหมือนผีตาแก่จะมีตาหลัง เขารีบหลบการโจมตี

แต่ใครจะรู้ผีตาแก่เพิ่งหลบพ้น หยางเฉ่วก็ใช้มืออีกข้าง “ ฟืด ” ดึงลวดออกมาทันที

ผีตาแก่ตกใจ คิดไม่ถึงว่าหยางเฉ่วจะลงมือแบบนี้ จึงพยายามหลบอีกครั้ง

ลวดเส้นนั้นวนไปตามแนวหัวของผีตาแก่ แต่ผีตาแก่ยังพยายามหลบ แต่ตอนนั้นเองเขาก็ได้เปิดช่องโหว่ให้เห็น

 

ม่านตาของผมขยายอย่างรวดเร็ว ผมรีบคว้าโอกาส

คำรามออกมาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็แทงดาบไม้เข้าไปตรงๆ

การแทงครั้งนี้ของผมเร็วมาก เนื่องจากเวลาและช่องโหว่ต่างเหมาะเจาะกันมาก

ตอนที่ผีตาแก่รับรู้ถึงอันตรายนี้ มันก็สายไปแล้ว

“ ฉึก ” ดาบไม้แทงทะลุจากด้านหน้า ไปสู่ด้านหลังของผีตาแก่ตรงๆ

ร่างกายของผีตาแก่เริ่มสั่นเทา เขายืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม

แต่ในตอนนั้นเองเขายังไม่ได้สติ แม้ร่างกายที่แก่ชราจะเริ่มสั่นเทา แต่เขาเผยให้เห็นหน้าตาที่น่าเกลียดน่ากลัว เขาก็ยังคิดจะยกกรงเล็บขึ้นมาทำร้ายผมอีกครั้ง

 

แต่ในเวลานี้เอง จู่ๆดาบของหยางเฉ่วก็แทงเข้ามา

“ ฉึก ” ดาบไม้ของหยางเฉ่วเองก็แทงทะลุร่างกายของผีตาแก่เช่นกัน

ตอนนี้พลังชั่วร้ายไหลออกมาจากตัวผีตาแก่อย่างต่อเนื่อง ตาที่สามที่อยู่บนหน้าผากของผีตาแก่ ได้ “ ปัง ” ระเบิดออกในทันที มันกลายเป็นของเหลวสีดำไหลออกมา

ขณะตาที่สามระเบิดออก ตาสีขาวโพนของผีตาแก่ ก็ค่อยๆกลับมามีนัยน์ตาอีกครั้ง

การเป็นผีร้ายติดกันสองครั้ง และกลับคืนสติทั้งๆแบบนี้ ทำให้ผีตาแก่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไป

แต่เมื่อนัยน์ตาของผีตาแก่เริ่มปรากฎขึ้น ก่อนจะสิ้นลมเขาก็กลับมามีสติอีกเล็กน้อย

วินาทีนั้น เหมือนเขาจะถอนหายใจออกมายาวๆ

 

เมื่อเห็นท่าทางของผีตาแก่ ในใจของผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวัง เดิมทีพวกเราต้องการช่วยเขา

แต่ตอนนี้ผมกลับต้องลงมือฆ่าเขาด้วยตัวเอง ผมอดกลั้นความรู้สึกผิดเอาไว้ จากนั้นก็พูดกับวิญญาณผีตาแก่ที่กำลังแตกสลายว่า “ ขอโทษนะครับคุณปู่ ผมช่วยพวกคุณไม่ได้แล้ว ! ”

ก่อนที่ผีตาแก่จะหายไป เขาก็เข้าใจสิ่งที่ผมพูด

ทันใดนั้นเขาก็ส่ายหัว “ โทษ โทษพวกคุณไม่ได้ ถ้าจะโทษ ก็คงต้องโทษชะ ชะตา ชีวิต…… ”

หลังจากพูดจบ ผีตาแก่ก็ถึงขีดสุด ร่างกายของเขาระเบิดออก กลายเป็นแสงเล็กๆและหายไปจากตรงหน้าของพวกเราทันที

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset