ศพ – ตอนที่ 187 องค์กรตาผีชั่วร้าย

ตอนที่ 187 องค์กรตาผีชั่วร้าย

ผมและมู่หลงเหยียนเหมือนคู่รักคู่หนึ่ง พวกเราค่อยๆเดินลงจากเวที

ขณะเดียวกัน นักแสดงที่เคยแสดงก่อนหน้านี้ ก็ออกมาจากอีกฝั่งของเวที พร้อมกับเสียงเพลงที่บรรเลงขึ้นอีกครั้ง

“ บูมบูมบูมบูม บูมบูมติ๊ง…… ”

แขกที่อยู่ด้านล่าง เห็นนักแสดงออกมาบนเวที พวกเขาก็ปรบมือด้วยความดีใจ

ในเวลาเดียวกันก็ยกแก้วชนกัน และตักอาหารคำโต

หลังลงมาจากเวที มู่หลงเหยียนก็ปล่อยมือจากผม ในเวลาเดียวก็หันมามองผม “ เจ้าห่วย ตอนนี้นายคงมีคำถามอยากถามฉันเยอะเลยละซิ ”

 

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ นี่มันไม่ใช่คำพูดไร้สาระเหรอ

เธอให้ฉันขึ้นไปแสดงละครบนเวที มันก็เป็นธรรมดาที่ในใจฉันจะต้องรู้สึกสงสัย และมีคำถามเยอะแยะมากมาย

“ ใช่ ฉันมีคำถามจะถามเธอเยอะเลย ! ” ผมรีบพูด

แต่มู่หลงเหยียนกลับยิ้มให้เล็กน้อย “ ได้ซิ ! เห็นแก่ที่คืนนี้นายแสดงได้ดี นายถามมาซิ ! ถ้าบอกนายได้ ฉันจะบอก ! ”

ผมไม่ได้สนใจคำพูดของมู่หลงเหยียน ผมพูดออกมาตรงๆ “ เธอไปเจอปัญหายุ่งยากอะไรมาใช่ไหม ทำไมต้องให้ฉันแสดงเป็นคู่รักแสนดี ต่อหน้าผีจำนวนมากขนาดนี้ ”

มู่หลงเหยียนเผยรอยยิ้มที่ขมขื่น “ เป็นอย่างที่นายพูดนั่นแหละ พักนี้ฉันไปเจอเรื่องยุ่งยากมาเรื่องหนึ่ง ถ้าฉันไม่ประกาศว่าตัวเองแต่งงานแล้ว ฉันอาจมีปัญหาน่ะ ! ”

 

“ ปัญหา ปัญหาอะไร หรือว่ามีคนบังคับให้เธอแต่งงาน ” ผมถามด้วยความสงสัย

มู่หลงเหยียนพยักหน้าเล็กน้อย “ ใช่ ! และคนๆนั้น ก็เป็นคนที่ฉันขัดใจเขาไม่ได้ ดังนั้นเลยต้องเลือกวิธีที่แย่ที่สุดแบบนี้ แต่ดูเหมือนนายจะแสดงได้ดีนิ แกล้งทำว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ เลยไม่ทำให้ฉันต้องเสียหน้าเท่าไหร่ ”

เมื่อฟังมู่หลงเหยียนพูดจบ ผมก็อึ้งไปในทันที

แม้แต่หน้าก็ยังเผยให้เห็นถึงความตกตะลึง มู่หลงเหยียนถูกคนบังคับให้แต่งงาน

แต่นอกจากเธอและยายโม่แล้ว มู่หลงเหยียนก็ดูจะไม่มีคนในครอบครัวคนอื่นอีก

นอกจากคนในครอบครัว แล้วเธอจะโดนใครบังคับให้แต่งงานได้ละ

พลังของมู่หลงเหยียนถึงระดับนั้นแล้ว นั้นเป็นถึงระดับพลังที่สุดยอดเลยนะ

 

ยังมีคนบังคับมู่หลงเหยียนได้อีกเหรอ เขาเป็นใครกันแน่นะ

เห็นได้ชัดว่าผมตกใจมาก แต่ในใจก็มีความโกรธที่ไม่อาจอธิบายได้ปรากฎขึ้น “ ใคร ใครที่มันกล้าโอหัง ! ”

แต่มู่หลงเหยียนกลับมองไปที่พระจันทร์ สูดหายใจเหมือนกับคนเป็น “ เป็นใครไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ หวังว่าเรื่องนี้จะผ่านพ้นไปได้ ! ฉันไม่อยากมีเรื่องผิดใจ กับคนๆนั้นอีกแล้ว ! ”

“ คนๆนั้นร้ายกาจมากเลยเหรอ ”

“ ร้ายกาจมากซิ ไม่ใช่คนที่พวกเราจะไปแหย่เล่นได้เลย ! ” มู่หลงเหยียนพูดเบาๆ

เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนพูดแบบนั้น ในใจของผมก็รู้สึกสงสัยมากทีเดียว

อยากถามมู่หลงเหยียนต่อว่าคนๆนั้นเป็นใคร มีที่มายังไง

 

แต่มู่หลงเหยียนกลับชิงพูดก่อน “ ชั่งเถอะ เรื่องนี้ให้มันจบแค่นี้แหละ ! แต่คืนนี้ฉันขอบคุณมากนะที่นายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และแกล้งทำได้เหมือนมาก ! ”

หลังจากพูดจบ มู่หลงเหยียนยังเผยรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจละลายมาให้ผม

ที่จริงผมยังอยากถามต่อ ในใจรู้สึกแปลกๆ ราวกับโดนใครแย่งของของตัวเองไป

แต่เมื่อผมเห็นท่าทางของมู่หลงเหยียน อย่างมากที่สุดผมก็ทำได้แค่ขมวดคิ้วและไม่ถามอะไรอีก

ผมรู้ตัวดี เรื่องที่มู่หลงเหยียนยังจัดการไม่ได้ แล้วคนปราบสิ่งชั่วร้ายตัวเล็กๆอย่างผมจะไปจัดการได้ยังไง

แม้ผมจะไม่พยายามถามต่อ แต่ผมกลับอดไม่ได้ที่จะกำมือแน่น

ผมรู้ว่า ผมต้องพยายามให้มากกว่านี้

 

ถ้าผมแข็งแกร่งแล้ว ร้ายกาจพอแล้ว บางทีผมอาจช่วยมู่หลงเหยียนได้

มู่หลงเหยียนเห็นผมเงียบไม่พูดไม่จา เธอจึงพูดกับผมอีกครั้ง “ นายอยากถามแค่เรื่องเดียวเหรอ ไม่อยากรู้เรื่องอื่นแล้วเหรอ ”

เมื่อมู่หลงเหยียนพูดคำพูดนี้ออกมา ในใจของผมก็มีเสียงดัง “ กึก ”

แน่นอนว่าผมไม่ได้สงสัยแค่เรื่องเดียว สำหรับผมแล้ว เรื่องที่เกี่ยวกับมู่หลงเหยียนทุกอย่าง ล้วนเป็นปริศนา

เรื่องที่เธอเคยเผชิญมาทั้งหมด ล้วนถูกห่อหุ้มไปด้วยหมอกหนา

เมื่อก่อนผมเคยถามเธอ แต่เธอกลับไม่พูดออกมาสักคำ

 

ตอนนี้เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนยังบอกให้พูดต่อ มันก็เป็นธรรมดาที่ผมจะไม่ปล่อยให้มันหลุดมือไป

หลังจากนั้นผมก็เปลี่ยนหัวข้อ เริ่มพูดออกมาอีกครั้ง “ น้องศพ ฉันยังอยากรู้ว่า องค์กรหน้าผีสามตา มีที่มายังไงกันแน่ แล้วก็ ระยะเวลา 3 ปีของพวกเธอคืออะไร พวกเธอต้องตามหาอะไร ทำไมถึงหาเจ้าสิ่งนั้นไม่เจอ แล้วทำไมพวกเธอถึงต้องวิญญาณแตกสลายด้วยละ ”

เรื่องพวกนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับองค์กรตาผี และเป็นสิ่งที่ผมกังวลมากที่สุดในตอนนี้

เพราะเรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับความแค้นของมู่หลงเหยียน และความเป็นความตายในระยะเวลาสามปีหลังจากนี้ ดังนั้นผมจึงให้ความสำคัญกับมัน

 

หลังจากมู่หลงเหยียนได้ยิน เธอก็อดไม่ได้ที่จะบ่น “ ฉันรู้ว่านายต้องถามเรื่องพวกนี้ โอเค ! ฉันจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับองค์กรตาผีให้นายฟังนิดหน่อย แต่นายจำเอาไว้ละ ตอนที่ฉันเล่าให้ฟังแล้ว นายห้ามเอาไปเล่าให้ใครฟังมั่วๆ ถ้านายตกเป็นเป้าขององค์กรตาผี นายจะไม่มีวันได้หันหลังกลับ…… ”

เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนเตือนอย่างจริงจัง ก็เป็นธรรมดาที่ผมจะไม่กล้าชักช้า วินาทีนั้นผมรีบพยักหน้ารัวๆให้เธอ

มู่หลงเหยียนลังเลพักหนึ่ง หลังจากนั้นก็เล่าเรื่องราวขององค์กรตาผี ให้ผมฟังต่อหน้าเป็นครั้งแรก และความขัดแย้งที่เธอมีกับองค์กรตาผี

มู่หลงเหยียนสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอเล่าให้ฟังช้าๆ “ พวกมันเป็นองค์กรลับที่ชั่วร้ายและเก่าแก่องค์กรหนึ่ง ถูกก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยอินซาง และสัญลักษณ์ที่สืบทอดต่อๆกันมา ก็คือสัญลักษณ์หน้าผีสามตาที่ดุร้าย…… ”

 

หลังจากนั้น มู่หลงเหยียนก็เล่าที่มาขององค์กรผีสามตาให้ผมฟังอย่างละเอียด

ผมนั่งฟังอย่างเงียบๆ แต่เมื่อผมได้ยินก็ยิ่งเริ่มกลัว ยิ่งได้ยินก็ยิ่งไม่อยากเชื่อขึ้นเรื่อยๆ

เพราะคำพูดของมู่หลงเหยียน บ่งบอกว่ามันเป็นองค์กรชั่วร้ายที่ไม่กลัวฟ้าดิน

ไม่เพียงมีอำนาจมหาศาล มันยังหยั่งรากลึกอยู่ทุกหนทุกแห่ง

ในคำพูดของมู่หลงเหยียน องค์กรชั่วนี้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่โบราณ มีอำนาจมหาศาล มีสมาชิกมากมาย และในปัจจุบันพวกมันจะแฝงตัวอยู่ในแทบทุกสายงานของสังคม

เธอยังบอกว่า องค์กรตาผีชั่วมีวิชาสอนเปิดตาอีกหนึ่งดวงที่เรียกว่า “ ดวงตาเทพเจ้า ” พวกมันคิดว่าตาดวงนั้นจะให้พลังกับพวกมันอย่างมหาศาล หรือแม้แต่ความเป็นอมตะ

 

พวกมันใฝ่ฝันที่จะทำลายโลกใบนี้ ทำให้พลังคำสอนชั่วร้ายครอบคลุมโลกทั้งใบ ควบคุมพลังหยางบนโลก และกดขี่มนุษย์

เพื่อให้ความคิดบ้าๆแบบนี้เป็นจริง ลูกศิษย์ที่อุทิศตัวเพื่อพลังคำสอนชั่วๆแบบนี้จึง “ พยายามกันอย่างต่อเนื่อง…… ”

ในขั้นตอนนี้ มู่หลงเหยียนและพวกผีที่มาร่วมงาน จึงตกเป็นเหยื่อ

เพื่อแสวงหาพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม และการจัดการองค์กรชั่วทั้งหมด

มู่หลงเหยียนและผีตนอื่นๆจึงกลายเป็นหนูทดลองของพวกองค์กรตาผีชั่ว พวกเขาถูกนำที่มาของวิญญาณออก และถูกองค์กรตาผีผนึกเอาไว้

 

เพราะวิญญาณไม่สมบูรณ์ จึงทำให้พวกเธอไม่สามารถไปเกิดได้ หรือเรียกว่าถูกเขียนลงบัญชีดำผู้สาปสูญนั่นเอง

พวกเธอยังถูกควบคุมจิตใจและร่างกาย จนกลายเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ ให้องค์กรได้ใช้งานตามที่ต้องการ……

ในช่วงระยะเวลา 300 ปีที่ผ่านมา เวลาส่วนใหญ่ของ มู่หลงเหยียนมักกลายเป็นหุ่นเชิดให้กับองค์กรตาผีนั่น

จนกระทั่งเมื่อ 100 ปีก่อน มู่หลงเหยียนและหุ่นเชิดบางตน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆพวกเธอก็ได้สติ เธอถึงได้คิดวิธีหนีออกมาจากการควบคุมขององค์กรตาผีได้ และกลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง

แต่หลังจากนั้น พวกเธอกลับถูกไล่ฆ่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

มีหุ่นเชิดจำนวนมากหนีออกมาได้ แต่ถ้าไม่โดนผนึก ก็ถูกพาตัวไป หรือไม่ก็วิญญาณแตกสลาย

 

ในเวลาเดียวกัน มู่หลงเหยียนยังค้นพบความลับของตัวเอง

“ ที่มาของวิญญาณ ” ที่พวกเธอหุ่นเชิดไม่มีนั้น ไม่เพียงทำให้พวกเธอไปเกิดไม่ได้ พวกเธอยังต้อง “ ชีวิตสั้น ” ด้วย

ทุกๆ 50 ปีเธอจะต้องใช้สมุนไพรพิเศษชนิดหนึ่ง เพื่อต่อชีวิตให้ตัวเองอีก 50 ปี ไม่อย่างนั้นตัวเองจะต้องวิญญาณแตกสลาย

ถ้าอยากแก้ไขเรื่อง “ ชีวิตสั้น ” นี้ พวกเธอจะต้องหาที่มาของวิญญาณกลับมาให้ได้ ทำให้ตัวเองกลับมาอย่าง “ สมบูรณ์ ” เท่านี้พวกเธอก็จะสามารถไปเกิดได้แล้ว

และ “ เจ้าสิ่งนั้น ” ที่มู่หลงเหยียนพูดตอนอยู่บนเวที ก็คือ “ ที่มาของวิญญาณ ” ที่องค์กรตาผีเอาไปจากพวกเธอและซ่อนเอาไว้ในองค์กรชั่ว……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset