ศพ – ตอนที่ 168 ค้นหา

ตอนที่ 168 ค้นหา

เมื่อเห็นตรงหน้าเต็มไปด้วยแมลงสีแดง พวกเราสามคนก็นิ่งอึ้งไปทันที เผยสีหน้าที่หวาดกลัวออกมา

แต่ท่านนักพรตตู๋กลับตะโกนออกมาทันที “ ฝ่าออกไป พวกเราจะโดนขังอยู่ในนี้ไม่ได้ ! ”

หลังจากพูดจบ ท่านนักพรตตู๋ก็พุ่งออกไปทางประตู

ผมและเฟิงเฉ่วหานก็ไม่กล้าชักช้า ถึงจะกลัว แต่พวกเราก็ยังตามไปติดๆ

ตอนนี้ประตูบ้านเต็มไปด้วยแมลงกองยักษ์ รอบๆยังมีแมลงที่คลานเข้ามาหาพวกเราอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้สถานการณ์อันตรายมาก

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ท่านนักพรตตู๋ก็ไม่กลัว เมื่อเข้ามาใกล้ประตู ท่านนักพรตตู๋ก็ถีบอย่างแรง

 

“ ปัง ” ทันใดนั้นประตูก็ถูกถีบออกทันที

แมลงเหล่านั้น ต่างล่วงลงเพราะการถีบของท่านนักพรตตู๋

แต่แมลงบางส่วนที่เพิ่งหล่นลงบนขาของท่านนักพรตตู๋ กลับเริ่มอ้าปากกัดกางเกงของเขาทันที

แต่ท่านนักพรตตู๋ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ วินาทีนั้นเขาตะโกนว่า “ ไป ” จากนั้นก็วิ่ง ออกไปจากบ้านหลังนี้ทันที

ผมและเฟิงเฉ่วหานใช้ร่มกันแมลงบนหัวอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อคุณยายและชายวัยกลางคนที่อยู่ในสวนหย่อมเห็นพวกเราออกมา และในบ้านยังมีแมลงคลานออกมาอย่างต่อเนื่อง ดวงตาของพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะเบิกกว้าง เผยให้เห็นสีหน้าที่หวาดกลัว

 

ท่านนักพรตตู๋รีบปัดแมลงที่ขา จากนั้นก็เหยียบมันให้ตายอีกที

แม้จะเป็นเวลาเพียงครู่เดียว แต่แมลงพวกนั้นร้ายกาจมาก ตอนนี้ที่กางเกงของท่านนักพรตตู๋ ถูกกัดจนเป็นรูสองสามรู แต่โชคดีที่พวกมันยังกัดไม่ถึงผิวของเขา

แต่แมลงพวกนั้นที่อยู่ในบ้าน แม้พวกมันจะยังคลานอยู่ แต่สิ่งที่น่าแปลกคือกลับไม่มีแมลงตัวไหนคลานออกมาจากตัวบ้านเลยสักตัว

“ อาจารย์ ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ” เฟิงเฉ่วหานถามด้วยความเป็นห่วง

ท่านนักพรตตู๋มองแมลงที่กำลังคลาน และก่อตัวเป็นชั้นๆในบ้าน จากนั้นก็พูดว่า “ ไม่เป็นไร ตอนนี้พวกเราต้องรีบตามหาคนปล่อยแมลง ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้ไม่มีวันจบแน่ ! ”

 

เมื่อชายวัยกลางคนและคุณยายที่อยู่ข้างๆได้ยิน พวกเขาก็อึ้งในทันที

ทันใดนั้นคุณยายเฟิ๋งก็พูดด้วยความสงสัย “ ท่านหมอ คุณบอก บอกว่ามีคนปล่อยแมลงพวกนี้งั้นเหรอ ”

ท่านนักพรตตู๋พยักหน้าอย่างหนักแน่นอน จากนั้นก็พูดกับยายเฟิ๋งว่า “ ใช่ มีคนปล่อยแมลงพวกนี้ ”

เมื่อคุณยายเฟิ๋งและพี่เฟิ๋งได้ยิน ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตกใจมาก

“ มี มีคนปล่อย ” ชายวัยกลางคนไม่อยากจะเชื่อ เขาตกใจมาก

แต่ในเวลานี้คุณยายเฟิ๋งกลับกระตือรือร้นมาก “ สมควรตาย ทำไมต้องทำร้ายพวกเราสองคนด้วย…… ”

ท่านนักพรตตู๋พูดต่อ “ พวกคุณลองคิดให้ดีๆ พักนี้ได้ไปทำให้ใครไม่พอใจเอาไว้ไหม ”

 

พี่เฟิ๋งเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าที่ขมขื่น “ พวกเราทำไร่ทำสวนอย่างสุจริต และก็ไม่ได้ไปทำให้ใครไม่พอใจ ! ”

เมื่อเห็นพี่ชายและคุณยายไม่สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้ ผมจึงพูดกับท่านนักพรตตู๋ว่า “ ท่านลุงตู๋ ถ้าไม่มีเบาะแส แล้วพวกเรายังมีวิธีอื่นที่จะหาคนทำได้ไหม ”

ท่านนักพรตตู๋สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ “ ฉันเองก็ไม่มีวิธีดีๆด้วยซิ ทำได้แค่มองหาดูรอบๆ บางทีอาจมีเบาะแสอะไรก็ได้ ! ”

เมื่อได้ยินเท่านักพรตตู๋พูดแบบนั้น ตอนนี้พวกเราจึงทำได้เพียงเท่านี้ วางแผนมองหาไปเรื่อยๆ

เพราะคนที่ปล่อยแมลงต้องการฆ่าคนทั้งสองคนนี้ ดังนั้นยายเฟิ๋งและพี่เฟิ๋งจึงตามพวกเรามาด้วย เผื่อมีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้น พวกเราจะได้รับมือทัน

 

หลังจากที่พวกเราพักกันที่สวนหย่อมสักพัก พวกเราก็เดินออกไปจากบริเวณสวนหย่อม

ต่อมาพวกเราก็มองหารอบๆบ้าน เผื่อจะเห็นเบาะแสบางอย่าง

แต่หลังจากที่เดินดูไปรอบหนึ่ง พวกเรากลับไม่เห็นอะไรผิดปกติ จึงวางแผนว่าจะไปดูที่อื่น

แต่ในเวลานี้ จู่ๆเฟิงเฉ่วหานก็นั่งย่องๆลงกับพื้น เปิดไฟฉายสำรวจที่พื้นดิน

เมื่อผมเห็นเฟิงเฉ่วหานนั่งย่องๆ ก็ถามด้วยความสงสัย “ เหล่าเฟิง นายกำลังดูอะไรอยู่ ”

แต่เฟิงเฉ่วหานกลับหันมาพูดว่า “ เหล่าติง อาจารย์ รีบมาดูนี่ซิ…… ”

เมื่อได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูด ผมและท่านนักพรตตู๋ก็ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ หรือเขาจะเจออะไรบางอย่าง

ผมรีบเดินเข้าไป จากนั้นก็ก้มตัวลง

 

เมื่อกี้ผมไม่ได้สนใจ แต่เมื่อก้มตัวลง ทันใดนั้นผมก็เห็นลายเส้นอยู่บนพื้น มันเหมือนกับเส้นทางที่แมลงเคยคลานผ่านไป

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็ได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูดออกมาอีกครั้ง “ รอยพวกนี้เป็นทางที่แมลงพวกนั้นเคยคลานผ่านไปรึเปล่า ถ้ามันใช่ พวกเราก็สามารถใช้รอยพวกนี้ ตามหาที่มาของพวกมันได้ ”

ในใจของผมมีเสียงดัง “ กึก ” ใช่นี่เป็นวิธีที่ดี

ถ้าพวกเราทำแบบนั้น ก็จะสามารถหาตัวผู้ควบคุมแมลงพิษได้

หลังจากที่ท่านนักพรตตู๋ลองวิเคราะห์ดูแล้ว เขาก็พยักหน้าให้ “ ใช่ นี่เป็นรอยของแมลง ไป พวกเราเดินตามรอยพวกนี้ไป ! ”

 

หลังจากพูดจบ พวกเราก็เปิดไฟฉาย เริ่มเดินตามรอยที่ลางเลือนพวกนั้นไปทีละน้อย

แม้พี่เฟิ๋งและยายเฟิ๋งจะตามมาด้วย แต่ในเวลานี้พวกเขากลับกลัวจนตัวสั่น

หลังจากที่พวกเราตามรอยพวกนี้มาสักพัก พวกเราก็ค่อยๆเดินออกจากหมู่บ้าน

พี่เฟิ๋งบอกพวกเราว่า ทิศทางที่พวกเรากำลังเดินไปคือบ่อปุ๋ยหมักของหมู่บ้าน

เมื่อได้ยินคำบ่อปุ๋ยหมัก จู่ๆผมก็คิดถึงเรื่องที่ หมาทุกตัวในหมู่บ้านตายภายในวันเดียวได้ ทุกตัวต่างถูกโยนลงในบ่อปุ๋ยหมักนี้

ตอนนี้รอยแมลงบอกพวกเรา พวกมันมาจากบ่อปุ๋ยหมัก

เมื่อลองคิดดู เป็นไปได้รึเปล่าที่แมลงพวกนั้นจะฝักตัวอยู่ในศพหมา จากนั้นก็ค่อยๆคืบคลานออกมา

 

ในใจของผมกำลังคิดแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงเดินตามรอยต่อไป

เพราะบ่อปุ๋ยหมักอยู่ไม่ไกล ดังนั้นหลังจากผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงบริเวณรอบๆบ่อปุ๋ยหมัก

แต่เพิ่งมาถึงที่นี่ ทันใดนั้นพวกเราก็เห็นว่าที่บ่อปุ๋ยหมักมีแสงตะเกียง และภายใต้แสงตะเกียงนั้น ก็ยังมีเงาของใครบางคนอยู่

ในเวลานี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ใครจะยังมาบ่อปุ๋ยหมักอีกละ

เห็นได้ชัดว่า เงาของใครคนนั้น อาจเป็นผู้ควบคุมแมลงพิษ ที่อยากจะฆาตกรรมครอบครัวเฟิ๋ง

เมื่อท่านนักพรตตู๋ที่เดินอยู่ด้านหน้าเห็นสิ่งนี้ เขาก็ยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งสัญญาณให้พวกเราหยุดเดิน

ในเวลาเดียวกันก็ได้ยินเสียงเขาพูดออกมาเบาๆ “ ทุกคนหมอบลง ปิดไฟฉาย และห้ามพูดอะไรทั้งนั้น ! ”

พวกเราไม่ได้สงสัยเลยแม้แต่น้อย แต่ละคนรีบปิดไฟฉาย หมอบลงกับพื้น ใช้พุ่มไม้ เป็นที่กำบัง

 

พวกเรามองผ่านแสงตะเกียงและแสงจันทร์ สามารถเห็นว่าใครคนนั้นกำลังนั่งอยู่ที่ขอบบ่อปุ๋ยหมัก ดูเหมือนตรงหน้าของเขาจะมีกระถางธูปและของอื่นๆตั้งอยู่

ขณะที่พวกเรากำลังสังเกตคนๆนั้นอยู่ จู่ๆพี่เฟิ๋งก็พูดว่า “ นี่ นี่ไม่ใช่ผู้ใหญ่บ้านเหรอ พวกเรากับผู้ใหญ่บ้านไม่มีความแค้นกัน ! ทำไมผู้ใหญ่บ้านต้องการฆ่าพวกเราละ ”

“ รู้หน้าไม่รู้ใจ รออีกหน่อย ให้แน่ใจว่าใช่เขารึเปล่า ! ” ท่านนักพรตตู๋พูด และเฝ้ามองเขาต่อไป

หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที จู่ๆผู้ใหญ่บ้านที่นั่งอยู่ตรงขอบบ่อก็เริ่มขยับ มือทั้งสองข้างของเขาเสกคาถาอย่างรวดเร็ว

ท้ายที่สุดพวกเราก็ได้ยินเขาพูดว่า “ หมื่นแมลง จงฆ่า ! ”

 

หลังจากพูดจบ ผู้ใหญ่บ้านก็ชี้ไปที่กระถางธูป

เพียงแค่ชี้ไป ทันใดนั้นธูปในกระถาง ก็มอดไหม้อย่างรวดเร็ว ไฟในตะเกียง ก็ลุกโชติช่วงดัง “ วู่วู่วู่ ” แม้แต่เปลวไฟ ในเวลานี้มันก็เปลี่ยนสี กลายเป็นแสงสีเขียวที่แปลกประหลาด

เมื่อเห็นสิ่งนี้ สีหน้าของพวกเราทุกคนก็เปลี่ยนไปทันที

ท่านนักพรตตู๋เค้นเสียงดัง ฮึ “ ไม่ผิดแน่ ฆาตกรคือเจ้าหมอนี้ และมันยังเป็นผู้ควบคุมแมลงพิษอีกด้วย ! ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset