ศพ – ตอนที่ 170 นางพญา

ตอนที่ 170 นางพญา

ระหว่างที่พวกเรากำลังตกตะลึง แต่หมอผีคนนั้นกลับพูดว่า จะทำให้พวกเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าหนอนยักษ์นั้น

พวกเราจึงได้สติทันที และผมก็อารมณ์เสียมากๆ

ปีศาจที่เลี้ยงแมลงอย่างแก พวกเรามาบุกถึงที่แล้ว ยังกล้าทำปากดีอีกนะ

ดูเหมือนถ้าไม่ทำให้เขาได้เห็นดี เขาก็คงไม่รู้ถึงความร้ายกาจของพวกเรา

“ ไอ้ปีศาจ วันตายของแกมาถึงแล้ว ยังกล้าทำปากดีอีกนะ ! ” ผมตะโกนออกมาตรงๆ ในเวลาเดียวกันก็ใช้ดาบไม้ชี้ไปที่เขา

แต่หมอผีคนนั้นกลับหันหน้ามามอง เขาจ้องผมอย่างเย็นชา “ รนหาที่ตาย ! ”

 

หลังจากพูดจบ เขาก็แกว่งมืออย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นแมลงที่เกาะแขนเขาอยู่ ก็กระเด็นมาทางผมอย่างรวดเร็ว

ผมจะกล้ารอช้าได้ยังไง ผมรีบเบี่ยงตัวหลบ หนอนพวกนั้นจึงลอยผ่าน ลำตัวของผมไป

ตอนแรกผมคิดว่าสามารถหลบการโจมตีของหนอนพวกนั้นได้หมด แต่ใครจะรู้ วินาทีที่หนอนพวกนั้นลอยผ่านตัวผมไป จู่ๆพวกมันตัวหนึ่งก็พ่นน้ำสีเขียวออกมาจากปาก

“ ฟู่ ”

แม้ว่าน้ำที่ออกมาจะมีไม่มาก แต่มันจะต้องอันตรายอย่างแน่นอน

ผมตกใจ รีบหลบอีกครั้ง

แต่ก่อนหน้านี้คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะสามารถทำแบบนี้ได้ ดังนั้นผมจึงไม่สามารถหลบน้ำที่พุ่งออกมาได้

 

ตอนที่ผมเห็นว่าตัวเองแย่แล้ว ท่านนักพรตตู๋กลับเอื้อมมือเข้ามา จากนั้นก็กางร่มที่พกติดตัวออก “ พรึบ ” ร่มคันนั้นหยุดน้ำพวกนั้นเอาไว้ได้พอดี

แต่น้ำพวกนั้นเพิ่งสัมผัสโดนตัวร่ม ทันใดนั้นเสียง “ ซ่าซ่าซ่า ” ก็ดังขึ้น จากนั้นควันสีดำก็โพยพุ่ง ร่มที่เคยดูดีก็กลายเป็นรูเล็กๆในทันที

เมื่อเห็นภาพนี้ ผมก็ช็อก มันอันตรายมาก

ท่านนักพรตตู๋แสดงสีหน้าเคร่งขรึม “ น้ำนี่มีพิษ ระวังเอาไว้ด้วยละ…… ”

เมื่อหมอผีเห็นผมสามารถรอดพ้นจากอันตรายได้อย่างหวุดหวิด เขาก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “ นี่มันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ยังหลบไม่พ้น งั้นต่อไปพวกแกก็คงต้องสนุกแล้วละ ! ”

 

หลังจากพูดจบ หมอผีคนนั้นก็มองไปยังหนอนยักษ์ “ นางพญา พวกมันเป็นของเธอ ไปกินพวกมันซิ ! ”

ในเวลาเดียวกัน หมอผีคนนั้นก็ลูบที่หัวของหนอนยักษ์

ทันใดนั้น หนอนยักษ์ก็เริ่มคึกคัก ในเวลานี้มันก็ดูตื่นเต้นมาก

ดวงตาของมันเป็นประกายแวววาว ในปากคำราม “ คา ” ออกมาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น  และเริ่มพ้น “ น้ำลาย ” ใส่พวกเราสามคนอย่างบ้าคลั่ง

“ ฟู่ฟู่ฟู่ ” น้ำลายพวกนั้นลอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง มันทั้งเร็ว และเยอะมาก

วินาทีนั้นม่านตาของพวกเราสามคนหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว พวกเราไม่กล้าประมาท

ทุกคนต่างกางร่มที่พกออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เริ่มหาที่หลบ

 

ระหว่างนั้น เจ้าหมอผียังปล่อยพวกหนอนออกมาเป็นบางครั้ง โจมตีใส่พวกเราจากทางด้านหนึ่ง

“ แหวะแหวะแหวะ ” น้ำกรดพวกนั้นพุ่งเข้ามาจากทุกสารทิศ

ถ้าสัมผัสกับมัน ผิวของคุณก็จะโดนกัด

เพราะต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวสดที่อยู่รอบๆถูกน้ำชนิดนี้เข้าไป ตอนนี้พวกมันจึงเริ่มแห้งเหี่ยวและจนกลายเป็นสีดำ จะเห็นได้ชัดว่าเจ้าสิ่งนี้มีพิษร้ายแรงขนาดไหน หรือเปรียบได้กับน้ำกรดซัลฟิวริกดีๆนี่เอง

หลังจากพวกเราหลบมาสักพัก ท่านนักพรตตู๋ก็พูดว่า “ จะหลบต่อไปไม่ได้ พวกนายคอยคุ้มกันฉันจากทั้งสองข้าง ดูซิว่าพวกเราจะฟันเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นไม่ขาดได้เหรอ ! ”

“ ได้ครับ ! ” ผมตอบรับทันที

 

“ วางใจได้เลยอาจารย์ ! ” เฟิงเฉ่วหานเองก็ขานรับเช่นกัน

จากนั้น ท่านนักพรตตู๋ก็ตัวสั่น พลังของเขาขึ้นมาถึงจุดสูงสุด

ระหว่างนั้น ดูเหมือนการเคลื่อนไหวของท่านนักพรตตู๋จะเร็วขึ้นมาเท่าตัว ความคล่องตัวในการทำสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกับคนที่มีอายุ 50 เลยสักนิด

ตอนนี้ท่านนักพรตตู๋ถือดาบไม้ไว้ในมือหนึ่งข้าง ส่วนมืออีกข้างถือร่ม เขาหลบซ้ายหลบขวา วิ่งตรงเข้าไปหาหนอนยักษ์เรื่อยๆ

แต่ในเวลานี้หนอนยักษ์ตัวนั้นกลับโจมตีถี่กว่าเดิม น้ำกรดจากตัวมันพ่นเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ร่มที่ท่านนักพรตตู๋ถืออยู่ในมือ ได้ปรากฎรูโหว่ขนาดใหญ่แล้ว

 

แม้แต่เสื้อผ้าของท่านนักพรตตู๋ ก็ยังถูกกัดเป็นจุดๆ

ถ้ายังเร็วไม่พอ และประมาทแค่เล็กน้อย ตอนนี้เขาก็คงติดพิษไปแล้ว และผลที่ตามมาก็คงเป็นหายนะ

แต่มันยังไม่จบเท่านี้ นอกจากหนอนยักษ์จะพ่นพิษออกมาอย่างต่อเนื่อง พวกเรายังต้องคอยระวังหนอนที่หมอผีปล่อยออกมา

นอกจากหนอนบนตัวหมอผีแล้ว ยิ่งพวกเราเข้าใกล้นางพญาได้มากเท่าไหร่ หนอนตัวเล็กๆที่อยู่รอบๆก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากเข้ามาในสนามรบนี้แล้ว พวกเราพบว่า

ไม่ใช่หนอนทุกตัวที่สามารถพ่นน้ำกรดออกมาได้ มีเพียงแค่ตัวที่เป็นสีแดงเข้ม และลำตัวมีเส้นเลือดสีแดงอยู่เท่านั้น ถึงจะพ่นน้ำกรดออกมาได้

 

และหนอนแบบนี้ก็มีไม่มาก แต่กลับอันตรายมาก

แต่ยิ่งพวกเราเข้าใกล้หมอผีและนางพญามากเท่าไหร่ จำนวนของหนอนชนิดนี้ ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว

การเคลื่อนไหวของท่านนักพรตตู๋เร็วมาก ความคล่องแคล่วของร่างกายก็ยอดเยี่ยม ภายใต้การคุ้มกันของผมและเฟิงเฉ่วหาน ตอนนี้พวกเราได้ฝ่าเข้ามาถึงระยะ 3 เมตรจากตัวนางพญาแล้ว

ท่านนักพรตตู๋หลบการโจมตีอีกหนึ่งครั้ง จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับฟันดาบไม้ในมือออกไป “ ตายซะ ! ”

ตามพลังที่ท่านนักพรตตู๋มี ถ้าการแทงครั้งนี้โดนนางพญาจริงๆ นางพญาตัวนั้นก็จะต้องตายอย่างแน่นอน

แต่สิ่งที่พวกเราคิดไม่ถึงคือ วินาทีที่ท่านนักพรตตู๋กระโดดขึ้น

 

จู่ๆหนอนยักษ์ตัวนั้นก็อ้าปาก ส่งเสียง “ แหวะ ” ออกมา ทันใดนั้นน้ำลายรูปตาข่ายก็พุ่งออกมา

มันมีรูปร่างเหมือนใยแมงมุม หลังจากกางออก มันก็ไม่รอให้ท่านนักพรตตู๋ได้เข้าไปฟัน ทันใดนั้นมันก็เข้าไปห่อหุ้มตัวเขาไว้ทันที

และดูเหมือนตาข่ายสีขาวนั้นจะมีความสามารถหดตัว ตอนที่มันเพิ่งสัมผัสกับร่างของท่านนักพรตตู๋ มันก็เริ่มหดตัวอย่างรวดเร็ว

ท่านนักพรตตู๋ถูกควบคุมร่างกายเอาไว้ วินาทีนั้นร่างกายของเขาก็เสียสมดุล “ บึก ” จึงหล่นลงพื้นทันที

“ ท่านลุงตู๋ ! ”

“ อาจารย์ ! ”

 

ผมและเฟิงเฉ่วหานตกใจมาก พวกเราคิดไม่ถึงจริงๆ ว่านางพญาตัวนี้จะสามารถทำน้ำลายให้กลายเป็นตาข่ายได้ มันช่างแปลกประหลาดจริงๆ

แต่เหมือนหมอผีจะเดาทุกอย่างเอาไว้แล้ว ในเวลานี้เขาหัวเราะ “ ฮึฮึฮึ ” ออกมาอย่างเย็นชา “ กล้ามาสู้กับฉัน รนหาที่ตาย ! ”

หลังจากพูดจบ หมอผีคนนั้นก็ยกมือขึ้น เขาโยนหนอนหลายตัวเข้ามาทันที เห็นได้ชัดว่าในเวลานี้เขากำลังจะฆ่าท่านนักพรตตู๋

ผมและเฟิงเฉ่วหานเห็นแบบนี้ จึงตกใจหนักกว่าเดิม

“ อาจารย์…… ” เฟิงเฉ่วหานตกใจ

 

ผมเองก็ขมวดคิ้ว หน้าผากปรากฎรอยย่นที่น่าหวาดกลัวผิดปกติ วินาทีนั้นผมรีบเข้าไปทันที ผมต้องช่วยเขาให้ได้

แต่ระยะห่างระหว่างพวกเรา เห็นได้ชัดว่าเข้าไปช่วยไม่ทัน จึงทำได้เพียงมองดูหนอนพวกนั้นเข้าไปใกล้ท่านนักพรตตู๋

จบกัน ชีวิตของท่านนักพรตตู๋ตกอยู่ในอันตราย วินาทีนั้นหัวใจของผมเย็นวาบ

ผมคิดไม่ออกจริงๆ ในเวลานี้ผมจะช่วยท่านนักพรตตู๋ให้พ้นจากอันตรายได้ยังไง

ถ้าหนอนพิษพวกนั้นโดนตัวท่านนักพรตตู๋ หรือท่านนักพรตตู๋โดนน้ำกรดพวกนั้นกัด ท่านนักพรตตู๋ก็จะติดพิษ การโดนพิษในที่แห่งนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการตาย

 

พวกเรากลัวมาก กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น

แต่ ในเวลานั้นพวกเรากลับดูถูกท่านนักพรตตู๋มากเกินไป

ท่านนักพรตตู๋เป็นคนเรียนรู้วิชาด้วยตนเอง เคยร่อนเร่พเนจรไปทั่ว เคยไปเห็นภูเขาห้าเซียนที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เคยไปสู้บนผืนแผ่นดินทะเลใต้

เขาสามารถมีชีวิตได้ถึงอายุขนาดนี้ นอกจากจะคอยระวังตัวแล้ว ก็ไม่มีอะไรมารับประกันความสามารถของเขาอย่างแน่นอน

ขณะที่หนอนพิษพวกนั้นตกลงบนตัว ทันใดนั้นท่านนักพรตตู๋ก็ตะโกนออกมาทันที “ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง เปิด ! ”

 

เสียงดังก้อง ในวินาทีนั้น จู่ๆผมก็รู้สึกถึงพลังหยางที่ระเบิดออกมา มันเป็นพลังที่เยอะกว่าพวกเราถึงหลายเท่าตัว

สายลมลูกใหญ่พัดไปมา วินาทีนั้นรอบๆตัวของเขากระจายออก หนอนหลายตัวที่ลอยเข้ามาหาเขา ได้ถูกพัดออกไปทันที

จากนั้น เสียง “ ปัง ” ก็ดังขึ้น ตาข่ายน้ำลายสีขาวที่รัดตัวท่านนักพรตตู๋เอาไว้ ได้ขาดออกจากกันทันที

ท่านนักพรตตู๋เหมือนปลากระโดดกลับหลัง เขารีบลุกขึ้นทันที

หลังจากท่านนักพรตตู๋ลุกขึ้น ท่าทางของเขาก็ดูสง่างามมาก เขาแสดงสีหน้าตาเฉยชา

เขาจับดาบไม้ขึ้น จากนั้นก็มองหมอผีอย่างเย็นชา

ทันใดนั้นปากของเขาก็พูดอย่างรุนแรง “ ชีวิตของข้า ไม่ใช่สิ่งหมอผีอย่างแกจะเอาไปได้…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset