ศพ – ตอนที่ 179 ระหว่างความเป็นความตาย

ตอนที่ 179 ระหว่างความเป็นความตาย

คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพลังของกุ่ยซานหยวนจะสูงถึงขนาดนี้

เมื่อก่อนผมคิดว่า ถ้าพวกเราสามคนร่วมมือกัน ถึงจะไม่ชนะ ก็น่าจะพอสู้สูสีกันได้

เพราะพลังของท่านนักพรตตู๋มาถึงขั้นเต้าจวินแล้ว เขาก็น่าจะสู้ได้บ้าง

จากนั้นก็บวกกับการช่วยเหลือของผมและเฟิงเฉ่วหาน ทำลายศพที่เขาสิงอยู่ได้ เพราะไม่ใช่ร่างจริงของกุ่ยซานหยวน มันก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าหมอนี้จะร้ายกาจถึงขนาดนี้ นี่เพิ่งเริ่มต้น เขาก็ทำให้ท่านนักพรตตู๋บาดเจ็บแล้ว

ผมและเฟิงเฉ่วหานต่างก็ตกที่นั่งลำบาก ในเวลานี้พวกเราไม่สามารถขยับตัวได้เลย

 

ไม่เพียงถูกควบคุมพลังในร่างกาย พละกำลังที่มียังก็เฮือดหาย ไม่มีทางที่พวกเราจะดึงพลังกลับมาได้เลยสักนิด

ดาบไม้ที่อยู่ในมือ ต่างล่วงหล่นลงพื้น

ผมและเฟิงเฉ่วหานพยายามดิ้นรนสองสามครั้ง แต่มันก็ไม่ได้ผล พวกเราถูกเจ้าหมอนี้บีบคอเอาไว้แน่น ไอเย็นกดพลังเอาไว้ แม้แต่มือก็ยกขึ้นมาไม่ได้ จึงไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเราจะสามารถหลุดพ้นจากเงื้อมมือเขาได้

ท่านนักพรตตู๋เห็นผมและเฟิงเฉ่วหานถูกบีบคอ เขาจึงตกใจมาก

แม้จะกระอักเลือดออกมา แต่ในเวลานี้เขากลับไม่สนอะไรทั้งสิ้น เขาจับดาบไม้ขึ้นมา ไม่สนใจคราบเลือดที่มุมปาก ทันใดนั้นเขาก็ตะโกนออกมาทันที “ ไอ้ชั่ว ปล่อยพวกเขาเดี๋ยวนี้ ! ”

หลังจากพูดจบ ท่านนักพรตตู๋ก็เข้ามาโจมตีเขาอีกครั้ง

 

แต่กุ่ยซานหยวนไม่สนใจ เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองท่านนักพรตตู๋แวบหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ รนหาที่ตาย ! ”

หลังจากพูดประโยคนี้จบ กุ่ยซานหยวนก็แกว่งมือทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว ทำให้ผมและเฟิงเฉ่วหานที่ถูกจับเอาไว้ ลอยกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง

“ ปัก ” ผมรู้สึกว่าร่างกายแตกเป็นเสี่ยงๆ มันเจ็บมาก และยังไม่มีแรงดิ้นรน แม้แต่จะกรีดร้องออกมาก็ยังทำไม่ได้ ผมตกอยู่ในสภาพของคนตายโดยสมบูรณ์

หลังจากนั้น กุ่ยซานหยวนก็หมุนตัว เข้าไปปะทะกับท่านนักพรตตู๋

ในเวลานี้ท่านนักพรตตู๋ตาแดงแล้ว เพื่อช่วยชีวิตผมและเฟิงเฉ่วหาน เขาไม่กลัวเลยสักนิด สภาพของเขาเหมือนคนสู้อย่างไม่คิดชีวิต

 

“ไปตายซะไอ้ชั่ว ! ” ท่านนักพรตตู๋ตะโกน พร้อมกับแทงดาบเข้าไปอย่างรวดเร็ว

การเคลื่อนไหวของเขาเร็วสุดๆ และดูทรงพลังมาก

แต่กุ่ยซานหยวนร้ายกาจกว่านั้น เขาไม่เห็นท่านนักพรตตู๋อยู่ในสายตา ที่มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย

มือซ้ายเสกคาถาตรงหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็พูดออกมาเบาๆ “ เพี๊ยง ! ”

เมื่อพูดคำนั้นหลุดออกมา ระหว่างนั้นร่างกายของกุ่ยซานหยวน ก็กลายสภาพ

ในเวลาเดียวกัน ท่านนักพรตตู๋ก็แทงเข้าไปที่ร่างกายของกุ่ยซานหยวนแล้ว

วินาทีที่ดาบแทงลงไป เขาไม่ได้แทงเข้าไปที่ร่างกายของกุ่ยซานหยวน

 

เพราะร่างกายนั้นกลายเป็นหมอกสีดำ “ ปัง ” จากนั้นก็หายไปในพริบตา นี่มันแปลกมาก

ถึงแม้ท่านนักพรตตู๋จะเคยไปมาทั่วทุกสารทิศ แต่ในใจของเขาก็อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว ทันใดนั้นเขาก็ตกตะลึงทันที

“ ไอ้หมอผีชั่ว ออกมาเดี๋ยวนี้ ! ” ท่านนักพรตตู๋พูดต่อ ในเวลาเดียวกันก็คอยปกป้องผมและเฟิงเฉ่วหานอยู่ด้านหน้า

แม้ผมและเฟิงเฉ่วหานจะเวียนหัวตาลาย แต่ก็ยังมีสติ เพียงแค่ไม่มีพลัง ขยับร่างกายไม่ได้ก็เท่านั้น

ขณะที่พวกเรากำลังมองท่านนักพรตตู๋ปกป้องพวกเราอยู่ด้านหน้า พวกเราก็ตัวสั่น อยากจะทำให้ตัวเองลุกขึ้นมาสู้ได้อีกครั้ง

 

แต่ผมในเวลานี้ ผมกลับคิดถึงข้อมือซ้ายของตัวเองมากกว่า

สถานการณ์ในตอนนี้ มาถึงจุดเสี่ยงแล้ว

ถ้าไม่เรียกมู่หลงเหยียนออกมาช่วยละก็ คืนนี้พวกเราสามคน จะต้องตายกลายเป็นผีอยู่ในป่าแน่

ผมอยากเคลื่อนพลังจากจุดตานเถียน แต่มันกลับไม่ได้ผล เพราะดูเหมือนพลังที่จุดตานเถียนจะถูกไอเย็นผนึกเอาไว้ จนไม่สามารถเปิดออกได้อย่างสมบูรณ์ นี่จึงไม่ต้องพูดถึงเรื่องเคลื่อนพลังเลย

ส่วนอีกทางด้านหนึ่ง ดูเหมือนเหล่าเฟิงจะพยายามเอื้อมมือไปทางกระเป๋า เห็นได้ชัดว่าเขาคิดจะใช้ยา เรียกพี่เฟิงออกมาช่วย

แต่สภาพของพวกเราสองคนย่ำแย่พอกัน พวกเราต่างขยับตัวไม่ได้ ทำได้เพียงนอนลืมตาอยู่บนพื้น และกระวนกระวายในใจ

 

ท่านนักพรตตู๋เองก็สำรวจไปรอบๆ ปกป้องพวกเราอย่างต่อเนื่อง

ทันใดนั้น เสียงของหมอผีชั่วก็ดังขึ้นจากทุกทิศ ดูเหมือนเสียงก้องที่สะท้อนมาจากรอบๆ “ ข้าสนุกพอแล้ว ตอนนี้ข้าจะฆ่าพวกเจ้า ! ”

เสียงนี้ดังมาจากทุกสารทิศ พวกเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามันดังมาจากทางไหนกันแน่

ท่านนักพรตตู๋มองไปรอบๆ แต่เขากลับไม่เห็นอะไรเลยสักอย่าง

ในตอนนั้นเอง หมอกสีดำเส้นหนึ่ง ได้เข้ามาจากทางด้านหลังของท่านนักพรตตู๋ อย่างไม่ให้สุ่มให้เสียง

ดวงตาของผมและเฟิงเฉ่วหานมองเห็นฉากนี้โดยอัตโนมัติ หัวใจของพวกเราเต้นรัว อยากเตือนท่านนักพรตตู๋อย่างสุดใจ

 

แต่พวกเราไม่สามารถส่งเสียงได้ ทำได้เพียงเบิกตากว้าง และอ้าปากพูด

ท่านนักพรตตู๋ยังไม่รู้ตัว เขายังคงตะโกนต่อไป “ ไอ้ชั่ว ออกมาตายซะดีๆ ไอ้ชั่ว…… ”

หมอกสีดำนั้น ได้รวมตัวกัน จนกลายเป็นรูปร่างของคน

เขาไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือกุ่ยซานหยวนผู้ที่ไม่ใช่ทั้งคนและผี

เขาปรากฎตัวอย่างเงียบๆ ในมือถือท่อนเหล็กเอาไว้ เขาค่อยๆยกมันขึ้น คิดจะแทงข้างหลังของท่านนักพรตตู๋

ท่อนเหล็กนั้นคมผิดปกติ ภายใต้แสงจันทร์มันสะท้อนแสงแวววาว

เมื่อผมและเฟิงเฉ่วหานเห็นฉากนี้ ใจก็ตกไปที่ตาตุ่ม

 

พวกเราอยากตะโกนบอก อยากจะเข้าไปหยุดเขา แต่ด้วยข้อจำกัด พวกเราไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ดั่งใจ จึงทำได้เพียงมองดูตาปริบๆ

ตอนนี้ ผมได้ยินเพียงเสียงกุ่ยซานหยวนพูดกับท่านนักพรตตู๋ด้วยเสียงที่แหบแห้งว่า “ ตาแก่ แกควรตายได้แล้ว ! ”

เมื่อท่านนักพรตตู๋ได้ยินคำพูดนี้ และมันยังดังมาจากข้างหลัง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขากำลังจะหมุนตัวกลับมา

แต่ไม่รอให้ท่านนักพรตตู๋ได้หันมา ทันใดนั้นท่อนเหล็กในมือของกุ่ยซานหยวนก็แทงเข้าไปดัง “ ฉึก ” วินาทีนั้นมันแทงเข้าไปที่กลางหลังของท่านนักพรตตู๋

 

ท่านนักพรตตู๋เจ็บมาก “ อ๊าก ” เขากรีดร้อง ร่างกายแข็งทื่อ ไม่สามารถขยับไปไหนได้

เมื่อเห็นท่านนักพรตตู๋ถูกแทง เฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างๆผมก็แทบบ้าคลั่ง ร่างกายของเขาดิ้นไปมา ขณะเดียวกันเขาก็ร้องไห้ออกมา

ผมและเฟิงเฉ่วหานต่างอ้าปาก กรีดร้องออกมาทันที

แต่กลับเป็นเสียง “ ฮือฮือฮือ ” ที่อ่อนแรง

หมอผีคนนั้นไม่ได้สนใจพวกเรา เขายังพูดกับท่านนักพรตตู๋ว่า “ ตาแก่ เป็นศัตรูกับข้า มีแค่จุดจบเดียวเท่านั้น ! คือตาย ! ”

เมื่อพูดถึงคำว่า “ ตาย ” หมอผีคนนั้นก็ดึงท่อนเหล็กออกอย่างรวดเร็ว

 

ท่อนเหล็กเพิ่งถูกดึงออก เลือดสีแดงสดก็ย้อมเสื้อของท่านนักพรตตู๋

ท่านนักพรตตู๋เอามือกดไปที่หลังของเขา ร่างกายเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว หลังจากนั้นก็ล้มลงไปกับพื้นทันที

แต่ท่านนักพรตตู๋ยังแสดงท่าทางไม่หวาดกลัว เขาค่อยๆพลิกตัว เงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ ไอ้ชั่ว ! สักวัน สักวันยังไง ยังไงก็ต้องมีคนมาจัดการ จัดการแก ! ”

“ ฮ่าฮ่าฮ่า จัดการข้างั้นเหรอ ถ้ามีละก็ ทำไมตอนนี้ข้ายังมีชีวิตอยู่ละ พวกแกทำลายงานของข้าถึงสองครั้ง ฆ่าลูกศิษย์ของข้าหนึ่งคน ข้าให้พวกแกมีชีวิตอยู่นานขนาดนี้ ก็ถือว่าข้าเมตตาแล้ว ตอนนี้แกก็ควรตายได้แล้ว…… ”

ขณะที่กุ่ยซานหยวนพูด เขาก็ยกท่อนเหล็กขึ้นคิดจะเข้าไปแทงท่านนักพรตตู๋ให้ตายคาที่

 

ตอนนี้ท่านนักพรตตู๋บาดเจ็บหนัก ไม่มีแรงต่อต้าน แต่เขายังคิดจะยืนขึ้น

ด้วยแก่นแท้จากจิตวิญญาณของคนปราบสิ่งชั่วร้าย แม้แต่ความตายก็ไม่สามารถหยุดเขาได้

กุ่ยซานหยวนกลับไม่สนใจ เขาค่อยๆยกท่อนเหล็กขึ้น อยากแทงอีกฝ่ายให้ตาย

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆในหุบเขา ก็มีเสียงนกร้อง “ กา…… ” ดังก้องไปทั่ว

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ร่างกายของกุ่ยซานหยวนก็สั่นไหวอย่างช่วยไม่ได้ เขาหยุดการกระทำอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มองขึ้นไปบนฟ้า

 

เมื่อมองขึ้นไป เขาก็เห็นนกสีดำตัวใหญ่ ในเวลานนี้มันกำลังบินโฉบไปรอบๆ เสียงร้องของนกที่ได้ยินก็ดังมาจากนกดำตัวใหญ่นั่นเอง

เมื่อกุ่ยซานหยวนเห็นนกดำตัวใหญ่ เขาก็ตกใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

ทันใดนั้น “ ปึก ” เขาทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น มองนกดำตัวใหญ่และพูดว่า “ กุ่ยซานหยวนขอคารวะท่านผู้ส่งสาร…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset