ศพ – ตอนที่ 164 โรคที่รักษายาก

ตอนที่ 164 โรคที่รักษายาก

ผู้ป่วยที่อาการสาหัสบางราย หรือผู้ป่วยที่มีเลือดออกในกระเพาะ ก็จะสำลักเลือดออกมา มันจึงเป็นเรื่องที่พบเห็นกันได้บ่อยๆ

แต่การสำลักเลือดพร้อมกับแมลงนั้น ยังเป็นอาการที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

และเจ้าแมลงตัวนี้ยังไม่เหมือนกับพยาธิตัวกลม แต่มันเป็นแมลงสีแดง

ตัวใหญ่ผิดปกติ ทุกตัวเหมือนกับหนอนแมลงวันที่อวบอ้วน

ฉากนี้ ทำให้ผมรู้สึกขยะแขยงมาก

ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเราทำงานในสายนี้ เห็นศพที่เน่าเละน่าขยะแขยงมามากมาย ตอนนี้ผมก็คงอ้วกออกมาแล้ว

 

ผมทำหน้าหนักใจ มองแมลงสีแดงที่อยู่บนพื้นด้วยความประหลาดใจ

“ นี่ นี่คืออะไร ” ผมถามด้วยความสงสัย

เหล่าเฟิงเองก็เป็นเหมือนผม เขาแสดงสีหน้าหนักใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจว่านี่คือแมลงอะไร

ทำไมคุณยายคนนี้ ถึงได้สำลักแมลงออกมา

ส่วนชายวัยกลางคน เขากลับกลัวยิ่งกว่าเดิม “ แม่ แม่ แม่อย่าทำให้ผมตกใจ อย่าทำให้ผม…… ”

ขณะที่พูด เขาก็ใช้เสื้อของตัวเองเช็ดเลือดที่มุมปากให้คุณยาย

ทางนั้นท่านนักพรตตู๋นั้นได้ถือกล่องยามาเรียบร้อยแล้ว ในเวลาเดียวกันเขาก็เดินเข้าไปตรวจชีพจรของคุณยาย

 

“ ท่านหมอ ท่านหมอแม่ผมเป็นอะไร ” ชายวัยกลางคนตื่นตระหนกมาก

คุณยายเองก็ไอออกมาไม่หยุด “ แคร่กแคร่กแคร่ก ” เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังทรมานมาก

ท่านนักพรตตู๋ไม่ได้ตอบกลับทันที แต่หยิบเข็มเงินออกมา จากนั้นก็บอกให้ผมและเฟิงเฉ่วหานจับคุณยายเอาไว้ให้ดีๆ เขาจะใช้เข็มเงินฝังลงไปที่ตัวของยายแก่หลายเข็ม

ขณะที่ประโยคสุดท้ายจบลง คุณยายคนนั้นก็สลบไปในทันที

“ แม่ ! แม่…… ” ชายวัยกลางคนเห็นคุณยายสลบไปอย่างกระทันหัน เขาจึงกลัวมาก

แต่ท่านนักพรตตู่กลับห้ามเอาไว้ “ อย่าร้อนใจ แม่ของนายแค่สลบไปเท่านั้น ตอนนี้ยังไม่เป็นอะไร นายบอกฉันหน่อย ว่าทำไมแม่ของนายถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ”

เมื่อชายวัยกลางคนได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมายาวๆ

 

หลังจากได้ยินคำถามของท่านนักพรตตู๋ เขาก็ตอบตามตรง เล่าเรื่องที่ร่างกายของแม่ของเขาเริ่มเปลี่ยนไปให้พวกเราฟังหนึ่งรอบ

ชายวัยกลางคนบอกว่า บ้านของเขามีแค่เขากับแม่สองคนอยู่กันเพียงลำพัง

ตอนบ่ายพอเขากลับมาจากไร่ เขาก็เห็นแม่สลบอยู่ในห้อง

ตอนนั้นชายวัยกลางคนกระวนกระวายมาก เขารีบเขย่าตัวยายแก่ทันที

แต่ผ่านไปแค่แป๊บเดียวคุณยายก็ได้สติ แต่หลังจากที่คุณยายฟื้นขึ้นมา เธอกลับเหม่อลอย

และคลื่นไส้ไม่หยุด สุดท้ายก็ “ อ้วก ” เธอสำลักเลือดสีดำออกมา และภายในเลือด ยังมีแมลงสีแดงดิ้นไปมา

ชายวัยกลางคนตกใจ เขาจึงแบกแม่ตัวเองขึ้นหลัง จากนั้นก็ตรงมาหาหมอที่ตำบลทันที

 

จนกระทั่งพวกเราเห็นฉากเมื่อกี้ ในช่วงเวลานี้ แม่ของเขาก็แทบไม่มีสติ และยังสำลักเลือดสีดำพร้อมกับแมลงออกมาเป็นครั้งคราว

สำหรับสาเหตุของเรื่องนี้ ชายวัยกลางคนเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

ผมยืนฟังอยู่ข้างๆอย่างสับสน คิดว่าเรื่องนี้เป็นเพราะอาหารเป็นพิษรึเปล่า หรือกินของไม่สะอาดที่มีไข่แมลงอยู่ด้านในเข้าไป

ผมจึงพูดกับชายวัยกลางคนว่า “ พี่ชาย คุณยายไปกินของไม่ดีมารึเปล่า ก่อนหน้านี้มีอาการอะไรแปลกๆบ้างไหม ”

ชายวัยกลางคนกลับทำหน้าขมขื่น “ ไม่นิ ! ตอนกลางวันแม่ของฉันยังดีๆอยู่เลย และฉันกับแม่ยังกินอาหารเหมือนกัน ทำไมฉันถึงไม่เป็นอะไรละ ”

นี่เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก และจากที่ผมเห็น แม้ท่านนักพรตตู๋จะมีวิชาแพทย์สูงขนาดไหน

 

แต่คิดจะรักษาโรคนี้ มันก็แทบเป็นไปไม่ได้

เพราะเขาไม่รู้สาเหตุของโรค จึงวินิจฉัยไม่ได้ ดังนั้นก็ไม่สามารถกำหนดตัวยาได้อย่างเหมาะสม

และอาการป่วยของคุณยายคนนี้ยังอยู่ในขั้นฉุกเฉิน ถ้าพวกเราหาสาเหตุไม่ได้ในเวลาอันสั้นนี้ เธอจะต้องตายอยู่ที่นี่แน่

เพราะเหตุนี้ ผมจึงคิดว่าทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้ คือพาคุณยายไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมือง

ไปตรวจเลือดที่นั้น จากนั้นก็ฉายแสงเอกซเรย์ เพราะมันน่าจะเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการวินิจฉัยหาสาเหตุและอาการของโรค

ถ้ายายแก่คนนี้ตายอยู่ที่ร้านไป๋ฉ่าวจริงๆ งั้นร้านยาเล็กๆแห่งนี้ ก็คงรับผิดชอบไม่ไหว

 

นี่ไม่ใช่แค่ส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของร้านไป๋ฉ่าว แต่ยังอาจทำให้อาการป่วยของยายแก่แย่ลงด้วย

ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อในตัวท่านนักพรตตู๋ แต่เมื่อถึงเวลานั้น ผมไม่คิดว่า ยาจีนจะสามารถรักษาอาการป่วยที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันได้

ผมเคร่งขรึมลง เห็นท่านนักพรตตู๋ไม่พูดอะไร แต่ถือเข็มเงินไปแทงที่ตัวแมลง

ผมก็พูดกับเฟิงเฉ่วหานว่า “ เหล่าเฟิง อาการป่วยของคุณยายดูแย่มาก ให้ฉันไปเรียกรถมารับเธอดีไหม ! ”

เมื่อเฟิงเฉ่วหานได้ยินผมพูดแบบนั้น เขาก็พยักหน้าให้เล็กน้อย

ตอนนี้ไม่มีอะไรชัดเจน การที่คนไข้สำลักแมลงออกมานั้น พวกเรายังไม่รู้ว่าควรรักษาโรคนี้ยังไง

เหล่าเฟิงเองก็เผยสีหน้าหนักใจ “ อือ ! ฉันจะไปบอกอาจารย์ก่อน นายช่วยไปเรียกรถมาทีนะ ”

 

เฟิงเฉ่วหานพูดเบามาก เป็นเสียงที่พวกเราได้ยินกันแค่สองคน

การทำแบบนี้ หนึ่งถือเป็นความรับผิดชอบต่อผู้ป่วย สองคือการรักษาชื่อเสียงให้ร้านไป๋ฉ่าว

ผลลัพธ์ไม่รอให้เฟิงเฉ่วหานได้เข้าไปพูด ทันใดนั้นท่านนักพรตตู๋ก็ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็พูดว่า “ ถ้าโรคนี้ต้องไปโรงพยาบาลจริงๆ งั้นยายคนนี้ก็คงหมดทางรักษาแล้ว ! ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมและเฟิงเฉ่วหานก็ยืนอึ้งไปในทันที

คิดไม่ถึงว่าท่านนักพรตตู๋จะได้ยินบทสนทนาของพวกเรา แต่ท่านนักพรตตู๋หมายความว่าอะไร หรือว่าเขาจะมีวิธีรักษาแล้ว

ไม่ตรวจเลือด ไม่ฉีดยา ไม่เอกซเรย์ มันจะมีทางรักษาโรคพิลึกนี้จริงๆเหรอ

 

“ ท่านลุงตู๋ คุณมีวิธีรักษาโรคนี้แล้วเหรอ ” ผมพูดด้วยความสงสัย

ท่านนักพรตตู๋กลับพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ ถ้าฉันยังรักษาไม่ได้ บนโลกนี้ก็คงเหลือไม่กี่คนที่รักษาได้แล้ว ! ”

ท่านนักพรตตู๋พูดอย่างมั่นใจ เขาดูสง่างามมาก และสงบมาก

และหลังจากพูดคำพูดเหล่านั้นจบ เขาก็หันไปพูดกับเฟิงเฉ่วหานว่า “ เสี่ยวเฟิง ไปหยิบกล่องเครื่องมือแพทย์ออกมาจากห้องของฉัน ! ”

เฟิงเฉ่วหานอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็รีบตอบรับ “ ครับ ” และเดินเข้าไปในห้องทันที

ชายวัยกลางคนได้ยินว่าท่านนักพรตตู๋สามารถรักษาแม่ของเขาได้ เขาจึงดูตื่นเต้นมาก

 

หลังจากช็อกไปพักหนึ่ง ผมก็กลับมาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอีกครั้ง

แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไร และยืนมองจากทางด้านหนึ่ง

ผ่านไปแป๊บเดียว เฟิงเฉ่วหานก็ถือกล่องยาออกมา

เห็นได้ชัดว่ากล่องยากล่องนี้ดูงดงามยิ่งกว่ากล่องยาตามท้องตลาด และยังมีตัวล็อคที่ทำจากทองแดง

ท่านนักพรตตู๋เปิดกล่องยาออก หยิบเครื่องมือออกมาทีละชิ้นๆ

ในนี้นอกจากจะมีพวกขวดยาแล้ว ยังมีมีดผ่าตัด เข็มเงินและอื่นๆอีกมากมาย

ท่านนักพรตตู๋นำยาหนึ่งเม็ดใส่ลงไปในปากของคุณยาย จากนั้นก็จุดตะเกียงแอลกอฮอล์ นำเข็มเงินไปฆ่าเชื้อ แล้วสุดท้ายก็เปิดเสื้อส่วนท้องของยายแก่ขึ้น จากนั้นก็เริ่มฝังเข็มลงไป

 

มือของท่านนักพรตตู๋เร็วมาก และฝังเข็มได้แม่นยำมาก

ผ่านไปไม่ถึงห้านาที ท่านนักพรตตู๋ก็ฝังเข็มลงบนหน้าท้องของยายแก่ประมาณ 30 กว่าเข็ม จะเห็นได้ว่ามือของเขาเร็วขนาดไหน

เมื่อเห็นหน้าท้องของยายแก่เต็มไปด้วยเข็ม หัวใจของผมก็เต้นรัว

ถ้ารักษาหายก็คงจะดี แต่ถ้าคนไข้ตายอยู่ที่ร้านไป๋ฉ่าว

ถึงเวลานั้นคนในครอบครัวก็คงโวยวาย และมันก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที

อาจจะโดนเพิกถอนใบอนุญาตทางการแพทย์ หรือแม้แต่ต้องจ่ายค่าปรับและเข้าไปอยู่ในคุกก็เป็นไปได้

 

ผมและเฟิงเฉ่วหานต่างกังวล ในใจมีเหงื่อออกเต็มไปหมด

แต่เมื่อถึงขั้นตอนสุดท้าย พวกเราก็พบว่าตัวเองคิดมากเกินไป

ขณะนี้ท่านนักพรตตู๋ยังฝังเข็มอย่างต่อเนื่อง พวกเราก็พบว่าการหายใจของคุณยายค่อยๆสงบลง สีหน้าของเธอดีขึ้นมาไม่น้อย

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ท่านนักพรตตู๋ก็ดึงเข็มออก และสุดท้ายก็ใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงไปยังจุดเทียนฉือที่อยู่บนหัวของยายแก่

ทันใดนั้นยายแก่ที่สลบอยู่ ก็ตื่นขึ้นมาทันที……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset