ศพ – ตอนที่ 173 จุดจบของสงคราม

ตอนที่ 173 จุดจบของสงคราม

สีหน้าของหมอผีเปลี่ยนไป เขาแอบพูดในใจว่าแย่แล้ว เหมือนเขาจะหลบไม่ทัน

แต่ในเวลานี้ร่างกายของเขาได้สูญเสียสมดุล ตะขอก็ใช้ไม่ทันการ ถ้าอยากหลบก็เป็นไปได้ค่อนข้างยาก

แต่เขายังพยายามเบี่ยงร่างกายของตัวเอง ในเวลาเดียวกันก็ใช้มืออีกข้างจับดาบเล่มหนึ่งเอาไว้ เพื่อลดความเสียหายให้กับตัวเอง

ระหว่างการโจมตีอย่างสายฟ้าแลบ ดาบไม้ทั้งสองเล่มถูกฟันออกไปแล้ว

“ ฉึกฉึก ” มันแทงลงบนตัวของหมอผีตรงๆ

แต่ในวินาทีนั้นเอง หมอผีก็ขยับมืออย่างรวดเร็ว เขาจับคมดาบของท่านนักพรตตู๋เอาไว้ได้

เพราะเขากำลังเบี่ยงตัวหลบ ดาบของเหล่าเฟิง จึงแทงเข้าไปที่เอวของเขา

 

ทันใดนั้นบาดแผลขนาดใหญ่ก็เกิดขึ้น เลือดสดๆไหลนองออกมาทันที แต่มันไม่ได้เป็นแผลที่ทำให้ถึงตาย

หน้าของหมอผีบิดเบี้ยว หนอนที่อยู่บนหน้าและบนตัวล่วงหล่นอย่างต่อเนื่อง

“ สมควรตาย ! ไปตายให้หมด ! ” เขาตะโกนออกมา จากนั้นเขาก็ออกแรงที่มือ

กำดาบของนักพรตตู๋เอาไว้แน่น จากนั้นก็โยนมันออกไปทันที

หมอผีคนนี้มีพลังเยอะมาก ท่านนักพรตตู๋เองก็สู้เขาไม่ค่อยไหว

ภายใต้พลังที่มหาศาลแบบนี้ ท่านนักพรตตู๋จึงถูกโยนออกไปไกลหลายเมตร จนตัวของเขาต้องล้มลงไปกับพื้น

ส่วนทางด้านเฟิงเฉ่วหาน ยังคิดจะใช้ดาบโจมตีอีกครั้ง

แต่เฟิงเฉ่วหานเพิ่งยกมือขึ้น เท้าของหมอผีก็ถีบเข้ามาแล้ว

 

“ ปัก ! ”

เฟิงเฉ่วหานถูกถีบที่หน้าอก เขาก็ล้มลงทันที

“ ท่านลุงตู๋ เหล่าเฟิง ! ” ผมเพิ่งลุกขึ้นมาได้ก็เห็นฉากนี้แล้ว ผมจึงอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา

ในเวลาเดียวกันผมก็เข้าไปโจมตีหมอผี ผลลัพธ์หมอผีคนนั้นกลับสะบัดแขน หนอนพิษจึงลอยเข้ามาทันที

ผมจะกล้าประมาทได้ยังไง วินาทีนั้นผมรีบถอยไปข้างหลัง หลบหนอนพิษพวกนั้นทันที

แต่หมอผีคนนั้นกลับไม่ได้ตามมา และก็ไม่ได้โจมตีพวกเราคนใดคนหนึ่งต่อ

ในเวลานี้เขากลับมองที่เอวของตัวเอง ในเวลาเดียวกันก็ใช้มือลูบ ผลที่ออกมามือของเขากลับเต็มไปด้วยเลือด

 

“ กล้าทำร้ายร่างกายของฉัน ทำให้เลือดอันล้ำค่าของฉันไหล คืนนี้ฉันจะทรมานพวกแกให้ตาย…… ” หมอผีพูดด้วยเสียงหายใจที่หนักหน่วง

แต่ในเวลานี้บาดแผลที่เอวของเขา กลับถูกหนอนพิษปิดเอาไว้อย่างแน่นหนา

และหนอนพิษพวกนั้น ก็ยังพ่นน้ำสีเขียวๆออกมา

เหมือนเจ้าสิ่งนั้นจะสามารถห้ามเลือดได้ แผลที่เคยมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ตอนนี้เลือดกลับหยุดไหลอย่างน่าอัศจรรย์

เมื่อเห็นฉากที่แปลกประหลาดนั้นแล้ว พวกเราก็เผยท่าทางหนักใจ

เจ้าหมอผีนี้ร้ายกาจจริงๆ ถึงกับสามารถควบคุมแมลงให้รักษาแผลบนร่างกาย ทำให้เลือดหยุดไหลได้

 

แต่การต่อสู้นี้ไม่ได้หยุดพักนานนัก ทันใดนั้นท่านนักพรตตู๋ก็หยิบดาบขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันก็พูดว่า “ เข้าไปพร้อมกัน ! ”

หลังจากพูดจบ พวกเราสามคนก็เข้าไปล้อมโจมตีหมอผีอีกครั้ง

การโจมตีของหมอผีดุร้ายมาก เหมือนกับโจมตีใส่พวกเราอย่างไม่คิดชีวิต

แต่ท่านนักพรตตู๋พาพวกเรา ให้ถอยและรุก

เขาโจมตีอย่างรุนแรง พวกเราก็ถอย พอเขาถอย พวกเราก็โจมตี

การต่อสู้สามรุมหนึ่ง เพราะพวกเราคิดจะจัดการอีกฝ่ายให้อยู่หมัด

แม้ตอนนี้จะอยากเอาชนะ แต่มันมีแค่วิธีนี้วิธีเดียว

 

ก่อนหน้านี้ท่านนักพรตตู๋เคยพูดแล้ว ว่าเจ้าหมอผีนี้จะดุร้ายยิ่งกว่าเดิม

เพราะเขากินหนอนเข้าไป จึงผสานพลังเข้ากับแมลง

การใช้วิธีนี้เพิ่มพลังในการต่อสู้ จะมีผลอยู่ได้ไม่นาน ขอเพียงพวกเรายังรับมือกับเขาได้ ยังไงอีกฝ่ายก็ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกเรา

หลังจากนั้นพวกเราก็พยายามต่อสู้อย่างยากลำบาก ทุกนาทีทุกวินาที ต่างอันตรายมาก

แค่ไม่ระวังนิดเดียวก็อาจทำให้เราตายได้ หรือติดพิษได้ ดังนั้นพวกเราจึงตั้งใจต่อสู้มาก ไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย

 

และในการต่อสู้นี้ท่านนักพรตตู๋เป็นผู้นำ ผมและเฟิงเฉ่วหานเป็นคนคอยป้องกันอยู่ทางซ้ายขวา พวกเรายังสามารถต้านทานเขาเอาไว้ได้

หลังจากนั้นประมาณ 15 นาที พวกเราเริ่มหายใจหอบเหนื่อย เสื้อผ้าชุ่มไปด้วยเหงื่อ พวกเราเริ่มจะรับมืออีกฝ่ายไม่ไหวแล้ว

แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายแย่กว่าพวกเรา เพราะพวกเราพบว่า ตอนนี้ความดุร้ายของหมอผีได้ลดลงไปมาก

เมื่อกี้การต่อสู้ที่เต็มไปด้วย พลังอันมหาศาล การสู้เพียงหนึ่งกระบวนท่า ท่านนักพรตตู๋ก็แทบต้านทานเอาไว้ไม่ได้

แต่ตอนนี้ พลังในการต่อสู้ของเขากลับลดลง การโจมตีที่ทำให้พวกเราต้องเป็นฝ่ายถอย กลับเปลี่ยนให้พวกเราเริ่มเป็นฝ่ายรุกและได้เปรียบแทน

 

ทันใดนั้น ท่านนักพรตตู๋ก็ตะโกนออกมาหนึ่งครั้ง เขากระหน่ำแทงอย่างต่อเนื่อง จนทำให้หมอผีต้องถอยร่น และอีกฝ่ายยังหอบหายใจไม่หยุด เหมือนเขากำลังหายใจไม่ทัน

ม่านตาของท่านนักพรตตู๋ขยายอย่างรวดเร็ว เขาแสดงสีหน้าดีใจออกมา “ พลังของแมลงจะหายไปแล้ว พวกเราจัดการเขาเลย ! ”

หลังจากพูดจบ ท่านนักพรตตู๋ก็เริ่มโจมตีอย่างรุนแรงอีกครั้ง

ผมและเหล่าเฟิงตกใจ แต่ก็รีบตามเข้าไปโจมตีทันที

พวกเราแบ่งออกมาเป็นสามด้าน และเข้าไปโจมตีหมอผีพร้อมๆกัน

ก่อนหน้านี้พวกเราไม่สามารถเอาชนะหมอผีได้ แต่ตอนนี้พลังของเขากำลังจะหายไป ดังนั้นเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่สามารถเอาชนะพวกเราได้

 

แต่พวกเราก็ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจ ยังคงตั้งสติ ไม่กล้าประมาทเหมือนเดิม

หลังจากพวกเราสามคนล้อมเอาไว้ หมอผีก็ลำบากมาก

เขาทั้งปล่อยแมลง ทั้งพ่นพิษ และยังใช้ตะขอในมือกวัดแกว่งอย่างต่อเนื่อง

แต่ก็มันใช้ไม่ได้ผลกับพวกเรา บวกกับความเร็วของพวกหนอนเริ่มลดลง เขาเริ่มหายใจหอบเหนื่อย และหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆ

แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ กล้ามเนื้อของเขาเริ่มหมดแรง ผลข้างเคียงบางอย่างเริ่มปรากฎ เขามึนหัวและตาลาย

การต่อสู้ยังลากผ่านไปอีก 5 นาที ตอนนี้หมอผีจะยังมีแรงสู้ต่อได้ยังไง

 

ในเวลานี้ เขาแทบจะยืนไม่ไหว

แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับเต็มไปด้วยไฟแค้น สีหน้ายังน่าเกลียดน่ากลัว ปากด่าพวกเราไม่หยุด “ ไปตายซะ ไปตายซะ ! ฉันจะฆ่าพวกแก ฆ่าพวกแก…… ”

ผมรู้ดี ในเวลานี้นอกจากร่างกายที่หมดสภาพของเจ้านี้แล้ว สติของเขาก็กำลังจะหมดลง

ผมเพ่งมองที่เท้าของอีกฝ่าย ในเวลาเดียวกันก็เดินไปข้างหลังอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ

ในเวลานี้หมอผียังกวัดแกว่งตะขอไปทางท่านนักพรตตู๋ ในปากยังตะโกนด่า “ ไอ้แก่ ฉันจะเอาศพแกไปทำรังหนอน…… ”

ขณะที่เขากำลังด่า เขาก็ไม่ได้สนใจผม

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็พุ่งเข้าไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว และไม่ให้ซุ่มให้เสียง

วินาทีนั้นผมกระโดด เข้าไปถีบหมอผี อย่างแรง

ในปากยังตะโกนว่า “ รังหนอนกะแม่แกซิ…… ”

เสียงเพิ่งเงียบลง เท้าของผมก็สัมผัสเข้ากับหลังของเขา วินาทีนั้นผมเหยียบหนอนตายไป 10 กว่าตัว

ในเวลาเดียวกันตัวของหมอผีก็เซไปเซมา เขาล้มหน้าหงายลงกับพื้น

เมื่อเฟิงเฉ่วหานและท่านนักพรตตู๋เห็นสิ่งนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขารีบวิ่งเข้าไปที่ร่างของหมอผี

เฟิงเฉ่วหานไม่พูดไม่จา หยิบตาข่ายดำออกมา

 

แม้สิ่งนี้จะใช้ได้ผลกับผีร้ายมากกว่า แต่ตอนนี้พวกเราไม่มีเชือก การนำมาใช้ควบคุมตัวหมอผี ถือว่าได้ผลอยู่บ้าง

หลังจากหยิบตาข่ายออกมา เขาก็โยนใส่เจ้าหมอนั้นอย่างรวดเร็ว ขังเขาเอาไว้บนพื้น

ท่านนักพรตตู๋ไม่ลังเล ยกดาบไม้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาเคลื่อนพลังลงไป จากนั้นก็แทงลงไปที่หลังมือของหมอผีทันที

เมื่อดาบไม้ผสานกับพลัง มันไม่เพียงใช้ปราบศพที่ชั่วร้ายได้ มันยัง “ คมผิดปกติ ”

ยังไม่รอให้หมอผีได้ตอบโต้อะไร “ ฉึก ” ทันใดนั้นดาบไม้ก็เสียบลงไปที่มือของหมอผี และปักลงดินทันที

“ อ๊าก ! ”

 

เสียงกรีดร้องดังขึ้น หนอนที่อยู่บนตัวของหมอ ดิ้นพล่านไปมา คลานไปคลานมาไม่หยุด

ท่านนักพรตตู๋กดดาบลงไปอย่างไม่ปรานี เพื่อไม่ให้หมอผีหลุดไปได้ และไม่ให้เขาเสกคาถาได้

ในเวลาเดียวกันเขาก็ตะโกนบอกผมและเฟิงเฉ่วหานว่า “ รีบเอาผงชาด(เป็นสารประกอบปรอท)ออกมา พวกเราต้องกำจัดหนอนพิษพวกนี้ก่อน…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset