ศพ – ตอนที่ 16 นักพรตตู๋

จู่ๆก็มีชายแก่กับเด็กหนุ่มปรากฎตัว มันเลยทำให้ผมรู้สึกประหม่าอยู่นิดหน่อย

หลังจากที่สองคนนี้ได้ยินเสียงของเหล่าฉิน พวกเขาก็เข้ามาในบ้านอย่างรวดเร็ว

เหล่าฉินก็ไม่พูดอ้อมค้อม รีบแนะนำให้พวกเรารู้จักกันเลย “เหล่าติง เสี่ยวฝาน นี่คือศิษย์น้องของฉัน ตู๋อ่าว”

ในเวลาเดียวกัน เหล่าฉินก็ชี้มาทางผมและอาจารย์ให้แนะนำตัวนิดหน่อย

ทุกคนเป็นคนในสายงานเดียวกัน เมื่อยึดตามกฎในสายงาน พวกเราจึงจับมือกันเล็กน้อย

ผมเองก็เรียกนักพรตตู๋อ่าวว่า “ ผู้อาวุโส” เพื่อถือเป็นการทักทาย

 

ชื่อตู๋อ่าวนี้มันฟังดูร้ายกาจมาก แต่ก็แสดงถึงความใจดีมากเช่นกัน ส่วนเด็กผู้ชายที่อยู่ข้างๆเขาคือลูกศิษย์ของเขา ชื่อว่าเฟิงเฉ่วหาน เป็นผู้ชายที่เย็นชามาก เขาพูดออกมาไม่ถึงสองประโยคด้วยซ้ำ

หลังจากทำความรู้จักกันคราวๆ แต่ละคนก็ต่างแยกย้ายกันไปนั่งที่โซฟา

อาจารย์ให้ผมไปปิดประตู จากนั้นพวกเราก็เริ่มพูดเข้าประเด็น

แต่คนพูดกลับเป็นเหล่าฉิน เขาเล่าเรื่องที่ผมและหลี่เหล่าซานไปเก็บศพ จากนั้นก็ได้เจอผีร้ายมาพรากชีวิต เจอหลุมฝังศพอันชั่วร้าย และพูดเรื่องที่เมื่อคืนมีผีผูกคอตายมาบุกถึงบ้าน เขาพูดเรื่องทั้งหมดหนึ่งรอบ

ขณะที่นักพรตตู๋พูดคุยใบหน้าของเขายังประดับไปด้วยรอยยิ้ม แต่เวลาที่พูดกันอย่างเป็นการเป็นงานเขากลับเผยสีหน้าที่จริงจังออกมา

 

หลังจากที่เหล่าฉินพูดจบ เขาก็พูดกับนักพรตตู๋ “ศิษย์น้อง นายคิดยังไงกับเรื่องนี้”

นักพรตตู๋ผู้นี้ไม่ได้ตอบโต้โดยทันที เขาถามวันเดือนปีเกิดของผม และบ่นพึมพร่ำในปาก “ธาตุน้ำ”

หลังจากนั้นก็หันมามองที่ผม “เสี่ยวฝานซินะ เธอยื่นมือซ้ายออกมาให้ฉันดูหน่อย!”

ผมไม่เข้าใจ แต่เมื่อผู้อาวุโสพูดแล้ว แน่นอนว่าผมไม่กล้าพูดอะไรมาก

จากนั้น ผมก็ยื่นมือซ้ายออกไปตรงๆ

นักพรตตู๋ยกแขนของผมขึ้นตรงๆ จากนั้นก็มองดูที่มือซ้ายของผม ทันใดนั้นเขาก็พูดออกมาว่า “เพี้ยง!”

หลังจากพูดจบ เขาก็เอานิ้วจิ้มที่กลางมือของผม

ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกเจ็บปวดเหมือนโดนเข็มทิ่ม เหมือนกับโดนเจาะทะลวงอะไรแบบนั้น

 

ผมกัดฟัน ร้องออกมาเบาๆด้วยความเจ็บปวด

จากนั้นผมก็เห็นนักพรตตู๋หยิกแขนของผม วินาทีต่อมา เรื่องราวแปลกๆก็ปรากฎขึ้น

แขนซ้ายของผม มีจุดสีน้ำตาลเทาๆเล็กๆปรากฎขึ้น

เมื่ออาจารย์และเหล่าฉินเห็นจุดนี้ สีหน้าของพวกเขาก็ตื่นตกใจในทันที

พวกเขาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน “จุดศพ!”

เมื่อได้ยิน “จุดศพ” สองคำนี้ ในสมองของผมก็มีเสียงระเบิดดัง “เวิง” และตัวสั่นขึ้นมาทันที

จุดศพนี้จะเติบโตบนร่างของคนตายเท่านั้น แต่ผมเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วจะมีจุดศพขึ้นบนร่างกายได้ยังไง

 

ผมทำสีหน้าตื่นตระหนก “จุดศพไม่ได้มีบนตัวของคนตายเหรอ ของผมนี้อาจจะเป็นแค่ผื่นธรรมดาๆก็ได้นะ”

แต่นักพรตตู๋กลับหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็พูด “เสี่ยวฝาน เธอไม่ต้องกังวล เราเจอมันแต่เนิ่นๆ เธอจะไม่เป็นอะไรหรอก!”

“ศิษย์น้อง เสี่ยวฝานเป็นอะไรไปงั้นเหรอ” เหล่าฉินถาม

อาจารย์เองก็หันมามองหน้านักพรตตู๋เช่นกัน เขามองดูด้วยสีหน้าสงสัย

นักพรตตู๋ปล่อยมือผมอย่างผ่อนคลาย จากนั้นก็พูด “เสี่ยวฝานไม่ได้โดนแค่พลังหยินซึมเข้าสู่ร่างกายเท่านั้น เขายังถูกพิษจากศพด้วย ดังนั้นจึงได้มีสิ่งนี้ปรากฎขึ้น แต่ปัญหาไม่ใหญ่มาก เพียงแค่ดื่มน้ำข้าวเหนียวต้มก็ได้แล้วล่ะ ”

 

“แต่ว่า……”

“ นักพรตตู๋เชิญพูดมาได้เลย……” อาจารย์ของผมค่อนข้างใจร้อน จึงพูดออกมาตรงๆ “แต่พิษของศพนี้ไม่ค่อยธรรมดา เกรงว่าจะเป็นฝีมือของผีที่โหดเหี้ยม!” นักพรตตู๋ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าปัญหามันค่อนข้างแก้ยาก

เหล่าฉินไม่สุภาพอีกต่อไป “ฉันเรียกแกมา ก็เพื่อให้แกมาแก้ปัญหา แกดันมาพูดอ้อมไปอ้อมมาอยู่ได้ สรุปแล้วแก้มันได้ไหมฮะ”

เหล่าฉินระเบิดอารมณ์ออกมา แต่นักพรตผู้นี้ยังคงไม่โกรธเคือง “ศิษย์พี่อย่างรีบร้อนซิ ตอนนี้ฉันเองก็ไม่มั่นใจ  ศิษย์พี่พาฉันไปดูสถานที่เกิดเรื่องสักสองสามแห่งก่อนก็แล้วกัน!”

เมื่อนักพรตตู๋พูดออกมาแบบนี้ อาจารย์และเหล่าฉินก็ไม่รีรออะไรต่อ

 

พวกเขารีบพานักพรตตู๋ไปยังสุสานทันที เพื่อพาไปดูโอ่งขนาดใหญ่ที่เพื่อนของตัวเองจมน้ำตาย

แต่ขณะที่พวกเรามาถึงสุสาน ลูกจ้างในสุสานก็รีบวิ่งลนลานออกมา “ พี่ฉิน วิดิโอที่พี่ต้องการได้แล้วล่ะ! คนที่มาลงบันทึกในตอนนั้น ก็คือหลี่กวางหลง ”

เมื่อคำพูดนั้นออกมา “พรึบ” ใบหน้าของพวกเราทั้งสามคนก็ถอดสีทันที

มันจะเป็นไปได้ยังไง สภาพศพของหลี่กวางหลงบอกพวกเราว่า ชายคนนี้ตายไปตั้งแต่ห้าวันที่แล้ว แล้วเขาจะเป็นคนมารับเถ้ากระดูกของสองสามีภรรยาชาวประมงนั้นได้ยังไง

สิ่งที่พวกเราเดาตั้งแต่เริ่มต้น ต่างคิดว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของคนที่อยู่เบื้องหลังคนนั้น

 

เหล่าฉินบอกให้คนในสุสานไปดูวิดิโอที่บันทึกเอาไว้ แต่เมื่อคืนคอมพิวเตอร์กลับมีปัญหาขึ้นมา ดังนั้นมันจึงใช้การไม่ได้จนถึงตอนนี้

ตอนนี้เมื่อได้ยินคำตอบแบบนี้ แล้วจะไม่ให้พวกเราตกใจได้ยังไง

นักพรตตู๋และลูกศิษย์ต่างไม่รู้สถานการณ์ พวกเขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา

แต่อาจารย์และเหล่าฉิน กลับรีบเดินตามลูกจ้างคนนั้นเข้าไปในห้องรักษาความปลอดภัยทันที

เมื่อมาถึงห้องรักษาความปลอดภัย ลูกจ้างคนนั้นก็รีบเปิดวิดิโอย้อนหลังวันที่หลี่กวางหลงมารับเถ้ากระดูก พวกเราทุกๆคนต่างรู้สึกสับสนในทันที

เพราะมีวิดิโอเป็นหลักฐาน และภาพยังชัดเจนมากอีกด้วย แล้วแบบนี้จะอธิบายว่ายังไงละเนี่ย

 

นักพรตตู๋ไม่ค่อยเข้าใจ จึงถามออกมาสองสามประโยค

ผมจึงเป็นคนอธิบายให้เขาฟัง “ ผู้อาวุโส ชายคนนี้เป็นผีผูกคอตายที่ผมเจอเมื่อคืน เมื่อวานตอนกลางวันพวกเราได้ไปพบศพของเขาเข้า และมันยังเน่าเปื่อยไปอย่างมากแล้วด้วย ”

“พวกเราเดาว่า เขาน่าจะตายมาได้ 5 วันแล้ว แต่เวลาที่มารับเถ้ากระดูก พึ่งผ่านมาสองวันเท่านั้น ดังนั้น ดังนั้นนี่มันเลยแปลกมากน่ะ……”

ผมยังพูดไม่จบ นักพรตตู๋ก็พนักหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ

หลังออกมาจากห้องรักษาความปลอดภัย พวกเราก็พานักพรตตู๋ไปดูโอ่งที่หลี่เหล่าซานจมน้ำตาย จากนั้นก็พาไปจุดฝังศพของสองสามีภรรยาชาวประมง

 

หลังจากที่พวกเรามาถึงหลุมศพ กลับพบว่าต้นโอ๊ตที่ถูกตัดจนเหลือแต่ตอนั้น ดันฟื้นจากความตายขึ้นมาใหม่

เวลาไม่ถึงสองวัน มันเติบโตขึ้นเป็นต้นอ่อนเล็กๆ แต่สีของมันกลับเหมือนกับนกสีคราม ราวกับว่าถูกสาดด้วยน้ำหมึก

เมื่อคนแก่เห็นแบบนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนอย่างฉับพลัน เขาด่าออกมาตรงๆ “แม่…ซิ นี่มันฝีมือใครกันแน่ แม้แต่

เหมินติงยังไม่สามารถกดพลังชั่วจากหลุมศพนี้ได้”

หลังจากพูดจบ เขาก็ใช้เท้ากระทืบต้นกล้านั้นทันที

นักพรตตู๋ยังคงไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาหันไปมองรอบๆเป็นวงกลม หลังจากสังเกตดูสองสามรอบ

 

จากนั้นเขาก็พูดกับลูกศิษย์เฟิงเฉ่วหานสองสามประโยค บอกให้นำยันต์เหลืองไปแปะไว้รอบๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาทำแบบนั้นแล้วมันได้อะไรขึ้นมา

นักพรตตู๋เองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเพียงส่งสัญญาณให้พวกเราพาไปดูบ้านที่หลี่กวางหลงผูกคอตาย และอ่างเก็บน้ำที่เป็นสถานที่เกิดเหตุ

พวกเราไม่รู้ว่านักพรตตู๋มองเห็นเบาะแสอะไรบ้าง ได้แต่ทำตามที่นักพรตตู๋พูดเท่านั้น

เมื่อทำเรื่องพวกนี้เสร็จ ก็เป็นเวลาที่ฟ้าเริ่มมืดแล้ว

ขณะนี้นักพรตตู๋กำลังมองไปที่อ่างเก็บน้ำ และสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ทันใดนั้นเขาก็พูดออกมาว่า “ถ้ำมังกรถูกปิดผนึก ภูติผีปีศาจแบกโลง ดอกไม้สีเหลืองดับสูญ อยากปล้นชีวิตธาตุน้ำ ถึงว่า ถึงว่า!”

 

เหมือนนักพรตตู๋จะใช้ศิลปะระดับสูงในการคาดเดา แม้ว่ามันจะเป็นคำพูดของคน แต่พวกเรากลับฟังไม่รู้เรื่อง ไม่แน่ใจว่าคำพูดนี้ของนักพรตต้องการสื่อคืออะไรกันแน่

เหล่าฉินพูดออกมาตรงๆ “ศิษย์น้อง นายมองเห็นอะไร ชอบพูดสำบัดสำนวนอยู่ได้ ฉันละเกลียดท่าทางแบบนี้ของนายจริงๆ!”

ขณะนั้นนักพรตตู๋ยังเผยรอยยิ้มออกมา เขาไม่ได้โมโหเลยสักนิด

“ศิษย์พี่ ผู้อาวุโสติง ฉันมองออกเกือบหมดแล้วล่ะ ”

“มองออกแล้วเหรอ รีบพูดมา มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” เหล่าฉินพูดออกมาตรงๆ

อาจารย์และผมก็ทำสีหน้าเคร่งเครียด นี่มันเกือบจะอาทิตย์หนึ่งแล้ว แต่พวกเรายังคิดอะไรไม่ออกเลย

 

นักพรตตู๋อ่าวผู้นี้ แค่เดินเพียงรอบเดียว ก็มองทุกอย่างออกแล้ว

ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ พลังและความสามารถของคนผู้นี้ จะต้องร้ายกาจมากแน่ๆ

นักพรตตู๋ถอนหายใจออกมา เขาชี้ไปที่อ่างเก็บน้ำ “ภูมิประเทศของที่นี่ เคยมีถ้ำมังกรเก่าแกอยู่ เป็นฮวงจุ้ยที่ดี แต่หลังจากซ่อมเขื่อนครั้งใหญ่ กลับเปลี่ยนเป็นตัวปิดผนึกถ้ำมังกรไว้”

“ถ้ามองไม่ผิด ด้านล่างของพื้นน้ำ มีโลงศพอยู่ในน้ำโลงหนึ่ง”

 

“80 เปอร์เซ็นของคดีฆาตกรรมเกิดจากที่นั้น ดังนั้นเขาถึงได้แสดงฝีมือเช่นนี้ออกมาได้ เขาอยากหาร่างมาแทน ยืมศพคืนชีพ เลยขึ้นฝั่งมาสร้างเรื่องเลวร้าย”

เมื่อได้ยินถึงจุดนี้ หน้าอกของผมก็สั่นไหว เริ่มหวาดกลัว หรือพูดได้ว่า มันเลวร้ายจนเกินไป

แต่ผมก็ถามออกมา “ ผู้อาวุโส ทุกวันมีคนมาที่อ่างเก็บน้ำมากมาย แล้วทำไมเจ้านี้ถึงต้องจ้องเล่นงานผมกับหลี่เหล่าซานด้วยล่ะ ”

แต่จู่ๆนักพรตตู๋ก็พูดขึ้น “หลี่เหล่าซาน ไม่ถูก ไม่ถูก คนที่สำคัญคือเธอ เธอมีวันเกิดเป็นเอกลักษณ์ คือธาตุน้ำ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset