ศพ – ตอนที่ 184 ร่วมงานฉลองกับกลุ่มผี

ตอนที่ 184 ร่วมงานฉลองกับกลุ่มผี
ยายโม่หมายความว่า ผีที่มาในจวนมู่หลงคืนนี้ เกรงว่าจะมีจำนวนค่อนข้างเยอะ

ดังนั้นหลังจากที่ผมตะลึงมาพักหนึ่ง ผมก็ถามเธอว่า “ ยายโม่ คืนนี้ คืนนี้มีสายลมมาเยอะขนาดไหนเหรอครับ ”

ยายโม่ยิ้มและหัวเราะ “ ฮึฮึฮึ ” “ ไม่เยอะไม่เยอะเจ้าค่ะ เพียง 200 กว่าตนเท่านั้น ! ”

เสียงเพิ่งจางหาย ทันใดนั้นหัวใจของผมก็มีเสียงดัง “ กึก ” พร้อมพูดออกมาด้วยความตกใจ “ อะไรนะ 200 กว่าตน ”

ตายห่า ! ผมเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อยแล้วสิ เพราะตัวเองได้มาอยู่ในสถานที่ที่มีผีกว่า 200 ตน ผีเร่ร่อนที่อยู่แถวนี้ต่างมากันหมดแล้วมั้ง

 

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ หัวใจเต้นเร็วยิ่งกว่าเดิม

แต่ยายโม่กลับไม่สนใจ “ คุณผู้ชายไม่ต้องตกใจเจ้าค่ะ ในละแวกนี้คุณหนูของพวกเรา เป็นคนมีหน้ามีตาคนหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะมีศัตรูอยู่ภายนอก งานวันเกิดครบรอบอายุ 300 ปีของคุณหนูเรา ก็จะไม่ธรรมดาแบบนี้หรอกเจ้าค่ะ ! ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย

แม่เจ้าแค่อยู่เฉยๆก็มีผีมาร่วมงานกว่า 200 ตน ตอนจัดโต๊ะก็คงมีโต๊ะกว่า 20 ตัวได้มั้ง นี่ยังเรียกธรรมดาอีกเหรอ

ช่วงเวลานั้นผมพูดไม่ออก คิดไม่ถึงจริงๆ ว่ามู่หลงเหยียนจะเล่นใหญ่ขนาดนี้

 

ตอนแรกผมยังคิดว่า แขกที่มู่หลงเหยียนพูดถึงจะเป็นเพื่อนสนิทกัน มากที่สุดก็น่าจะมีผีมาสัก 10 ตน

ผลลัพธ์เป็นยังไงละ ตอนนี้ที่นี่มีผีถึง 200 กว่าตน ใครจะไปรู้ว่าหลังจากนี้จะมีผีมาร่วมงานเยอะกว่าเดิมไหม

ยายโม่เห็นแววตาผมสั่นไหว ตกใจไม่หยุด

เธอจึงยิ้มให้ผมอีกครั้ง “ คุณผู้ชาย ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ไม่ต้องกลัว พวกนี้ล้วนเป็นคนของเรา ไม่มีทางเกิดปัญหาขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ ! ”

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็ได้สติกลับมา

จากนั้นผมก็พูดกับยายโม่ด้วยความอึดอัดเล็กน้อย “ เอ่อ เอ่อ ผมไม่กลัว ไม่กลัว ! เรา เราเข้าไปกันเถอะ ”

 

ยายโม่พยักหน้า “ เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะพาคุณผู้ชายเข้าไป ! ”

หลังจากพูดจบ ยายโม่ก็ผายมือ เดินนำผมเข้าไป

ก่อนหน้านี้ผมเคยมาบ้านผีหลังนี้ครั้งหนึ่ง และได้ความประทับใจกลับไปด้วย

แต่หลังจากกลับมาอีกครั้ง ผมกลับพบว่าในบ้านผีต่างปะดับประดาไปด้วยโคมไฟ อัดแน่นไปด้วยภูติผี ที่กำลังจับกลุ่มพูดคุยกัน

ในเวลานี้เมื่อเห็นยายโม่พาผมเข้าไป ผีที่จับกลุ่มคุยกันอยู่รอบๆ ก็ต่างหยุดคุย ทุกตนต่างหันมามองผม

ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย หรือเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

เพราะสถานที่แห่งนี้ มีเพียงผมที่เป็นคน ที่เหลือล้วนเป็นผีทั้งหมด

 

ร่างกายของผมแผ่พลังหยางออกมา จึงโดดเด่นมาก เมื่อผมปรากฎตัว ก็ดึงดูดสายตาผีที่อยู่รอบๆทันที

แต่ทุกตนล้วนเป็นแขก เจ้าภาพคือมู่หลงเหยียน พวกเขาไม่ได้พูดอะไร เพียงหันมามองผมด้วยความสงสัย

เมื่อผมเห็นใบหน้าซีดขาวที่ไร้ชีวิตชีวา ผมก็รู้สึกแย่ทันที หัวใจเต้นรัว

ผมรู้สึกตื่นตระหนก และเย็นหลังวาบๆ

แต่ทำได้เพียงเดินตามยายโม่ไปข้างหน้า ไม่หันกลับมามอง

พวกเราเดินผ่านสวนหย่อมเล็กๆ จนในที่สุดก็มาถึงสถานที่จัดงานเลี้ยง

ที่นี่มีโต๊ะอยู่หลายสิบตัว ด้านหน้ามีเวทีเล็กๆอันหนึ่ง และด้านบนยังมีผีกำลังร้องเพลงอยู่

เสียงเพลงที่ได้ยินตั้งแต่เดินเข้ามาใกล้ที่นี่ ก็ดังออกมาจากที่นี่

 

และด้านล่างเวทีก็มีแขกเข้ามานั่งกัน 10 โต๊ะได้แล้ว ในเวลานี้พวกเขากำลังนั่งมองบนเวทีอย่างสนอกสนใจ และปรบมือเป็นครั้งคราว

ถ้ามองจากสีหน้าท่าทางของผม ทุกอย่างจะดูปกติดี

แต่ในใจของผมกลับรู้ดี นอกจากผมแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีก ทุกตนต่างเป็นผี

เมื่อมาถึงที่นี่ ยายโม่ก็หยุดเดิน จากนั้นก็พูดกับผมว่า “ คุณผู้ชาย ข้าน้อยส่งคุณถึงที่แล้วเจ้าค่ะ อีกเดี๋ยวคุณหนูจะออกมา คุณดูการแสดงไปก่อนนะเจ้าค่ะ ข้าน้อยขอตัวออกไปรับแขกข้างนอกก่อนนะเจ้าค่ะ ! ”

“ ฮะ ให้ผมอยู่ที่นี่เหรอ ” ผมพูดด้วยความตกใจ

 

มองดูรอบๆที่เต็มไปด้วยผี มันน่าอึดอัดมาก

ผลลัพธ์ยายโม่กลับหัวเราะ “ ฮึฮึฮึ ” “ คุณผู้ชาย คุณเปิดใจสนุกกับงานเถอะเจ้าค่ะ อีกเดี๋ยวคุณหนูก็จะออกมาแล้วเจ้าค่ะ ! ”

หลังจากพูดจบ ยายโม่ก็ไม่สนใจผมอีก เธอหมุนตัวเดินกลับไปที่หน้าประตู

เมื่อเห็นยายโม่จากไป ในใจของผมก็รู้สึกหวาดระแวงขึ้นมาไม่น้อย

แต่ผมทำอะไรไม่ได้ ยายโม่เดินออกไปแล้ว ผมจึงทำได้เพียงนั่งรออยู่ที่นี่

ผมกวาดสายตามองรอบๆ เห็นมุมหนึ่งที่ห่างไกลไม่มีใครอยู่ ผมจึงเดินเข้าไป

ถ้าพูดคุยกับคนก็ว่าไปอย่าง แต่คุยกับผีนี่มัน ทำให้ผมทำอะไรไม่ถูกจริงๆ

 

ผมนั่งลงได้ไม่นาน แขกที่มาก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ

ในเวลาเดียวกัน จู่ๆชายวันกลางคนที่ใส่ชุดคนตายก็เดินเข้ามาหาผม

ผมเห็นผีเดินเข้ามาตนหนึ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะจ้องเขา

ผีตนนี้เห็นผมมองเขา เขาจึงยิ้มให้ผมเล็กน้อย และยังทำมือคารวะ ดูท่าทางเป็นมิตรมาก

เมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มและคารวะให้ มันก็เป็นธรรมดาที่ผมจะคลี่ยิ้มออกมา และคารวะกลับ

แม้จะรู้สึกอึดอัด แต่เรื่องมารยาทก็เป็นสิ่งที่ควรทำ

ในเวลาเดียวกัน ผมก็ได้ยินผีชายวัยกลางคนพูดกับผมว่า “ น้องชายท่านนี้ ฉันขอนั่งที่นี่ได้ไหม ”

“ ได้ครับ เชิญเลยที่นี่ไม่มีใครนั่ง ! ” ผมพูดออกมาตรงๆ

 

เมื่อชายวัยกลางคนได้ยิน เขาก็พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งลงทันที

เขาเพิ่งนั่งลง ทันใดนั้นก็หันมาสำรวจตัวผม แต่แล้วก็ไม่พูดอะไรออกมา

สายตาคู่นั้นทำให้ผมขนลุก รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว

ดังนั้นผมจึงหาเรื่องคุย “ พี่ชาย พี่ชายท่านนี้ ไม่ทราบว่าคุณมีนามว่าอะไร ”

ผีวัยกลางคนได้ยินผมถาม เขาจึงยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น “ หวางเป่าเฉิง ผู้นำคนปัจจุบันแห่งสุสานจินชาน ! ”

เมื่อได้ยินคำว่าสุสานจินชาน ผมก็อึ้งในทันที

 

เท่าที่ผมรู้ เมืองของพวกเรามีสุสานแห่งหนึ่งที่เรียกว่าสุสานจินชาน มันก็คือสุสานของคนที่มีเงินและอำนาจมากๆ ตั้งอยู่บริเวณสันเขาอันห่างไกลของชานเมือง

ตอนนั้นคุณหนูเหวินก็ถูกฝังเอาไว้ที่นั้น แต่ผีวัยกลางคนที่ชื่อหวางเป่าเฉิง กลับบอกว่าตัวเองเป็นผู้นำของสุสานจินชาน

หรือว่าชายที่อยู่ตรงหน้า ก็คือผีผู้นำของสุสานจินชาน บอสใหญ่

ผมเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ถามด้วยความระมัดระวัง “ พี่หวาง ไม่ทราบว่าสุสานจินชานที่พี่พูดถึง ใช่สุสานจินชานที่อยู่บนสันเขาในเขตชานเมืองรึเปล่าครับ ”

ผีวัยกลางคนพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ ใช่ ที่นั้นแหละ ! สุสานของพวกเราเพิ่งสร้างได้ไม่นาน มีที่ว่างเยอะเลย น้องชายสนใจไปตายที่นั้นไหม ”

 

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมทั้งตกใจ และพูดไม่ออก

โดยเฉพาะครึ่งประโยคสุดท้าย มันเกือบทำให้ผมกระอักเลือดออกมา มีใครที่ไหนเขาถามเรื่องความตายกับอีกฝ่ายละ

แต่เมื่อคิดได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คน และยังเป็นบอสของสุสานจินชาน ผมก็ต้องระงับความไม่พอใจที่อยู่ในใจเอาไว้

เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า คนมีหมู่บ้าน ผีก็มีเช่นกัน

ถ้าพูดแบบนั้น ผีชายวัยกลางคนตรงหน้า ก็มีตำแหน่งใหญ่ไม่เบา เป็นถึงผู้นำของสุสานจินชาน

หรือพูดอีกอย่างคือ ผีทั้งสุสานจินชาน ต้องฟังคำพูดของเขา เขาก็คือผู้นำหมู่บ้านของสุสานจินชาน

หลังจากระงับอารมณ์ได้ ผมก็พูดกับหวางเป่าเฉิงว่า “ น้องชายอายุยังน้อย ยัง ยังไม่อยากคิดเรื่องสุสานครับ ! ”

 

“ ฮ่าฮ่าฮ่า ! ไม่ต้องกังวลไม่ต้องกังวล ในเมื่อพวกเรามีวาสนาต่อกัน พี่ชายจะเก็บที่ที่มีฮวงจุ้ยดีๆเอาไว้ให้นาย หลังจากนายอายุสักร้อยปี ก็ค่อยมาหาพี่ที่สุสานจินชาน…… ”

ผีชายวัยกลางคนกล้ามาก พูดจาไม่อ้อมค้อมเลยสักนิด

เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนั้น ผมก็ยิ้มให้อย่างขมขื่น และคารวะให้เขา แสดงความขอบคุณ

แต่ตอนนี้ผีชายวัยกลางคนกลับหันไปมองรอบๆ จากนั้นก็ลดเสียงลง พูดกับผมว่า “ น้องชาย นายดูซิรอบๆพวกเรามีแต่วิญญาณ แต่นายเป็นคนเดียวที่ยังมีชีวิต นาย นายเป็นอะไรกับแม่นางมู่หลงเหรอ ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset