ศพ – ตอนที่ 188 งานฉลองของผี

ตอนที่ 188 งานฉลองของผี

ตอนมู่หลงเหยียนเล่า ผมคิดว่าสิ่งที่มู่หลงเหยียนต้องเผชิญ มันน่าหดหู่มาก

ผมคิดไม่ถึงจริงๆว่า ในช่วง 300 ปีมานี้ เวลาส่วนใหญ่ของมู่หลงเหยียน จะกลายเป็นหุ่นเชิดขององค์กรตาผีชั่ว

ถูกควบคุมร่างการ และความคิด กลายเป็นเครื่องจักรสังหารชิ้นหนึ่ง

วันเวลาเหล่านั้น มันไม่ต่างอะไรกับศพเดินได้เลยสักนิด

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ องค์กรตาผีชั่วนี้ยังไม่กลัวฟ้ากลัวดิน

และยังสามารถแยก “ ที่มาของวิญญาณ ” ออกจากผีได้ ที่มาของวิญญาณคืออะไรงั้นเหรอ

มันก็เหมือนกับสิ่งที่ใช้พิสูจน์ตัวตนของคนในปัจจุบัน ถ้าสิ่งที่พิสูจน์ตัวตนของตัวเองหายไป ใครคนนั้นก็จะกลายเป็นคนไร้บ้านไม่มีหลักฐานใดๆระบุว่าเขาเป็นใครมาจากไหน

 

เมื่อวิญญาณไม่มีที่มาของวิญญาณ อย่าว่าแต่ไปเกิดใหม่เลย แม้แต่ไปลงนรก พวกเขาก็ยังทำไม่ได้

ไม่พูดไม่ได้ ความสามารถเหนือธรรมชาติขององค์กรชั่วนี้ ช่างน่าทึ่งจริงๆ

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดกับมู่หลงเยียนต่อ “ น้องศพ งั้นพวกเธอแน่ใจเหรอว่าจะเอาที่มาของวิญญาณกลับมาได้ ”

มู่หลงเหยียนเห็นผมกังวล จึงอดไม่ได้ที่เค้นเสียงดัง “ เฮอะ ” “ นายจะกังวลอะไรขนาดนั้น ”

“ งั้นที่มาของวิญญาณพวกเธอถูกซ่อนเอาไว้ที่ไหน ไม่แน่ในอนาคตฉันอาจช่วยเธอได้ ! ” ผมพูดต่อ

แต่มู่หลงเหยียนกลับส่ายหัว “ นอกนั้น นายไม่รู้จะปลอดภัยกว่า แต่นายสบายใจได้ ! ในช่วง 3 ปีนี้ ฉันจะต้องคิดวิธียุติการแต่งงานของเราสองคน คืนอิสระให้นาย และไม่เป็นภาระให้นายต้องลำบากแน่ ”

 

เมื่อได้ยินมู่หลงเหยียนพูดแบบนั้น ในใจของผมก็เศร้าขึ้นมาทันที

แม้มู่หลงเหยียนจะนิสัยไม่ดี ชอบขู่ผมบ่อยๆ

แต่เธอก็ไม่ใช่ผีเลวร้าย และยังเคยช่วยชีวิตผมเอาไว้หลายครั้ง

ตอนนี้ผมก็เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้ายแล้ว เจ้าองค์กรตาผีนี้ ยังเป็นองค์กรชั่วอีก

ส่วนตัวของผม องค์กรตาผีชั่ว เป็นหน้าที่ที่ผมต้องรับผิดชอบ จะเรียกว่าภาระได้ยังไง

ผมไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะมันตรงข้ามกับจิตใต้สำนึกของผมอย่างสิ้นเชิง “ ยุติการแต่งได้หรือไม่มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญคือเธอปลอดภัย ได้ที่มาของวิญญาณคืน ! และฉันก็ไม่ได้กลัวตาย อย่างน้อยอีกสามปีข้างหน้าพวกเราก็ได้อยู่ด้วยกัน หรือไม่ก็ตายแค่นั้น…… ”

 

ผมพูดดังลั่น เสียงทั้งหมดถูกส่งออกมาจากปอด

บางทีมู่หลงเหยียนคงคิดไม่ถึง ว่าคำพูดที่ออกมาจากจิตใต้สำนึกของผม จะไม่มีความลังเลเลยสักนิด

ผมไม่ดูกังวลเลยสักนิด ถ้าเธอล้มเหลว เธอก็ตาย มันอาจทำให้ผมต้องเดือดร้อนไปด้วย แต่ผมกลับเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ

ช่วงเวลานั้นมู่หลงเหยียนอึ้งไปในทันที แววตาของเธออดไม่ได้ที่จะส่องประกายความรู้สึกแปลกๆออกมา

ผมเห็นมู่หลงเหยียนยืนอึ้ง เงียบไม่พูดไม่จา จึงคิดว่าเธอไม่เข้าใจที่ผมพูด ผมจึงพูดออกมาอีกครั้ง “ อาจารย์ของฉันเคยบอกว่า การแต่งงานมันยุติไม่ได้ แต่เรื่องที่มาของวิญญาณเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า ตอนนี้พวกเราจะต้องใส่ใจกับเรื่องนั้น และฉันกับองค์กรตาผีก็เป็นศัตรูกัน ถึงตอนนั้นเธอก็บอกฉันหน่อย ไม่ว่ามันจะเป็นปีศาจแบบไหน หรือนักพรตชั่ว ฉันก็จะฝังพวกมันให้จมดิน ! ”

 

ผมพูดด้วยความเดือดดาล อารมณ์ขึ้นสุดๆ

ในเวลานี้เองที่มู่หลงเหยียนได้สติกลับมา ปากของเธอค่อยๆยิ้มกว้าง อย่างไม่ได้ตั้งใจ “ ชั่งเถอะ เรื่องของตัวเองยังจัดการไม่ได้ ยังคิดจะมาช่วยฉันหาที่มาของวิญญาณ นายไปฝึกวิชาให้ดีๆก่อนเถอะ ! แล้วนายก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องที่มาของวิญญาณด้วย ”

“ ไม่ใช่…… ”

ผมยังอยากพูดอะไรอีกหน่อย ผลลัพธ์มู่หลงเหยียนกลับเอื้อมมือมาปิดปากผมเอาไว้ “ พอแล้ว คืนนี้เรื่องที่ฉันเล่าให้นายฟัง ต้องหยุดที่ตรงนี้ แล้วก็จำเอาไว้ ฉันห้ามให้นายเอาเรื่องนี้ไปเล่ากับคนนอกฟังเด็ดขาด มีคนรู้น้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีอันตรายน้อยลงเท่านั้น องค์กรตาผีมีอำนาจมาก มันมีสาวกทั่วทุกมุมโลก จนนายจินตนาการไม่ถูกเลยละ…… ”

 

ตอนนี้มู่หลงแหยียนพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมาก ผมเห็นมู่หลงเหยียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว จะพูดต่อไปก็คงไม่ดี ดังนั้นผมจึงทำได้เพียงหุบปากเงียบเอาไว้

และผมรู้ดี คืนนี้ที่มู่หลงเหยียนยอมเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟัง ก็เพราะคืนนี้ผมให้ความร่วมมือแสดงละครกับเธอโดยดี

ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของเธอ เรื่องพวกนี้คงไม่ได้มาเข้าหูของผมแม้แต่คำเดียว

ผมสงบจิตใจสักพัก จากนั้นก็พูดปิดหัวข้อนี้ทันที “ โอเค ! ไม่พูดก็ได้ คืนนี้เป็นวันเกิดอายุครบ 300 ปีของเธอ ฉันขอให้เธอมีความสุข แล้วฉันก็เอาเค้กมาให้เธอด้วย อีกเดี๋ยวจะตัดให้เธอกินนะ ! ”

 

มู่หลงเหยียนพยักหน้าเล็กน้อย ยิ้มอย่างมีความสุข “ งั้นพวกเราออกไปกันเถอะ ! ”

ผมตอบรับ “ อือ ” จากนั้นพวกเราก็อ้อมหลังเวที เดินออกไปจากตรงนี้

คืนนี้ ผมคิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา มู่หลงเหยียนดีต่อผมที่สุด เธอยังคุยกับผมเยอะขนาดนั้น เล่าเรื่องในอดีตของเธอให้ผมฟังด้วย

แม้จะพูดไม่ละเอียดมากนัก มันเป็นเพียงเรื่องคราวๆ แต่ผมกลับได้รู้เรื่องที่แท้จริงของมู่หลงเหยียนมากกว่าเดิม

ตอนนี้พวกเราเดินออกมาจากหลังเวทีแล้ว เสียงคนข้างนอก ที่กำลังดื่มกินและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานก็ดังขึ้นเป็นระลอก

ดูจากภายนอก ผีพวกนี้ดูไม่ต่างอะไร กับตอนที่คนทั่วไปดื่มเหล้ากินข้าว พูดคุยโม้กันอย่างครึกครื้น

 

เพียงแต่การคงอยู่ ของพวกเราคนเป็นกับคาตาย มีบางอย่างแตกต่างกัน

เมื่อผมและมู่หลงเหยียนปรากฎตัว ก็กลายเป็นดาวเด่นของงานทันที

แขกที่อยู่รอบๆต่างโบกมือและเข้ามาทักทาย หนึ่งคือมาอวยพรวันเกิดให้มู่หลงเหยียน สองคือมาอวยพรให้พวกเราอยู่ด้วยกันไปร้อยๆปี

ผมอยู่ภายใต้การนำของมู่หลงเหยียน พวกเราต่างพูดตอบกลับทีละคนๆ และยังถือแก้วไวน์ไปคารวะทั้ง 20 โต๊ะ

ระหว่างนั้น มู่หลงเหยียนยังแนะนำให้ผมรู้จักกับ “ สายลม ” ที่ทรงเกียรติทั้งหลาย

 

เช่นหัวหน้าผู้ดูแลภูเขาแถวนี้  “ ผู้เฒ่าเถ่ชาน ” ผู้นำของสุสานต่างๆ “ ผู้ดูแลกวน ” และผู้นำของสุสานต่างๆ “ หัวหน้าผี ”

แม้จะเป็นผู้นำทั้งหมด แต่เพราะทุกตนต่างปกครองอยู่ในพื้นที่ที่ต่างกัน ดังนั้นคำที่ใช้เรียก จึงแตกต่างเฉพาะตัว

ต่อหน้าผีผู้เฒ่าเหล่านี้ ผมสุภาพสุดๆ

เพราะผีผู้เฒ่าเหล่านี้ล้วนเป็นผีที่ดี คอยปกป้องดูแลความสงบสุขและความเรียบร้อย

อีกอย่างพวกเขายังเป็นมิตรของมู่หลงเหยียน ในอนาคตถ้าเจอปัญหาอะไร ผมก็อาจใช้ความสัมพันธ์นี้ ขอความช่วยเหลือจากเหล่าผีผู้เฒ่าได้

 

หลังจากเดินครบหนึ่งรอบ ผมและมู่หลงเหยียนก็มาถึงโต๊ะที่หวางเป่าเฉิงและโจวหยุนนั่งอยู่

คนรับใช้สองคนของโจวหยุนเห็นเราสองคนเดินเข้ามา จึงหลีกทางให้พวกเรานั่งลง จากนั้นก็ไปนั่งโต๊ะอื่นที่ยังว่างอยู่

พวกเราเพิ่งนั่งลง ทันใดนั้นบอสของสุสานจินชานหวางเป่าเฉิงก็ยกแก้วขึ้น พูดกับผมและมู่หลงเหยียนว่า “ ฮ่าฮ่าฮ่า คิดไม่ถึงจริงๆว่าน้องชายจะเป็นสามีของแม่นางมู่หลง ยินดีด้วยยินดีด้วย มาฉันขอดื่มให้พวกคุณทั้งสองคน ! ”

ผมหัวเราะ “ ฮ่าฮ่าฮ่า ” จากนั้นก็ยกจอกเหล้าขึ้น “ พี่หวางเกรงใจแล้วครับ ! ”

หลังจากพูดจบผมก็ดื่มจนหมดจอก แม้ผมจะไม่รู้ว่าอาหารและเครื่องดื่มที่อยู่บนโต๊ะผีมาจากไหน แต่รสสัมผัสของเหล้าถือว่าดีเลยทีเดียว ผมรู้สึกว่ามันอร่อยกว่าเหล้าเหมาไถที่อาจารย์ซ่อนเอาไว้ดื่มคนเดียวซะอีก

 

และมันยังไม่ทำให้เมาง่าย ยิ่งดื่มก็ยิ่งรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีอาหารแปลกๆที่วางอยู่เต็มโต๊ะ

ดึกขนาดนี้ แถมยังมีสายลมเอื่อยๆพัดเข้ามาตลอด แต่ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ อาหารพวกนี้กลับยังร้อนอยู่

และรสชาติยังจัดว่าอร่อยมาก แต่ผมดื่มเหล้าไปเยอะขนาดนั้น และกินอาหารไปจำนวนมาก กลับไม่รู้สึกอิ่มเลยสักนิด

ตอนนั้นผมยังไม่ได้สนใจเรื่องนี้ กลับกันคนที่เป็นจุดเด่ดอย่างผม จึงมีผีจำนวนมากมาขอดื่มเหล้ากับผม และผมก็ไม่ปฏิเสธใครเลยสักคน

จนมู่หลงเหยียนต้องเตือนผม บอกให้ผมดื่มน้อยๆหน่อย ไม่อย่างนั้นผมจะเมาแอ๋

 

แต่ผมกลับไม่รู้สึกเมาเลยสักนิด ผมจึงไม่เชื่อคำเตือนของเธอ

ตอนนั้นผมจุดเทียนบนเค้กให้มู่หลงเหยียน จากนั้นก็ตัดเค้กให้เธอ

มู่หลงเหยียนดีใจมาก เธอยิ้มหวานอย่างมีความสุข

ผมค่อยๆรู้ว่า การดื่มฉลอง และพูดคุยกับเหล่าผี มันน่าสนุกขนาดนี้

คนที่ทำธุรกิจจัดการศพทั้งหมด กับคนปราบสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายมีใครเคยทำเรื่องแบบเดียวกับผมบ้าง

ช่วงเวลาหนึ่งได้เลี้ยงฉลองกันอย่างยาวนาน ระหว่างนั้นยังไม่เห็นใครเดินจากไปเลยสักคน

 

ผมเองก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหน จนกระทั่งผมได้ยินเสียงไก่ขันที่กลางป่า วินาทีนั้นมันดังก้องไปทั่วบ้านผี

และเมื่อเสียงไก่ขันดังขึ้น สถานที่ที่เคยคึกคัก ก็ดูเหมือนจะหยุดลงดื้อๆ บรรยากาศเงียบกริบไร้ซึ่งผู้คนทันที

ตอนนั้นแขกทุกคน ต่างเงียบนิ่ง และค่อยๆหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเอง

ไม่ใช่แค่นั้น เมื่อวินาทีก่อนผมที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แต่หลังจากเสียงไก่ขันดังขึ้น ผมกลับโลกหมุน ร่างกายอ่อนเพลียทันที

สิ่งที่สำคัญคือ ผมรู้สึกว่าฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ย้อนขึ้นมาในหัวของผม เปลือกตาหนักอึ้ง วินาทีนั้นผมยกมือไม่ขึ้นเลยสักนิด……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset