ศพ – ตอนที่ 17 ผีน้ำอาละวาด

เมื่อได้ยินนักพรตตู๋พูดแบบนี้ ผมก็ตกตะลึงทันที

ใช่ ผมเป็นคนธาตุน้ำ ไม่เพียงแค่นั้นผมยังเกิดในวันน้ำเดือนน้ำและปีน้ำ จึงถูกเรียกว่าธาตุน้ำไม่มีที่สิ้นสุด

ถึงแม้คนที่เป็นแบบผมจะมีไม่มาก แต่มันก็มี

แต่วันเดือนปีเกิดของผมไปทำอะไรใครเข้า ทำไมถึงถูกสิ่งชั่วร้ายจ้องเล่นงานได้กันนะ

หลังจากอาจารย์ได้ยิน เขาเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน

จากนั้นอาจารย์ก็ถามนักพรตตู๋ “ท่านนักพรตตู๋ สิ่งที่คุณจะบอก คือสิ่งที่อยู่ในน้ำออกมาไม่ได้  และต้องการใช้ร่างของเสี่ยวฝานแทนงั้นเหรอ”

 

เมื่อนักพรตตู๋ได้ยิน เขาก็พยักหน้ารับ “ใช่แล้ว ที่นี่กลายเป็นที่ขังมังกร เจ้าตัวร้ายนั้นอยากจะออกมา แต่ก็จำเป็นต้องใช้ร่างคนที่มีธาตุน้ำอย่างไม่มีที่สิ้นสุด   ต้องทำแบบนี้เท่านั้น เขาถึงจะออกมาจากในน้ำได้ ไม่อย่างนั้นการฆ่าคนจำนวนมากก็ไม่ได้ช่วยอะไร”

“แต่สิ่งที่บังเอิญมากคือ โชคชะตาของเสี่ยวฝานดันเข้าตาของเจ้านั้นพอดี นี่ถึงได้เกิดเรื่องผีร้ายมาทวงชีวิต!”

ตามการคาดเดาของนักพรตตู๋และประสบการณ์ส่วนตัวของผม สำหรับเรื่องทั้งหมดนี่ผมเองก็เริ่มมีการคาดเดา และใช้ความคิดเป็นของตัวเอง

ถ้าที่ท่านนักพรตตู๋พูดไม่ผิด งั้นชาวประมงคู่นั้น ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ถูกคนทำร้ายด้วยเช่นกัน

 

เพราะท่านนักพรตตู๋บอกว่า การตายของชาวประมงคู่นี้ 90 เปอร์เซ็นมีความเกี่ยวข้องกับผีน้ำตัวร้าย

และเขายังเดาอีกอย่าง คือก่อนวันที่ชาวประมงคู่นี้จะตาย น่าจะมีใครคนหนึ่งต้องทุกข์ทรมาน นั้นก็คือหลี่กวางหลง เพียงแค่ไม่มีใครรู้เท่านั้น

ภายในระยะเวลานี้ ผมและหลี่เหล่าซานดันเข้าไปเก็บศพที่อ่างเก็บน้ำอย่างไม่ได้ตั้งใจ

ผลลัพธ์ก็ออกมาดี และโชคชะตาที่แสนวิเศษของผม ดันไปตรงกับความต้องการของวิญญาณร้ายนั้น  ดังนั้นจึงดึงดูดการฆาตกรรมเข้าสู่ตัว

 

และนี่ก็คือเหตุผล ที่ทำไมก่อนหน้านี้ผีร้ายต้องบุกมาพรากชีวิตของผมอย่างต่อเนื่อง

แต่มันก็น่าเสียดายมาก เพราะการพรากชีวิตอย่างต่อเนื่องนั้นกลับล้มเหลว

ผีร้ายที่อยู่ในน้ำยังคงไม่หยุด  มันจึงเริ่มใช้วิธีที่แปลกใหม่กว่าเดิม  มันควบคุมหลี่กวางหลงที่ตายไปก่อนหน้าสองสามีภรรยาชาวประมงให้ออกไปรับเถ้ากระดูก

จากนั้นก็ทำหลุมฝังศพที่ชั่วร้ายไว้ด้านหลังภูเขา เพื่อเพิ่มความร้ายกาจให้ผีร้ายทั้งสองตน

แต่ในช่วงเวลานั้น อาจารย์และเหล่าฉินกลับใช้วิธีต้องห้าม คือให้ผมแต่งงานกับคนตาย

 

จากนั้นผมจึงนึกถึงฉากที่ได้ยังศาลเจ้าหลักเมือง ฉากที่ยายโม่ออกมาให้ความช่วยเหลือนั้นเอง

สองสามีภรรยาชาวประมงพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผีร้ายตนนั้นจึงเริ่มใช้ไพ่ของหลี่กวางหลง

ในเวลาเดียวกัน วันรุ่งขึ้นพวกเราก็ทำตามที่ยายโม่บอก คือการออกไปสับเปลี่ยนเถ้ากระดูก

จากนั้นก็ได้ค้นพบลูกไม้ที่คนทำไว้โดยบังเอิญ สุดท้ายก็ไล่สืบมาจนถึงบ้านหลี่กวางหลง และพบว่าที่จริงหลี่กวางหลงนั้นได้ผูกคอตายไปนานแล้ว

แต่สิ่งที่บังเอิญยิ่งกว่าคือเมื่อคืน หลี่กวางหลงดันบุกเข้ามาที่บ้าน

ผีตนนี้ร้ายกาจมาก สามารถวางแผนล่วงหน้าทำให้อาจารย์และเหล่าฉินสลบไปได้

 

ตอนแรกมันคงคิดว่าผมต้องตายแน่ๆ แต่ทันใดนั้นผีเมียก็ปรากฎขึ้น หลี่กวางหลงตกใจกลัวจนเสียสติ เขายังไม่ได้ลงมือก็วิ่งคอตกออกไปทันที

แน่นอน ในเรื่องนี้ ผม อาจารย์และเหล่าฉิน ต่างไม่มีใครพูดถึงเรื่องของผีเมียเลยสักคน

แค่พูดว่า ใช้ฝีมือของตัวเอง จนสามารถช่วยชีวิตให้ผ่านไปได้คืนแล้วคืนเล่า

ตอนนั้นผมยังไม่แน่ใจ จนตอนหลังผมถึงได้รู้ว่า

ชีวิตของคนกับสิ่งลี้ลับมีข้อห้ามเยอะมาก แม้ว่าจะอยู่ในสายงานนี้ก็ตาม แต่ใครก็ไม่อาจล้ำเส้นกันได้

ดังนั้น อาจารย์และเหล่าฉินจึงไม่พูดถึง เมื่อพวกเขาทั้งสองคนไม่พูดมันก็เป็นธรรมดาที่ผมเองก็จะไม่โง่พูดออกมาว่าตัวเองแต่งงานกับคนตาย

 

หลังจากนักพรตตู๋ทบทวนอีกครั้ง เขาก็สรุปให้พวกเราฟัง

แต่เดิมเรื่องราวทั้งหมดต่างขุ่นมัว สุดท้ายพวกเราก็ได้เข้าใจมันอย่างชัดเจน

อาจารย์ถามนักพรตตู๋ว่า “ท่านนักพรตตู๋ ถ้าเป็นแบบที่พูด คนที่สร้างเรื่องนี้ขึ้นมา ก็คือผีชั่วที่อยู่ในน้ำ ขอแค่พวกเราหาวิธีจัดการมันได้ เรื่องนี้ก็จะจบลงแล้วใช่ไหม ”

นักพรตตู๋พยักหน้าเล็กน้อย “ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่พวกคุณเคยคิดไหมว่า ผีชั่วตนนี้ ที่มันมีฝีมือได้ถึงขนาดนี้ เกรงว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่จัดการได้ง่ายๆ มันเองก็มีชีวิตเฉกเช่นเดียวกับพวกเรา ต่างเชี่ยวชาญศาสตร์ด้านนี้ คิดจะกำจัดมัน คงจะทำได้ยาก!”

 

เหล่าฉินขมวดคิ้ว “ไอ้เด็กนี้แล้วมันทำได้ไหมฮะ ฉันเรียกแกมาเพื่อให้จัดการเรื่องนี้ แต่แกกลับบอกฉันว่าจัดการได้ยากเนี่ยนะ”

เหล่าฉินพูดจาอย่างไม่ไว้หน้า  แต่นักพรตตู๋ก็ยังไม่โกรธ

เขายังยิ้มและพูดกับเหล่าฉิน “ศิษย์พี่คุณยังอารมณ์ร้อนเหมือนเดิมเลยนะ แม้ว่าเรื่องมันจะจัดการยาก แต่ถ้าพวกเราร่วมมือกัน ก็ไม่ได้แปลว่าจะจัดการไม่ได้นินา! ก่อนหน้านี้ผมก็ทำลูกเล่นไว้ที่หลุมศพแล้ว และยังติดยันต์เหลืองไว้ที่บ้านของผีผูกคอตายตนนั้นด้วย”

“รอให้ถึงคืนนี้ พวกเราจะไปรอกันที่บ้านของผีผูกคอตายตนนั้น ถ้าผีชั่วนั้นคิดจะควบคุมทาสพวกนี้อีก เพื่อให้มันได้ร่างกายของเสี่ยวฝาน คืนนี้มันก็ต้องมา!”

 

นักพรตตู๋พูดประโยคนี้ด้วยความมั่นใจมาก ราวกับทุกอย่างอยู่ในกำมือของเขา

แต่ผมไม่เข้าใจ จึงถามขึ้น “ ผู้อาวุโสตู๋ พูดแบบนี้ คือผีชั่วนี้สามารถขึ้นฝั่งได้ และยังร้ายกาจมากอีกด้วย แล้วทำไมเขาไม่มาลงมือกับผมด้วยตัวเองละ  ทำไมต้องเปลืองแรงมากขนาดนั้น และอีกอย่างคุณมั่นใจได้ยังไงครับว่าคืนนี้มันต้องมาแน่ๆ”

เมื่อผมพูดขนาดนี้ เหล่าฉินและอาจารย์ก็ต่างหันไปมองที่นักพรตตู๋ อยากฟังคำอธิบายที่สมบูรณ์แบบ

แต่นักพรตตู๋กลับพูด “ที่ผีน้ำสามารถขึ้นฝั่งได้นั้น จะต้องใช้ร่างมนุษย์อย่างแน่นอน เมื่อเข้าสู่ร่างมนุษย์ ความสามารถที่มีก็จะไม่เท่ากับตอนที่อยู่ในน้ำ”

 

“สำหรับเรื่องที่ทำไมถึงมั่นใจ ก็เพราะยันต์เหลืองแผ่นนั้นถูกเรียกว่ายันต์ชำระล้าง ถ้ายันต์แผ่นนี้ยังอยู่ เวลาผีผูกคอตายตนนั้นถูกควบคุมก็จะมีการผนึกเกิดขึ้น ดังนั้นเขาจะต้องมากำจัดมันด้วยตัวเอง”

เมื่อฟังเรื่องพวกนี้จบ ทุกคนก็เข้าใจทันที

เมื่อมองท้องฟ้า มันก็กลายเป็นสีดำไปเสียแล้ว

เพื่อไม่ให้เสียเวลา พวกเราจึงรีบกลับไปที่ร้าน เตรียมของสารพัดหลากหลาย แม้แต่นำเถ้ากระดูกของสองสามีภรรยานั้นมาด้วย เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน

ช่วงนั้นพวกเรายังกินอะไรกันนิดหน่อย จากนั้นก็ตรงมาที่บ้านของหลี่กวางหลง

 

บ้านของหลี่กวางหลงเป็นบ้านเดียว รอบๆไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ดังนั้นการมาที่นี่ของพวกเรา จึงไม่มีใครพบเห็น

เมื่อมาถึงบ้าน ก็เป็นอย่างที่คิดผนังด้านหนึ่งของในบ้าน มียันต์สีเหลืองถูกแปะไว้แผ่นหนึ่งจริงๆ

แต่ว่าเมื่อมองพัดลมเพดานที่อยู่ในบ้าน มันก็ทำให้ผมคิดถึงสภาพที่หลี่กวางหลงผูกคอตาย ทันใดนั้นใจของผมก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที

ตอนนี้เป็นเวลา 3 ทุ่มตรง พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าผีชั่วตนนั้นจะมาเมื่อไหร่ ทุกคนจึงทำได้เพียงแค่นั่งรอกันอยู่ในบ้าน

 

ชายชราทั้งสามคนนั้นพูดคุยกันสองสามประโยคเพื่อเป็นการฆ่าเวลา เมื่อผมเห็นว่าเฟิงเฉ่วหานเองก็มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม จึงคิดว่าจะเข้าไปทักทายเขาสักหน่อย

แต่สุดท้ายเจ้าเด็กนี้กลับทำหน้าเย็นชา จ้องผมและตอบกลับมา “พวกนายยังมีเรื่องปิดบังฉันและอาจารย์ นายไม่ได้แค่โดนผีน้ำตามล่า น่าจะยังมีสิ่งชั่วร้ายอย่างอื่นจ้องอยู่ด้วย! ทางที่ดีคืนนี้นายควรตามติดฉันเอาไว้ ไม่อย่างนั้นนายได้ตายแน่!”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ของเฟิงเฉ่วหาน ผมถึงกับงงในทันที

 

ยังมีผีติดตามฉัน นอกจากผีสองสามีภรรยานั้น ผีผูกคอตาย แล้วจะยังมีใครอีกละ

ไม่มีทาง ไม่มีทางหรือว่านักพรตตู๋อ่าวจะมองเห็นผีเมียที่คอยตามปกป้องผมงั้นเหรอ

เดิมทีผมยังคิดจะคุยอีกสองสามประโยค แต่เจ้าเด็กนี้กับทำท่าทางเย็นชาแล้วยังไม่พูดกับผม

เฮ้อช่างน่าเบื่อจริงๆ สุดท้ายผมก็ได้แต่นั่งซังกะตายอยู่ในบ้าน

เมื่อรอบๆเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ จนเวลาล่วงเลยมาประมาณเที่ยงคืนครึ่ง จู่ๆในบ้านก็เย็นขึ้นมาเป็นพิเศษ สายลมที่เยือกเย็นไหลเข้ามาสู้ในบ้านอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเทียนในบ้านสั่นไหว “พรึบพรึบพรึบ” ทันใดนั้นแสงเทียนก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว

เมื่อนักพรตตู๋เห็นสิ่งนี้ เขาก็หน้าซีด รีบพูดออกมาทันที “ทุกคนรีบไปซ่อนตัว เจ้านั้นมาแล้ว……”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset