ศพ – ตอนที่ 174 เหตุผลของผู้ใหญ่บ้าน

ตอนที่ 174 เหตุผลของผู้ใหญ่บ้าน

เมื่อผมและเฟิงเฉ่วหานได้ยินท่านนักพรตตู๋พูดแบบนั้น พวกเราก็ไม่ลังเลเลยสักนิด รีบหยิบผงชาดออกมาจากกระเป๋า

พวกมันมีจำนวนไม่มาก การที่พวกเราพกเจ้าสิ่งนี้ติดตัว ก็เป็นเพราะบางครั้งต้องใช้มัน ในการวาดยันต์

ท่านนักพรตตู๋กดหมอผีเอาไว้ ในเวลานี้เมื่อเห็นพวกเราหยิบผงชาดออกมา เขาก็พูดอีกครั้ง “ หาน้ำมาละลายพวกนั้น ! อีกเดี๋ยวฉันจะทำให้เจ้านี้ได้ทรมาน ”

หลังจากพูดจบ ท่านนักพรตตู๋ก็หมุนดาบไม้ในมือ

มือของหมอผีถูกแทง จนติดอยู่กับพื้นอยู่แล้ว เมื่อดาบเริ่มหมุนตัว เขาก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

“ อ๊ากกก…… ”

 

แต่ท่านนักพรตตู๋กลับทำหน้าตาไม่แยแส เพียงมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา

ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ท่านนักพรตตู๋ก็สามารถลงมือฆ่าเขาได้ทันที

ดังนั้นการไว้ชีวิตเขาในเวลานี้ ก็น่าจะเพราะมีคำถามที่ต้องการคำตอบจากปากของเขา

และสถานที่ที่พวกเราอยู่ ก็ยังห่างไกลจากความเจริญ เป็นสถานที่รกร้างว่างเปล่าที่แม้แต่นกตัวเดียวก็ยังไม่อยากมาทำรัง แล้วทำไมจู่ๆถึงมีผู้ควบคุมแมลงพิษออกมาปรากฎตัวได้ละ

และอีกฝ่ายยังต้องการฆ่าคน ฆ่าครอบครัวเฟิ๋งที่เป็นเพียงคนธรรมดาใช้ชีวิตรากหญ้าไปวันๆ

อีกอย่าง เจ้าหมอนี้ยังมีพรรคพวกคนอื่นๆอีกรึเปล่า

ในฐานะคนปราบสิ่งชั่วร้าย เรื่องที่พวกเราเจอบนโลกใบนี้ จะต้องจัดการให้ชัดเจน

 

ผ่านไปไม่นาน ผมและเฟิงเฉ่วหานก็ไปหารอบๆทันใดนั้นพวกเราก็เจอขวดน้ำขวดหนึ่งถูกวางทิ้งเอาไว้ พวกเราจึงใช้มันตักน้ำ จากนั้นก็ใส่ผงชาดลงไป

หลังจากผงชาดผสมเข้ากับน้ำแล้ว ผมก็ยื่นมันไปทางท่านนักพรตตู๋

“ ท่านลุง…… ”

ผมตะโกน ท่านนักพรตตู๋เห็นผมวิ่งเข้ามาพร้อมขวดน้ำ เขาก็พยักหน้าให้ “ เสี่ยวฝาน นายมากดดาบนี่เอาไว้ ! ”

ขณะที่พูด เขาก็หยิบขวดน้ำไปจากมือของผม

ส่วนผมก็รีบเข้าไปกดดาบอย่างรวดเร็ว ความเจ็บปวด ทำให้เจ้าหมอนั้นไม่สามารถขยับตัวได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถเสกคาถาได้

บวกกับพลังของแมลงที่หายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาในเวลานี้ไม่กล้าเหมือนก่อนหน้านี้

 

ไม่เพียงแต่ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อจะลดลงไปมาก มันยังส่งผลข้างเคียงบางอย่าง เห็นได้ชัดว่าเขาอ่อนล้ามาก เหมือนกับคนที่ไม่ได้นอนติดกันมาห้าวัน

แต่หนอนพวกนั้น ยังคลานอยู่บนตัวของเจ้าหมอนี้ ไม่ยอมกระจายตัวออกไปเลยสักนิด

เพราะอีกฝ่ายไม่สามารถเสกคาถาได้ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถสั่งหนอนพิษให้โจมตีพวกเราได้อีกครั้ง

พวกเราจึงไม่กังวลเรื่องที่หนอนพิษจะพ่นพิษใส่ แต่เพื่อความปลอดภัย ทุกคนจึงทำอะไรอย่างระมัดระวัง

ตอนนี้ท่านนักพรตตู๋กำลังถือขวดน้ำชาดอยู่ จากนั้นเขาก็พูดกับหมอผีว่า “ หนอนบนตัวของแกน่าขยะแขยงจริงๆ ข้าขอวางยาพิษพวกมันหน่อยนะ ! ”

หลังจากพูดจบ ท่านนักพรตตู๋ก็เทน้ำชาดลงบนตัวของหมอผี

 

น้ำชาดเพิ่งสัมผัสตัวของหมอผี น้ำพวกนั้นก็กระจายตัวออก

ตัวหมอผีคนนั้นไม่เป็นอะไร แต่หนอนพิษที่อยู่บนตัวของหมอผี ในเวลานี้พวกมันกลับเหมือนโดนน้ำมันลวก พวกมันต่างดิ้นพล่าน คลานอย่างไม่เป็นสุข

บริเวณที่เทน้ำชาดลงไป พวกหนอนพิษต่างรีบคลานออกอย่างรวดเร็ว

ส่วนหนอนพิษที่โดนน้ำชาด หลังจากพวกมันดิ้นไปมาสองสามครั้ง ก็ตายลงตรงนั้นทันที

หลังจากนั้นน้ำชาดจำนวนมากก็ถูกสาดลงบนตัวของหมอผี หนอนพิษที่อยู่บนตัวของเขา ก็รีบคลานออกไปรอบๆ

เพราะมันมีจำนวนมาก เฟิงเฉ่วหานจึงก่อกองไฟขึ้นมาอีกหนึ่งกอง เขาใช้ไฟเผาพวกมัน

 

หมอผีคนนั้นเห็นพวกเราเผาหนอนตายไปกว่าครึ่ง ท่าทางของเขาจึงดูกระสับกระส่ายมาก เขาตัวสั่นไปทั้งตัว ขณะเดียวกันก็พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง “ อย่า อย่าฆ่า อย่าฆ่าหนอนของฉัน อย่า…… ”

เมื่อท่านนักพรตตู๋ได้ยินคำพูดนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่พูดว่า ฮึ อย่างเย็นชา “ ความตายมาถึงแล้ว แกยังจะเป็นห่วงหนอนของแกอีกงั้นเหรอ ”

ผลลัพธ์เสียงของเขาเพิ่งเงียบลง ทันใดนั้นหมอผีคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย เขามองท่านนักพรตตู๋ด้วยสายตาที่เครียดแค้น “ ไม่มี ไม่มีหนอนแล้ว ฉัน ฉันก็ต้องตาย…… ”

จู่ๆก็ได้ยินคำพูดนี้ พวกเราจึงตกตะลึงทันที

 

หนอนไม่ใช่แค่แมลงที่แกเลี้ยงไว้เหรอ หนอนตาย ก็ไม่ใช่ว่าตัวแกตายซะหน่อย

จากนั้นพวกเราก็ได้ยินท่านนักพรตตู๋พูดออกมาอีกครั้ง “ หมายความว่าอะไร คนควบคุมแมลงพิษอย่างพวกแก ไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดในการเลี้ยงแมลงพิษเหรอ ”

เมื่อหมอผีได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ร้องไห้ออกมา แต่ในปากกลับหัวเราะ “ ฮ่าฮ่าฮ่า ” ด้วยความขมขื่น เห็นได้ชัดว่าเขากำลังสิ้นหวังมาก

“ ฉันกำลังป่วย ฉันต้องใช้หนอนพวกนี้ ถ้าไม่มีหนอน ฉันก็จะตายอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับเรื่องที่นางพญาถูกฆ่า สำนักเชิ่งไม่มีทางปล่อยพวกแกไปแน่…… ”

แต่หลังจากที่พวกเราได้ยินคำพูดประโยคสุดท้าย พวกเราก็แสดงสีหน้ามึนงงทันที

 

ป่วย ต้องใช้หนอน สำหนักเชิ่ง นี่มันเรื่องอะไรกัน

หรือว่าเจ้าหมอนี้กับเพื่อนสมัยประถมของผมจางจึเทาจะเป็นสมาชิกในองค์กรตาผีนั้น

เพราะป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย จึงเข้าไปในองค์กรชั่วร้าย ใช้วิธีที่ผิดมนุษย์ หรือวิชามารในการรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้

เพิ่งคิดถึงเรื่องพวกนี้ได้ ผมก็ไม่รอให้ท่านนักพรตตู๋ได้พูดออกมาอีกครั้ง ทันใดนั้นผมก็ชิงถามก่อนทันที “ แกป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย หนอนก็คือยาของแก แกทำเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ เลยไปเข้าสำนักที่เลี้ยงแมลงพิษพวกนี้สินะ ”

ผมถามด้วยข้อสรุปของตัวเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าถูกรึเปล่า

แต่หลังจากที่หมอผีได้ยิน ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็ส่องประกายอย่างรวดเร็ว

 

เขาหันมามองหน้าผม จากนั้นก็พูดด้วยความตื่นเต้น “ ชะ ใช่ นาย นายรู้ไหมว่าฉันเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ดี ที่ดีคนหนึ่ง ชีวิตของฉัน ชีวิตของฉันทำเพื่อชาวบ้านมาโดยตลอด ”

“ แต่ฉันป่วยหนัก ไม่มีเงินไปรักษา ฉันจึงต้องใช้นางพญารักษาโรคให้ ขอแค่ฉันยังมีชีวิต ฉันก็ยังเป็นผู้นำให้กับหมู่บ้านเฟิ๋งเจียโกวของพวกเราต่อ พาชาวบ้านเดินไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง หลุดพ้นจากความยากจน ”

“ และฉันยังทำข้อตกลงกับโรงงานแปลรูปผักเอาไว้แล้วหนึ่งโรง ต่อไปหมู่บ้านของพวกเราก็จะปลูกผักกาด หมู่บ้านของพวกเรามีพื้นที่กว้างขวาง ถ้าปลูกได้จำนวนมาก ก็จะสามารถเก็บผลผลิตได้ถึงสองเท่า หรือสามสี่เท่าก็ว่าได้ ดังนั้น ดังนั้นฉันยังตายไม่ได้ ฉันยังตายไม่ได้ นายรู้ไหม นายรู้ไหม ”

เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย อีกฝ่ายก็แทบตะคอกออกมา และทำท่าทางเหมือนจะกรีดร้อง

 

ดูเหมือนเขาจะเจ็บปวดอย่างมาก ที่พวกเราไปทำลายแผนการอันแสนร่ำรวยของหมู่บ้านพวกเขา

เฟิงเฉ่วหานเลิกคิ้วขึ้น “ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนต้องเผชิญ และอีกอย่างแกเลี้ยงแมลงพิษก็จบแล้ว ทำไมยังต้องฆ่าครอบครัวเฟิ๋งอีกละ ”

“ นางพญา นางพญาโตขึ้นเรื่อยๆ พวกมัน พวกมันต้องการเลือดคน และสองแม่ลูกนั้น ก็ยังเป็นภาระของหมู่บ้าน ไม่มีเงินไม่มีอำนาจ ตายไปก็ไม่มีใครสน ถ้าฉันไม่เลือกฆ่าพวกมันแล้วจะฆ่าใครได้ละ ”

หมอผีคนนั้นพูดอย่างชัดเจน มันดูสมเหตุสมผล จนเหมือนกับสิ่งที่ตัวเองทำเป็นสิ่งที่ถูก

ผลลัพธ์เสียงของเขาเพิ่งเงียบลง ทันใดนั้นเท้าของท่านนักพรตตู๋ก็ประทับลงที่หน้าของเจ้าหมอนั้น

 

“ ไร้สาระ ! พูดจาเหลวไหล ! คิดจะฆ่าคน แล้วยังสร้างเหตุผลหลอกตัวเอง ! ชะตาชีวิตความเป็นความตายขึ้นอยู่กับสวรรค์ หรือแกไม่เคยได้ยินฮะ แล้วก็เรื่องปลูกผักกาด มีคนแบบแกต่อไป ถึงจะปลูกต้นเงินต้นทองมันก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้น บอกมา ว่าสำนักเชิ่งหน้าตาเป็นยังไง จะไปหาพวกมันได้จากที่ไหน แล้วก็ ใครเป็นคนถ่ายทอดวิชาเลี้ยงแมลงพิษให้กับแก มีเงื้อนไขอะไรแลกเปลี่ยนอีก…… ”

ท่านนักพรตตู๋พูดอย่างเย็นชา เขาทำให้เหตุผลของหมอผี กลายเป็นคำพูดหลอกลวง

ผลลัพธ์หมอผีคนนั้นกลับจ้องท่านนักพรตตู๋ “ ฉันเพิ่งเข้าสำนักเชิ่งไม่นาน แต่ฉันเข้าใจกฎดี ! อีกอย่างนางพญาก็ตายไปแล้ว ฉันก็ไม่อยากมีชีวิตต่อ ฉันไม่พูดแน่นอน จะฆ่าก็ฆ่า อยากทำอะไรก็เชิญ…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset