ศพ – ตอนที่ 185 พูดคุย

ตอนที่ 185 พูดคุย

ผมนั่งอยู่ตรงนี้ได้ไม่นาน ผีชายวัยกลางคนที่ชื่อหวางเป่าเฉิง ก็เริ่มพูดคุยกับผม ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย

แต่ทันใดนั้นเองเขากลับถามว่าผมเป็นอะไรกับมู่หลงเหยียน ช่วงเวลานั้นผมจึงเป็นใบ้ไปทันที

ไม่รู้ว่าควรพูดยังไง จะบอก หรือไม่บอกเขาดี

หวางเป่าเฉิงเห็นผมลังเล เหมือนรู้ว่าผมลำบากใจ เขาจึงหัวเราะ “ ฮ่าฮ่าฮ่า ” ออกมาทันที “ ในเมื่อน้องชายไม่อยากจะพูด งั้นพี่ก็จะไม่ถามต่อ…… ”

เมื่อได้ยินหวางเป่าเฉิงพูดแบบนั้น ผมก็จับที่คางแล้วพูดว่า “ ที่จริง ที่จริงผมเป็น…… ”

ผมเพิ่งพูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นเสียงผู้หญิงอ่อนโยนก็พูดแทรกผมขึ้นมา “ ที่จริงเขาก็คือพระเอกในคืนนี้ ! ”

 

จู่ๆก็ได้ยินประโยคนี้ และน้ำเสียงยังฟังดูคุ้นหู ผมจึงหันไปมองตามสัญชาตญาณ

เมื่อหันไป ผมก็เห็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง

หญิงสาวคนนั้นอยู่ในชุดหรูหรา ด้านหลังมีคนรับใช้เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งตามประกบ ผมจึงอดไม่ได้ที่จะตกใจ

ผู้มาเยือนก็คือโจวหยุน ผีผู้หญิงที่อาศัยอยู่ ณ สุสานเหนืออ่างเก็บน้ำ เมื่อไม่กี่เดือนก่อนผมเพิ่งคลายผนึกที่องค์กรตาผีสะกดเธอเอาไว้อย่างไม่ได้ตั้งใจ

เมื่อเห็นโจวหยุน ผมก็เบิกตากว้างอย่างช่วยไม่ได้

แต่ไม่รอให้ผมได้พูด ทันใดนั้นหวางเป่าเฉิงกลับพูดด้วยความตกใจ “ อั๊ยย่ะ ! นี่ไม่ใช่น้องโจวหยุนเหรอ ! สองสามวันมานี้ได้ยินเรื่องที่เธอถูกผนึกเอาไว้ คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริง ! ”

 

โจวหยุนเดินเข้ามา พร้อมกับรอยยิ้ม “ คารวะพี่หวาง ! ”

“ น้องโจวหยุนสุภาพเกินไปแล้ว พวกเราไม่ได้เจอกันหลายสิบปี ออกมาได้ก็ไม่ได้ไปหาพี่ที่สุสานจินชาน ! พี่จะได้เป็นคนตอนรับเธอบ้าง ” หวางเป่าเฉิงดูดีใจมาก เขาพูดและยิ้มอย่างมีความสุข เหมือนกับเป็นคนคุ้นเคย ดูสนิทสนมกันสุดๆ

ในเวลาเดียวกัน โจวหยุนก็เดินเข้ามาตรงหน้าของผม

เธอมองผมแวบหนึ่ง พร้อมกับส่งยิ้มมาให้ จากนั้นก็หันไปพูดกับหวางเป่าเฉิงต่อ “ พี่หวาง ถ้าพี่รู้ฐานะของเขาแล้วละก็ พี่จะต้องตกใจมากแน่ๆ ! ”

หวางเป่าเฉิงได้ยินโจวหยุนพูดแบบนั้น เขาจึงเงียบไปทันที จากนั้นก็พูดว่า “ เออใช่ เมื่อกี้โจวหยุนบอกว่าคืนนี้น้องชายท่านนี้เป็นพระเอกของงาน ทำไมถึงพูดแบบนั้นละ ”

 

ผมมองทั้งสองคนคุยกัน พบว่าผมไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ยิ่งไปกว่านั้นผมยังไม่กล้าเข้าไปขัดจังหวะ

แต่หลังจากที่โจวหยุนได้ยิน เธอก็ทำปากมุ่ย “ คืนนี้นอกจากงานวันเกิดของพี่มู่หลงแล้ว อาจมีการประกาศเรื่องมงคลอีกอย่าง และเขาก็เกี่ยวข้องกับเรื่องมงคลนั้น ! ส่วนเรื่องอื่น รอให้พี่มู่หลงออกมา ประกาศด้วยตัวเองเถอะค่ะ ”

โจวหยุนพูดเบาๆ หลังจากหวางเป่าเฉิงได้ยิน สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความสงสัย

ปากของเขายังพูดคำว่า เรื่องมงคล นอกจากงานวันเกิดของยัยมู่หลงแล้ว ยังมีเรื่องมงคลอื่นอีกเหรอ

แต่หลังจากพูดถึงสองคำสุดท้าย เขาก็เริ่มกระวนกระวายขึ้นมา “ น้องโจวหยุน เธอเลิกพูดอ้อมค้อมได้แล้ว ทำเป็นลับๆล่อๆอยู่นี่แหละ น้องชาย นายบอกพี่หน่อย นายกับมู่หลงเป็นอะไรกัน ”

 

ผมหันไปมองโจวหยุน เห็นเธอนั่งลงเรียบร้อย แต่กลับไม่ยอมพูดอะไรออกมา

ตอนนี้โต๊ะในงานเต็มหมดแล้ว อาหารเริ่มทยอยมาเสริฟอย่างต่อเนื่อง

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ กำลังจะอธิบายให้เขาฟังด้วยตัวเอง

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆด้านหน้าก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น “ คุณหนูมู่หลงมาถึงแล้ว ! ”

เมื่อคำพูดนี้ดังขึ้น ทุกคนในงานก็หันไปมองทันที

แม้แต่หวางเป่าเฉิงก็หันไปมองอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขากำลังหันไปมองที่เวที ไม่สนใจผมอีกต่อไป

ในเวลาเดียวกัน หลังจากหันไปมองบนเวที ทันใดนั้นสาวงามที่อ่อนโยนคนหนึ่งก็เดินออกมา

 

สาวงามใส่ชุดกระโปรงสีขาว หน้าตาราวกับนางฟ้า สวยจนคนต้องตกตะลึง

เมื่อเธอปรากฎตัว เธอก็ดึงดูดสายตาของผีทุกตน

“ ว๊าว ! คุณหนูมู่หลง ! ”

“ แม่นางมู่หลง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ ”

“ …… ”

มู่หลงเหยียนยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่มันกลับสวยเหมือนดอกไม้บาน

หลังจากนั้นเธอก็คารวะแขกที่อยู่ด้านล่างเวที และพูดว่า “ ข้าน้อยมู่หลงเหยียน คืนนี้เป็นวันเกิดอายุครบ 300 ปี ขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงาน ข้าน้อยทราบซึ้งใจมากค่ะ ! ”

 

หลังจากพูดจบ มู่หลงเหยียนก็คารวะให้แขกอีกครั้ง เธอดูเป็นผู้หญิงที่สง่างามและมีมารยาทมากๆ

แต่ตอนที่ผมเห็นฉากนี้ ผมกลับแอบกลอกตาให้เธอ

มู่หลงเหยียนเป็นผู้หญิงเจ้าอารมณ์คนหนึ่ง ในเวลานี้ทำเป็นผู้หญิงอ่อนโยน สง่างาม และมีมารยาท ช่างไม่ต่างอะไรกับนักต้มตุ๋นเลยสักนิด

แต่แขกทุกคนกลับชื่นชมมู่หลงเหยียนมาก โดยเฉพาะพวกผีผู้ชายด้านล่างเวทีที่ยังหนุ่มอยู่

“ แม่นางมู่หลงสุภาพมาก แค่ได้เห็นใบหน้าของแม่นางมู่หลง ฉันก็รู้สึกเป็นเกียรติสุดๆแล้ว ! ”

“ ชื่อเสียงของแม่นางมู่หลงดังกระฉ่อน วันเกิดคืนนี้ ข้าน้อยจึงมาแสดงความยินดีด้วยตัวเอง ! ”

“ …… ”

 

ท่าทางมู่หลงเหยียนดูดีใจมาก เธอโบกมือให้กับทุกตน ส่งสัญญาณให้ทุกตนหยุดพูดก่อน

ผีทุกตนล้วนเข้าใจดี เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนส่งสัญญาณ ทุกตนก็หยุดพูดทันที

มู่หลงเหยียนเห็นว่าเงียบลงแล้ว เธอก็พูดออกมาอีกครั้ง “ คืนนี้ที่ข้าน้อยจัดงานฉลองวันเกิดครบ 300 ปี และมีการเลี้ยงอาหารค่ำทุกตน ที่จริงแล้วยังมีอีกสองเรื่อง ! ”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ มู่หลงเหยียนก็เงียบไปแป๊บหนึ่ง

แขกด้านล่างเวที ต่างจับจ้องไปที่มู่หลงเหยียน

มู่หลงเหยียน กวาดสายตามองไปรอบๆ จากนั้นก็พูดออกมาอีกครั้ง “ เรื่องแรกคือ คืนนี้ที่เรียกทุกตนมา เพราะพวกเรามีศัตรูคนเดียวกัน เป็นพวกมันที่ทำให้พวกเราเป็นแบบนี้ เป็นพวกมันที่ทำให้เราไม่ได้ผุดได้เกิด ไม่แม้แต่จะกลับชาติไปเกิดได้ ”

 

“ และทุกตนน่าจะรู้ดี ว่าเหลือเวลาอีกแค่สามปี ถ้ายังหาเจ้าสิ่งนั้นไม่เจอ พวกเราก็จะตายทั้งเป็น และเจ็บปวดทรมานเพราะวิญญาณแตกสลาย……. ”

ตอนนี้สีหน้าของผีทุกตนต่างน่ากลียดน่ากลัวจนถึงขีดสุด แววตาเต็มไปด้วยความเครียดแค้น

แม้แต่ผมที่ได้ยินเรื่องนี้ หัวใจก็ยังอดไม่ได้ที่จะมีเสียงดัง “ กึก ” คิดทบทวนคำพูดของมู่หลงเหยียน

ผมจำตอนที่มู่หลงเหยียนพูดถึงศัตรูได้ และยังตอนที่โจวหยุนออกมาจากโลง ในตอนนั้นเอง ผมก็ได้เข้าใจเกี่ยวกับองค์กรตาผีสั้นๆ

แต่ในตอนนั้น ผมยังได้ยินโจวหยุนพูดถึง “ ระยะเวลาสามปี ” แต่มู่หลงเหยียนไม่ยอมพูด ดังนั้นผมจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

แต่ตอนนี้กลับได้ยินมู่หลงเหยียนพูดออกมาอีกครั้ง โดยเฉพาะอีกสามปีถ้ายังหาเจ้าสิ่งนั้นไม่เจอ พวกเขาก็จะต้องทุกข์ทรมานจากวิญญาณแตกสลาย ผมจึงอึ้งจนแทบนั่งไม่ติด

เกิดอะไรขึ้นกับพวกมู่หลงเหยียนกันแน่ พวกเขาและองค์กรตาผีมีความแค้นอะไรต่อกัน

และ พวกเขาต้องการตามหาอะไร

หรือว่าผี 200 กว่าตนที่อยู่ที่นี่ จะมีความเกี่ยวข้องกับองค์กรตาผีทั้งหมด ระยะเวลา 3 ปีหมายความว่าอะไรกันแน่

ช่วงเวลานั้นคำถามผุดเข้ามาในหัวของผมเรื่อยๆ ผมขมวดคิ้วจนมันแทบผูกกันเป็นโบ

หลังจากมู่หลงเหยียนพูดมาถึงตรงนี้ เธอกลับไม่พูดต่อ

 

แขกด้านล่างเวทีกลับโวยวายขึ้นมาทันที “ ฮึ ! 3 ปี พวกเราจะสู้กับพวกมันจนตายไปข้างหนึ่ง ! พวกเราเดิมพันด้วยชีวิต ยังไงก็เคยตายไปแล้วครั้งนึง พวกเราไม่กลัวตายอีกแล้ว ”

“ ใช่ ขอแค่แม่นางมู่หลงเหยียนยังอยู่ พวกเราจะต้องเอาของของตัวเองกลับมาได้แน่ ! ”

“ ฮึ ! ถึงวิญญาณแตกสลาย พวกเราก็จะไม่ยอมตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกมันอีกครั้ง ”

“ พวกเราจะต้องแก้แค้น และต้องทำให้สำเร็จ ! ”

“ …… ”

ผมฟังเสียงแขกตะโกน แต่ดูเหมือนมันจะเป็นสิ่งต้องห้ามของทุกตน เพราะไม่มีใครพูดว่าสิ่งที่พวกเขาจะเอากลับมาคืออะไร

 

เมื่อมู่หลงเหยียนได้ยินคำพูดเหล่านี้ เธอก็พูดออกมาอีกครั้ง “ ทุกท่านอย่าเพิ่งใจร้อน นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องทำ ดังนั้นขอให้ทุกท่านรอเพิ่มอีกสักวัน รอให้ถึงคืนพรุ่งนี้ พวกเราค่อยมาคุยกันให้ละเอียด ! และค่อยปรึกษากันให้ดีๆ ”

“ ดี ! แม่นางมู่หลง แล้วเรื่องที่สองคืออะไร ”

“ ใช่ ! วันเกิดของแม่นางมู่หลงทั้งที ไม่พูดถึงมันก็ดี ! บอกเรื่องที่สองมาเลยเถอะ ! ”

“ ……. ”

มู่หลงเหยียนยิ้มออกมาเล็กน้อย เธอไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่กวาดสายตามองแขกรอบหนึ่ง สุดท้ายสายตาของเธอก็มาหยุดลงตรงที่ผมนั่งอยู่

ผมเห็นมู่หลงเหยียนมองผม ผมจึงยิ้มให้เธอเล็กน้อย ในเวลาเดียวกันก็โบกมือให้

แต่ผมเพิ่งโบกมือเสร็จ ทันใดนั้นมู่หลงเหยียนก็พูดต่อหน้าผีทุกตน “ ติงฝาน นายมานี้…… ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset