ศพ – ตอนที่ 191 โทรศัพท์จากชุ่ยเอ๋อ

ตอนที่ 191 โทรศัพท์จากชุ่ยเอ๋อ

 

ช่วงเวลานั้นสามารถพูดได้ว่าผมเหนื่อยทั้งกายและใจ เรื่องราวต่างๆที่ถาโถมเข้ามา

ทําให้ร่างกายและจิตใจอ่อนล้า

 

หลังจากกลับมาจากปากุ้ยหลิน เพราะกินดื่มอาหารของคนตายไปไม่น้อย 

จึงทําให้เกิดจุดกุ้ยหยินขึ้น

 

โชคดีที่มันไม่ส่งผลร้ายแรง เพียงทําให้พลังหยางในร่าง กายลดลงไปเยอะเท่านั้น

 

สองสามวันมานี้ ชีวิตของพวกเรากลับมาสงบสุขอีกครั้ง

 

หลังจากผมกลับมาได้สามวันท่านนักพรตต์เองก็ออกมา จากโรงพยาบาล 

เขามีเพียงปัญหาเล็กน้อย

 

ขอแค่เขาไม่ทํางานหนัก พักสักสองสามเดือนเขาก็น่า จะกลับมาเป็นปกติแล้ว

 

ช่วงนี้ ถ้าผมมีเวลาว่างก็จะออกไปยืนตากแดดนอกบ้าน 

ไปเล่นเกมกับเหล่าเฟิง มันเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขจริงๆ

 

แน่นอนว่าผมไม่ลืมเรื่องฝึกวิชาพัฒนาพลัง เพราะเมื่องนาทีชีวิตผมถึงรู้ว่า 

พลังเป็นเรื่องที่สําคัญขนาดไหน

 

เพราะได้คําแนะนําส่วนตัวจากอาจารย์ พลังของผมค่อยๆเพิ่มขึ้น

 

อาจารย์พอใจผมมาก บอกว่าผมหัวดีมาก เป็นต้นกล้าที่ดีของสายงานนี้

 

แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ยังกําชับผมครั้งแล้วครั้งเล่าบอก 

ให้ผมห้ามลืมหัวใจหลักของงานนี้ จะทําลายคําปฏิญาณของคนปราบสิ่งชั่วร้ายไม่ได้

 

ผมถูกอาจารย์บ่นใส่จนหูชา แต่บางครั้งอาจารย์ก็ยังกํา ชับผมอีกสองสามประโยค

 

เวลาผ่านไปเร็วมาก เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว

 

ภายในครึ่งเดือนนี้ ผมไม่ได้เจอมู่หลงเหยียนเลย เธอเองก็ ไม่ได้ออกมาปรากฏตัว

 

รอบๆตัวของพวกเราก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เป็นเหมือนปกติ ขายธูป เทียน เงินกระดาษ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข

 

แต่มีอยู่วันหนึ่ง ผมเพิ่งกินข้าวเที่ยงเสร็จ กําลังจะกลับเข้า ไปนอนกลางวันในห้อง ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็มีเสียงดังขึ้น

 

“ติ๊งติ๊งติ๊ง……”

 

ผมไม่ได้สนใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูตามปกติ

 

แต่ตอนที่ผมเห็นชื่อคนโทรมา ผมกลับอดไม่ได้ที่จะยืนอึ้ง

 

เพราะผมพบว่าคนที่โทรมาหาผมคือนักแสดงสาวอู่ฮียฮุย หลังจากทิ้งช่องทางติดต่อไว้ให้เธอแถวโรงพยาบาล แม้พวก เราจะติดต่อกันได้ แต่ก็มีแค่แชทคุยกันครั้งเดียวเท่านั้น

 

บางครั้งผมก็เห็นรูปของอู่ฮุยฮุยจากกลุ่มแชทเพื่อน อย่างมากก็แค่กดเข้าไปดู ไม่ได้แชทคุยกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่เคย โทรหากันเลย

 

อู่ฮียฮุยโทรมาหาผมอย่างกระทันหัน นี่มันหมายความว่าอะไร

 

ผมลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็กดรับ “ ฮัลโหล ! ”

 

เสียงเพิ่งเงียบลง ทันใดนั้นเสียงร้อน รนของอู่ฮุยฮุยก็ดังขึ้น “ ติงฝาน ฉันคืออู่ฮียฮุย ! นาย นาย ว่าง ว่างคุยกับฉันไหม ”

 

เมื่อได้ยินน้ําเสียงที่รีบร้อนของอู่ฮียฮุย ผมก็คิดว่า เธอกําลังมีปัญหา จึงตอบกลับทันที “ ว่าง มีเรื่องอะไร รึเปล่า ?”

 

“ คือ คือนายช่วยมาที่กองถ่ายของพวกเราหน่อยได้ไหม ! ในกองถ่าย ของพวกเรา เจอเรื่อง เจอเรื่องยุ่งยากนิดหน่อย !” อู่ฮียฮุยพูดต่อ

 

แต่ผมกลับเงียบไปแป๊บหนึ่ง เจอเรื่องยุ่งยากนิดหน่อยเหรอ

 

ผมจึงถามกลับ “ เธอพูดให้ชัดเจนหน่อย เรื่องยุ่งยากอะไร ! ”

 

ผมรู้สึกได้รางๆ อู่ฮียฮุยไม่มีทางโทรมาโดยไม่มีสาเหตุแน่ เธอเห็นความสามารถของผมรู้ดีว่าผมทํางานอะไร

 

ช่วงเวลานั้น ยังบอกผมว่ามีเรื่องยุ่งเกิดขึ้น

 

ผมจึงเดาว่า ยัยนี้ต้องเจอกับสิ่งชั่วร้าย หรือไม่ก็บางอย่างที่ตัวเองไม่สามารถอธิบายได้

 

อู่ฮุยฮุยพูดด้วยน้ําเสียงตื่นตกใจ “ ฉัน ฉันเองก็ไม่แน่ใจ มันมีอะไรแปลกๆ และยุ่งยากมาก ในกองถ่ายของฉันมี คนตายจากอุบัติเหตุไปสองคนแล้ว !”

 

“ ตอนนี้คนในกองถ่ายกลัวกันมาก ถ้า ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป กองถ่าย กองถ่ายของพวกเราจะต้องแตกกระเจิงแน่ ฉันอธิบายในนี้ไม่ได้ อีกอย่างตํารวจก็อธิบายไม่ได้ มัน แปลกมาก นาย นายรีบมาช่วยพวกเราได้ไหม ”

 

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ในใจของผมก็มีเสียงดัง “ กึก ” ผมขมวดคิ้วทันที

 

ดูเหมือนเธอจะเจอปัญหาเข้าจริงๆ ถึงกับมีคนตายแล้ว และยังมีถึงสองคนด้วย

 

จากน้ําเสียงของอู่ฮียฮุย ปัญหานี้จะต้องทําให้กองถ่าย ของเธอตกที่นั่งลําบาก 

สําหรับนักแสดงที่รักในการตีบทแตก คงไม่อยากให้กองถ่ายของเธอแตกเป็นเสี่ยงๆ

 

นี่ก็คือสาเหตุว่า ทําไมอู่ฮุยฮุยถึงได้โทรหาผมอย่างประทันหัน !

 

แม้ว่าผมจะไม่ได้สนิทอะไรกับอู่ฮียฮุยมากนัก แต่อย่างน้อ ยพวกเราก็รู้จักกัน มีวาสนาต่อกันอยู่บ้าง

 

ในเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงขนาดนี้แล้ว การเข้าไปดูสักหน่อย ก็คงไม่เกินความสามารถของคนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างเรา

 

ผมเห็นอู่ฮียฮุยไม่สามารถอธิบายผ่านทางโทรศัพท์ได้ จึง ไม่ได้ถามอะไรต่อ เพียงพูดเบาๆว่า “ เธอส่งที่อยู่มาให้ฉัน แล้วอีกเดี๋ยวฉันจะเข้าไปดูให้ ! ”

 

อู่ฮียฮุยได้ยินคําตอบของผม เธอจึงพูดขอบคุณรัวๆ บอกว่าอีกเดี๋ยวจะส่งที่อยู่มาให้ผมในแชท

 

หลังจากพูดจบ ผมก็กดวางสาย

 

เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ บอกอาจารย์ ว่าจะออกไปข้างนอก

 

อาจารย์ถามผมว่าจะไปที่ไหน ผมเองก็ไม่ปิดบัง บอกว่ามี เพื่อนคนหนึ่งเจอปัญหานิดหน่อย บอกให้ผมช่วยเข้าไปดูให้หน่อย

 

อาจารย์หลี่ตาลง แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร

 

บอกแค่ว่าจะทําอะไรก็ระวังให้ดี ถ้าจัดการไม่ได้ก็โทรมาหาเขา

 

ผมพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น หลังจากนั้นก็หยิบ สัมภาระเดินออกไปจากร้าน

 

เมื่อเดินมาถึงถนนหมายเลข 10 ผมก็คิดว่าจะไปเรียกเพิ่งเฉวหานให้มาด้วยกันดีไหม

 

เพราะเขามีประสบการณ์มากกว่าผม เวลาเจอปัญหาจะ ได้มีคนให้คําปรึกษา

 

แต่เมื่อคิดว่าเขาต้องดูแลท่านนักพรตต์ ผมก็ลบความคิดนั้นออกไปทันที

 

เมื่อมองดูปฏิทิน พบว่าวันนี้เป็นวันเสาร์พอดี ผมจึงโทรศัพท์หาหยางเฉ่ว

 

ปกติหยางเฉ่วเม้าท์มอยเรื่องดาราเก่งมาก และตัวเธอยัง มีวิชาอาคมที่เก่งกาจ

 

ถ้าให้หยางเฉ่วไป “ เยี่ยมชม ” กองถ่ายกับผม เธอจะต้องเต็มใจอย่างแน่นอน

 

โทรศัพท์ถูกรับอย่างรวดเร็ว แต่ผมยังไม่ทันพูด หยาง เฉ่วก็รีบพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่สดใส “ เป็นอะไรเจอปัญหา เหรอ อยากให้ฉันไปช่วยเหรอ”

 

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา 

“ ฉันจะ ไม่พูดอ้อมค้อม เธอรู้จักอู่ฮียฮุยใช่ไหม ! ”

 

เมื่อหยางเนิ่วได้ยินคําว่าอู่ฮุยฮุย เธอก็ตื่นตัวทันที “ ฮ่ยเอ้อ แน่นอน ฉันเคยดูละครออนไลน์ของเธอ ถึงจะเล่นเป็น สาวใช้ แต่การแสดงของเธอ เยี่ยมโครตๆ !”

 

“ ฮฮฮี วันนี้ที่โทรหาเธอเพราะ เรื่องของเขานั่นแหละ !”

 

“ ฮะฮุยเอ๋อเป็นอะไรเหรอ”

 

ผมไม่พูดไร้สาระ ขณะเดินไปที่ท่ารถก็เล่าเรื่องที่กองถ่าย ของอู่ฮียฮุยมีคนตาย และพวกเธออาจเจอกับสิ่งชั่วร้ายให้ หยางเฉ่วฟัง

 

เมื่อหยางเฉ่วฟังจบ ก็ไม่คิดอะไรมาก เธอตอบตกลงทันที และยังบอกว่าให้ไปรอเธอที่ขนส่ง

 

หลังจากนั้นชั่วโมงกว่าๆ ผมก็มาถึงตัวเมือง

 

หยางเฉ่วอยู่ใกล้มาก เธอจึงมาถึงนานแล้ว

 

ผมเพิ่งลงรถ ก็ได้ยินหยางเฉ่วเรียกผมอยู่ไม่ไกล

 

เมื่อหันไปมอง ก็เห็นหยางเย่วยังเร้าร้อนและเซ็กซี่ วันนี้ เธอมัดผมหางม้า 

ท่าทางดูสดชื่นสุดๆ

 

เธอใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนรัดรูป ทําให้รูปร่างที่สมบูรณ์แบบของเธอถูกเผยออกมา

สู่สายตาของผู้คน

 

แม้แต่คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง เธอหลายครั้ง

 

ผมคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปทันที “ มานานรึยัง ?

 

“ เพิ่งเดี๋ยวเดียวเอง ! กองถ่ายของฮียเอ๋ออยู่ที่ไหน พวก 

เราต้องใช้เวลาเดินทางกี่นาที ”

 

หยางเฉิวเปิดประเด็นทันที ตอนอยู่บนรถผมได้รับที่อยู่มา แล้ว มันเป็นสถานที่ที่เรียกว่าป่าเมเปิลแดงตั้งอยู่ในเขตชาน เมือง น่าจะใช้เวลาเดินทางชั่วโมงกว่าๆ

 

ผมพูดให้หยางเฉ่วฟังสั้นๆ พวกเราก็ไม่รอช้า รีบเรียก รถแท็กซี่คันหนึ่ง จากนั้นก็ตรงไปที่ป่าเมเปิลแดงทันที

 

หลังจากที่พวกเรามาถึงสถานที่ถึงได้รู้ว่า สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยต้นเมเปิล

 

เพราะอากาศกําลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ในป่าเมเปิลจึงกลายเป็นสีเหลืองหรือสีแดง เมื่อมองออกไป ก็จะกลายเป็นภาพวิวสีเหลือแดง ที่งดงามจนผมแทบละสายตาไม่ได้…

 

แม้วิวทิวทัศน์จะงดงามเพียงใด แต่เมื่อพวกเราลงรถมาเจออู่ฮียฮุย 

สีหน้าของเธอกลับหดหู

 

นอกจากนี้ ผมและหยางเฉ่วยังต้องประหลาดใจ

 

เพราะอู่ชุ่ยฮุยและคนในกองถ่ายทั้งหมด ทุกคนต่างมีสีหน้าหมองคล้ํา มีพลังหยินครอบคุ้มไปทั่วทั้งตัว

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset