ศพ – ตอนที่ 19 ฆ่าผี

หลังจากผีชั่วเห็นการปรากฎตัวของผม มันก็เผยรอยยิ้มที่สยดสยองออกมา และยังมองผมด้วยความตื่นเต้น มองซะผมรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว

นักพรตตู๋ที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากลับเปล่งเสียงที่เย็นชา “ใกล้จะตายอยู่แล้วยังจะกล้าอวดดีอีก!”

หลังจากพูดจบ เขาก็ดึงดาบไม้ออกมา

แต่ผีชั่วกลับยิ้มอย่างเยือกเย็น “งั้นเหรอ ข้าละอยากสั่งสอนแกจริงๆ! แต่สถานที่มันเล็กไปหน่อย พวกเรามาเปลี่ยนที่กันเถอะ”

เสียงพึ่งจบลง  ผีชั่วตนนั้นก็โบกมือ บ้านที่ถูกปิดอย่างแน่นหนา ทันใดนั้นก็ถูกสายลมที่หนาวเย็นพัดจนเปิดออก

 

จากนั้น ผีชั่วก็หมุนตัววิ่งออกไปข้างนอกทันที

นักพรตตู๋เปล่งเสียงฮึออกมา จากนั้นก็ไม่พูดอะไร เขารีบถือดาบไม้ไล่ตามไปทันที

ตอนนี้เขาไม่คิดถึงศักดิ์ศรีแต่อย่างใด ไม่มีอะไรต้องมาพูดกันดีๆแล้ว

ดังนั้นอาจารย์และเหล่าฉินที่อยู่ทางด้านซ้ายและขวา จึงไม่เกรงใจอีกต่อไป พวกเขาเองก็พุ่งออกไปตามผีชั่วเช่นกัน

ส่วนลูกศิษย์ของนักพรตตู๋ เฟิงเฉ่วหานคุณชายผู้เย็นชานั้นกลับถือดาบไม้ขึ้นมายืนปกป้องผมอยู่ด้านหน้า

เมื่อผีร้ายสามตนเห็นพวกเราลงมือ พวกมันก็หันมามองด้วยใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัว

 

พวกมันแผดเสียงกรีดร้องออกมาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็เผยใบหน้าที่ดุร้ายและเขี้ยวที่แหลมคม กางกรงเล็บทั้งสองข้างขึ้นและพุ่งเข้าใส่อาจารย์และคนอื่นๆ

ผมไม่เคยเห็นฉากการต่อสู้ครั้งใหญ่แบบนี้มาก่อน วินาทีที่พวกเขาสู้กัน ผมรู้สึกกลัวมาก รู้สึกเสียวซ่านไปทั้งหัว

แต่ก็ไม่ลงมืออย่างสะเปะสะปะ เมื่อเห็นผีชาวประมงดุร้ายแบบนั้น วินาทีแรกนั้นผมก็คิดถึงวิธีของยายโม่ขึ้นมา

ผมไม่ลังเล รีบเปิดโกศทั้งสองใบออก จากนั้นก็หยิบพริกไทยดำออกมา

เมื่อเฟิงเฉ่วหานเห็นผมเปิดโกศ เขาก็รู้สึกงงงวย จึงถามผมด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “เสี่ยวฝาน นายจะทำอะไรน่ะ”

 

เมื่อผมได้ยินคุณชายผู้เย็นชาถาม ผมก็เผยรอยยิ้มมุมปากที่แสนเจ้าเล่ห์ออกมา “นายแค่ยืนมองเดี๋ยวก็รู้เองแหละ!”

หลังจากพูดจบ ผมก็นำถุงใส่พริกไทยดำเทลงโกศทั้งสองใบทันที

จากนั้นก็ปิดฝาอย่างรวดเร็ว ใช้มือถือข้างละใบ จ้องมองไปที่ผีชาวประมงที่ดุร้าย “ตอนนี้ฉันจะทำให้พวกแกรู้สึกดีเอง!”

หลังจากพูดจบ ผมก็เริ่มเขย่าโกศทั้งสองใบ

ไม่ต้องพูดถึงมันเลย วิธีของยายโม่ได้ผลสุดๆ

 

เมื่อพริกไทยดำและเถ้ากระดูกผสมด้วยกัน จากการเขย่าอย่างรุนแรง ทำให้สีหน้าผีชาวประมงเปลี่ยนไปทันที

พวกมันพร้อมใจกันหันมามองหน้าผม ด้วยสีหน้าที่หวาดผวา “ไอ้เด็กเลว แก แกทำอะไร”

“ทำอะไรงั้นเหรอ แค่ปรุงอะไรนิดหน่อยกับเถ้ากระดูกของพวกแกเท่านั้น!” หลังจากพูดจบ ผมก็เขย่าแรงกว่าเดิม

ผีสองตนนั้นหวาดกลัวจนหาที่เปรียบไม่ได้ วินาทีนั้นร่างกายของพวกมันก็เริ่มสั่นไหว

 

ราวกับกำลังรู้สึกเจ็บปวดทรมานจากการถูกทิ่มแทง มันทรมานมาก จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง “อ้า/อร๊าย”

“ได้เด็กเวร หยุด หยุดเดี๋ยวนี้!”

“ฉัน ฉันจะฆ่าแก!”

ท่าทางที่เจ็บปวดทรมานของผีทั้งสอง กำลังเข้ามาใกล้ตัวผม ดวงตาเต็มไปด้วยความดุร้ายและความรังเกียจ

เมื่อผมเห็นพวกเขากำลังจะเข้ามาใกล้ ผมจึงถอยไปข้างหลังสองสามก้าว และยิ่งเขย่าแรงขึ้นกว่าเดิม

สีหน้าเจ็บปวดทรมานของผีทั้งสองตนก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ก้าวเท้าตุปัดตุเป๋ไปมา ยืนตัวเอียงเล็กน้อย

เมื่ออาจารย์และเฟิงเฉ่วหานเห็นเช่นนั้น พวกเขาจึงรีบเข้าไป

 

อาจารย์แทงดาบออกไป แต่ผีผู้ชายกลับหลบได้ แต่ด้วยความเจ็บของร่างกาย ทำให้เขาขยับมากไม่ได้

หลังจากดาบแทงเข้ากับอากาศ อาจารย์ก็หยิบยันต์เหลืองออกมา “แปะ” เขาแปะมันลงที่กลางหน้าผากของผีผู้ชาย

ระหว่างนั้น อาจารย์ก็ทำมือทำไม้ ทันใดนั้นเขาก็พูดออกมาเบาๆ “ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง เพี้ยง!”

เสียงพึ่งจางหาย ยันต์ผืนนั้นก็เปล่งแสงสีขาว “ตูม” ตามมาด้วยเสียงระเบิดกลางหน้าผากของผีผู้ชาย

ทันใดนั้นผีผู้ชายก็ร้องโอดครวญ ร่างของเขากระเด็นลอยออกไป จากนั้นก็หล่นกระแทกพื้นทันที

ร่างกายสั่นเทา แสงในร่างกระพริบไปมา ร่างกายของเขากำลังจะแตกสลายอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าวิญญาณของเขากำลังแตกสลาย ไม่สามารถมีชีวิตได้อีกต่อไป

 

ในเวลาเดียวกัน เฟิงเฉ่วหานเองก็ลงมือกับผีผู้หญิง

อย่ามองว่าชายคนนี้อายุห่างจากผมไม่มาก แต่ความสามารถของเขาสูงกว่าผมมาก

เมื่อเห็นผีผู้หญิงพุ่งเข้ามา แต่ขณะที่อันตรายเข้ามาใกล้เขากลับไม่ตื่นกลัว เขายกดาบในมือขึ้นและแทงเข้าไปตรงๆ

ผีผู้หญิงหลบได้สองสามครั้ง แต่เธอยังไม่อาจระงับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในร่างกายได้ จึงทำให้ร่างกายไม่พร้อมกับการต่อสู้

เมื่อเฟิงเฉ่วหานเห็นโอกาส เขาจึงแทงดาบทะลุหน้าอกของผีผู้หญิงทันที

 

ผีผู้หญิงยังคงดิ้นรน เธอไม่ตาย และยังกรีดร้อง “อร๊ายอร๊าย” ออกมา กรงเล็บทั้งสองข้างพุ่งเข้ามาทำร้ายเฟิงเฉ่วหาน

แต่เฟิงเฉ่วหานกลับไม่ถอยเลยสักก้าว เขาดึงดาบออก ทันใดนั้นที่มือซ้ายของเขาก็หยิบตราประทับแปลกๆออกมา หลังจากเล็งไปที่หน้าผากของผีผู้หญิงเขาก็กดมันลงไปทันที

“บึก” ตราประทับขนาดใหญ่นั้นกดทับลงที่หน้าผากของผีผู้หญิง

วินาทีที่ตราประทับกดลงที่หน้าผากผีผู้หญิง มันก็มีเสียงดัง “จึกจึกจึก” ราวกับมีหัวแร้งติดอยู่ นอกจากนั้นยังมีควันสีดำลอยออกมาด้วย

ส่วนผีผู้หญิง เธอเผยสีหน้าที่เจ็บปวด ปากยังคงกรีดร้องออกมาด้วยความเศร้าโศก

 

ถึงแม้ว่า ในเวลานี้เธอจะหันหลังกลับ แต่ร่างกายของเธอก็มีแสงกระพริบเรียบร้อยแล้ว

แต่เฟิงเฉ่วหาน ยังแสดงสีหน้าเหมือนเดิม เขาเพิ่มแรงกดลงไปมากกว่าเดิม

ผ่านไปแค่แป๊บเดียวเท่านั้น “บึก” ผีผู้หญิงก็กลิ้งลงไปบนพื้น ร่างกายของเธอเหมือนกับผีผู้ชาย กระตุกอย่างต่อเนื่อง แสงสว่างในร่างกระพริบไปมา……

ทั้งหมดนี้ต่างเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน และยังเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก

ในเวลาเดียวกันนั้น เหล่าฉินเองก็กำลังสู้กับผีผูกคอตาย

แต่ผีชาวประมงต่างแตกสลายไปแล้ว ผีผูกคอตายตนนั้นจึงโดดเดี๋ยวเดียวดาย เขาเลยคิดจะหันหลังและหนีไป

 

แต่ในช่วงเวลานั้นจะเป็นไปอย่างที่เขาต้องการได้ยังไง เขาถูกโจมตีทั้งซ้ายและขวา เมื่อเพิ่มเฟิงเฉ่วหานเข้ามาอีก ขณะที่ทั้งสามคนลงมือพร้อมกัน ผมก็ยืนถือดาบไม้รอโอกาสอยู่ข้างๆ

แม้ว่าผีผูกคอตายจะสู้แบบสามรุมหนึ่ง แต่เขาก็เป็นผีที่มีความสามารถอยู่บ้าง

แม้ว่าทั้งสามคนจะร่วมมือกัน แต่ในช่วงเวลานั้นก็ยังจัดการเขาไม่ได้

ผมยืนอยู่ด้านนอกวง แน่นอนว่าตัวผมกลายเป็นตัวประกอบไปทันที แต่สิ่งที่ผมคิดไม่ถึงคือ ดันมีโอกาสที่ผมได้ลงมือจริงๆ

ขณะที่ทั้งสามคนกำลังต่อสู้ ทันใดนั้นผีผูกคอตายก็หันหลังให้กับผม

 

ผมไม่สนว่าจะแทงโดนรึป่าว ผมจับดาบไม้และแทงเข้าไปตรงๆ เพื่อสร้างความกล้าให้กับตัวเอง ผมจึงตะโกนออกมา “ไปตายซะ!”

เมื่อปัจจัยหลายๆอย่างรวมเข้าด้วยกัน การแทงครั้งนี้ของผมจึงแข็งแกร่ง ทันใดนั้นผมก็แทงทะลุตัวผีผูกคอตายหลี่กวางหลงทันที

และแล้วเสียงกรีดร้อง “อ้า…” ของหลี่กวางหลงก็ดังขึ้น ร่างกายของเขาแข็งทื่อ หัวหมุน 180 องศา จากนั้นก็หยุดและจ้องมาที่ผม

ราวกับดวงตาคู่นั้นจะทะลุออกมา เขาจ้องผมด้วยสีหน้าที่ดุร้ายและน่ากลัว “สมควรตาย!”

ขณะที่พูด เขาก็ตรงเข้ามากัดที่คอของผม

 

แต่เขาไม่มีโอกาสได้ทำแบบนั้น อาจารย์ เหล่าฉิน และเฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างๆต่างลงมือพร้อมกัน พวกเขาไม่เกรงใจใช้ดาบไม้ที่อยู่ในมือแทงเข้ามาที่ร่างกายของผีร้ายทันที

ผลลัพธ์ไม่ต้องเดาก็รู้ ถูกดาบไม้แทงทะลุตัวถึงสี่ด้าม จะมีชีวิติอยู่ได้ไงละ

วินาทีนั้นผีผูกคอตายกรีดร้องออกมา จากนั้นก็มีเสียงดัง “ปัง” ร่างกายของเขาสว่างขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆจางหายไปต่อหน้าของพวกเรา

เมื่อหันไปมองภายในบ้าน ร่างของผีผู้หญิงตนนั้น ยังอยู่

 

แต่ตอนนี้ร่างกายของเธอโปร่งแสงมาก แสงสว่างค่อยๆจางหายไปจากร่างของเธอ ในไม่ช้าวิญญาณของเธอก็จะแตกสลาย

เมื่อทุกคนเห็นสิ่งนี้ ทันใดนั้น

ก็ได้ยินเสียงอาจารย์พูดกับผมและเฟิงเฉ่วหานว่า “แกสองคนอยู่ที่นี่ ส่วนพวกฉันจะไปช่วยนักพรตตู๋!”

หลังจากพูดจบ ก็ไม่รอฟังคำตอบจากผมและเฟิงเฉ่วหาน เขาพาเหล่าฉินหันหลัง และพุ่งออกจากบ้านไปทันที……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset