ศพ – ตอนที่ 193 อุบัติเหตุ

ตอนที่ 193 อุบัติเหตุ

 

ผู้กํากับจางผู้เย่อหยิ่ง ทําให้ผมอารมณ์เสียนิดหน่อย 

 

แต่พวกเราเดินทางมาไกลขนาดนี้ ก็เพื่อจัดการเรื่องนี้และสถานการณ์ของฝั่งนี้ ยังเป็นหน้านี้ของคนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเรา

 

เมื่อเห็นอู่ฮุ่ยฮุ่ยขอร้อง ผมก็ไม่ทําให้พวกเขาลําบากใจ

 

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดว่า “ ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นพวกคุณก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ผมฟังหน่อย ! ”

 

ขณะที่พูด ผมก็ไม่เกรงใจ นั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ ต่อหน้าทีมงานทุกคนในกองถ่าย

 

แต่เมื่อทุกคนเห็นแบบนั้น กลับไม่ตอบสนองอะไรทั้งสิ้น

 

ผู้กํากับจางและอู่ฮุ่ยฮุ่ยเข้ามาใกล้ๆ ขณะเดียวกันผมก็ได้ยินผู้กํากับจางพูดว่า “ ท่านนักพรตติงช่วงครึ่งเดือนนี้พวก เรามาที่นี่… ”

 

หลังจากนั้น ผู้กํากับจาง อู่ฮุ่ยฮุ่ยและทุกคนในกองถ่าย ต่างเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครึ่งเดือนนี้ให้ฟัง

 

เรื่องราวก็เป็นแบบนี้ ในระยะเวลา 20 วัน ตามบทละครผู้กํากับจางคนนี้ได้อธิบายว่า เขาหาสถานที่ถ่ายทําหรือคฤหาสน์ที่อยู่ตรงหน้าของพวกเราเจอ

 

ทําไมถึงเป็นที่นี่ นั้นก็เพราะในคฤหาสน์นี้มีทุกสิ่งที่เขาต้องการ และค่าเช่าก็ถูกมาก

 

พวกเขาแค่มาถ่ายหนังลงสื่อออนไลน์เล็กๆเรื่องหนึ่ง ไม่สามารถทําอะไรตามใจชอบได้เหมือนละครระดับพันล้าน

 

ดังนั้นเขาจึงใช้คฤหาสน์ที่ไม่เลวนี้ในการถ่ายหนัง ทีมงานก็คิดว่าจะทําเงินได้อย่างมหาศาล

 

พวกเขาจึงรับงาน และพากันมาถึงที่นี่

 

เพราะข้อจํากัดของต้นทุน ทําให้ทีมงานทั้งหมดมีเพียง 20 กว่าชีวิต

 

มีหลายครั้งที่คนๆเดียวต้องแสดงเป็นหลายบทบาท แม้แต่ผู้กํากับคนควบคุมไฟและคนอื่นๆ บางครั้งก็ต้องเข้าไปแสดงในหนังด้วย

 

เดิมที่ทีมงานทุกคนต่างจับมือกันไว้แน่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทุกคนต่างอยากทําหนังเรื่องนี้ให้ออกมาดีที่สุด

 

แต่หลังจากที่พวกเขามาถึงคฤหาสน์หลังนี้ กลับมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้น

 

ช่วงสองสามวันแรกยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น กิน ดื่ม นอน และ ถ่ายหนังต่างอยู่ที่นี่ทั้งหมด

 

แต่เมื่อถึงวันที่ 4 เหตุการณ์แปลกๆก็เกิดขึ้น

 

ทุกคืนเมื่อถึงเวลานอนหลับ พวกเขาจะได้ยินเสียงลึกลับบางอย่าง บางครั้งก็เป็นเสียงฝีเท้า บางครั้งก็เป็นเสียงเล็บขูดประตู หรือแม้แต่เสียงเด็กร้องไห้ก็ยังมี

 

ตอนแรกทุกคนไม่ได้สนใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า สถานการณ์กลับไม่ดีขึ้น กลับกันเหตุการณ์ยิ่งดูแย่ลงเรื่อยๆ

 

มีอยู่คืนหนึ่ง คนดูแลอุปกรณ์ประกอบฉากคนหนึ่งดันหิวขึ้นมากลางดึก เขาลุกออกไปหามาม่ากินที่ห้องรับแขก

 

ผลลัพธ์เมื่อมาถึงห้องรับแขก เขากลับเห็นใครบางคนกําลังแขวนคออยู่ ใครคนนั้นใส่ชุดสีขาว แขวนคออยู่บนโคมไฟระย้า ห้อยต่องแต่งไปมาตลอดเวลา

 

คนดูแลอุปกรณ์ประกอบฉากคนนั้นตกใจ จึงกรีดร้องออกมาทันที

 

ผลลัพธ์หลังจากทุกคนออกมาดู กลับพบว่าในห้องรับแขกไม่มีอะไรผิดปกติเลยสักอย่าง

 

แต่คนดูแลอุปกรณ์ประกอบฉากคนนั้นกลับมั่นใจ ว่าตัวเองเห็นมีคนใส่ชุดขาวกําลังแขวนคอตายอยู่ในห้องรับแขกจริงๆ

 

เพราะไม่เห็นอะไร ดังนั้นเรื่องนี้จึงจบลง

 

แต่หลังจากนั้น คนดูแลอุปกรณ์ประกอบฉากคนนั้นกลับ ดูหดหู่มาก

 

ในทุกๆวันเขาหงอยเหงาไม่มีชีวิตชีวา ตอนกินข้าวก็อยากนอนหลับ มักทํางานผิดพลาดบ่อยๆ

 

ไม่ใช่แค่นั้น เมื่อ 10 วันก่อนตอนที่เขากําลังเดินลงบันได จู่ๆเขาก็เดินพลาดจนตกลงมาด้านล่าง

 

ตอนตกลงมามันไม่ใช่ฉากสําคัญสิ่งที่สํา คัญก็คือหัวของเขากระแทกเข้ากับมุมโต๊ะรับแขก

 

วินาทีนั้นเขาสลบไปทันที เลือดไหลไม่หยุด แม้จะถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาล แต่มันก็ไม่สามารถช่วยชีวิตคนดูแลอุปกรณ์ประกอบฉากคนนั้นได้..

 

สําหรับทีมงานเรื่องนี้ มันส่งผลกระทบต่อจิตใจไม่น้อย เพราะมีคนตายแล้วจริงๆ

 

แต่นี่เป็นอุบัติเหตุ ทุกคนต่างเห็นเหตุการณ์ เป็นเพราะคนดูแลอุปกรณ์ประกอบฉากคนนั้นไม่ระวังเดินพลาดตกบันไดเอง และสุดท้ายก็ชนเข้ากับมุมโต๊ะรับแขกอย่าง แรง

 

กองถ่ายหยุดถ่ายทําไปสองวัน หลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มกลับมาถ่ายต่อ

 

แต่หลังจากเริ่มถ่ายทํา กลับไม่ได้รับความสงบสุขตามที่ต้องการ

 

ทุกๆคืน ในคฤหาสน์จะมีเสียง “ การเคลื่อนไหวต่างๆ ” ดังขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ

 

บางคนต้องตื่นจากความฝัน แล้วบอกว่าตัวเองถูกคนอื่นลูบตัว

 

บางคนก็เดินละเมอ วิ่งไปที่ห้องของคนอื่น

 

แต่สิ่งที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือ ทีมงานจํานวนมาก กลับนอนหลับสนิท แต่เมื่อตื่นมาวันรุ่งขึ้น พวกเขากลับพบว่าจู่ๆตัวเองก็มานอนอยู่บนพื้น และพวกเขายังไม่รู้ตัวเลยสักนิด….

 

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ในเวลาเดียวกันก็หันไปมองคฤหาสน์

 

ดังคํากล่าวที่ว่า การแบกคนขึ้นโต๊ะ เป็นฝีมือของคนชั่ว ส่วนการแบกคนลงจากเตียง เป็นฝีมือของผีชั่ว

 

คนเหล่านี้ถูกย้ายออกจากเตียงโดยไม่มีเหตุผล นี่ไม่ใช่ เรื่องที่ดีอะไร

 

แต่ผมไม่ได้พูดอะไร เพียงนั่งฟังต่อไป

 

ผู้กํากับจางเล่าต่อ “ ทีมงานทุกคนไม่มีกะจิตใจทํางาน พวกเขาต่างหวาดกลัว แต่นี่มันยังไม่เท่าไหร่ สิ่งสําคัญคือ เมื่อสองวันก่อน หนึ่งในทีมงานของพวกเราตายไปอีกคนแล้วครับ…”

 

“ เขาตายยังไง” จู่ๆหยางเนิ่วก็พูดออกมา

 

ผู้กํากับจางแสดงสีหน้ามืดมน เขาถอนหายใจออกมา “ เขาก็ตกบันไดตาย ! และสถานที่ที่ตกลงมาตายและบาดแผลที่เกิดขึ้น ยังเหมือนกับที่คนดูแลอุปกรณ์ประกอบฉากเป๊ะ ! ”

 

“ เหมือนกันเลยเหรอ ”

 

“ จริงๆครับ หัวของทั้งสองคนต่างลงมากระแทกที่มุมโต๊ะด้านซ้าย และ และพวกเขายังนอนห้องเดียวกัน ท่านนักพรตติ้งคุณลอง ลองไปดูหน่อยนะว่ามันมีปัญหาจริงๆรึเปล่า…” ผู้กํากับจางถามด้วยความไม่มั่นใจ

 

แต่ทีมงานที่อยู่ข้างๆ กลับแสดงท่าทางหวาดกลัว พวกเขาอกสั่นขวัญแขวนไปหมดแล้ว

 

ผมเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ งั้นครั้งนี้พวกคุณก็ เห็นเขาตกบันไดลงมาใช่ไหม”

 

“ ใช่ ! ตอนนั้นฉันกับเสี่ยวเฉิน เสี่ยวหลงก็เห็นทั้งหมด ! ” คนพูดเป็นผู้หญิงวัยกลางคนเธอเป็นช่างแต่งหน้าประจํากองถ่าย

 

“ ใช่ ! ผมกับเสี่ยวหลงก็เห็น ! ตอนนั้นพี่เหมาบอกว่าง่วงมาก เขากําลังขึ้นไปนอนชั้นบน แต่เขาเพิ่งขึ้นไปถึงบันไดขั้นสุดท้าย ทันใดนั้นเท้าของเขาก็หยุดกลางอากาศ แล้วสุดท้ายก็ตกลงมา !” นักแสดงหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น

 

“ เออใช่แล้ว ! เป็นแบบนี้ ในคฤหาสน์ยังมีกล้องวงจรปิดด้วย ! ฉันจะไปเอามาให้ท่านนักพรตดู ” นักแสดงอีกคนพูดขึ้นมา หลังจากนั้นก็วิ่งไปทางคฤหาสน์ ผ่านไปไม่นานเขาก็ถือ USB ออกมาหนึ่งอัน

 

ผมและหยางเฉ่วยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงไม่รีบด่วนสรุปหรือตัดสินใจทําอะไรทั้งสิ้นพวกเราอยากดูเหตุการณ์ ในกล้องวงจรปิดก่อน

 

ผ่านไปแค่แป๊บเดียว พวกเราก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกําลังหาวอยู่จริงๆ หลังจากที่เขาคุยกับนักแสดงสองสามคนเสร็จ เขาก็เดินขึ้นไปชั้นบน

 

ผลลัพธ์ตอนที่เขากําลังขึ้นไปถึงชั้นบน ทันใดนั้นร่างกายของเขากลับเสียสมดุลล้มลงไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว ราวกับถูกใครผลัก เมื่อเขากลิ้งลงมาถึงข้างล่าง ท้ายที่สุดก็ชนเข้ากับโต๊ะรับแขกอย่างแรง

 

จากวิดิโอ พวกเราไม่ได้สงสัยอะไรทั้งสิ้น และมองไม่เห็น สาเหตุอื่นเลย

 

นี่ก็คือสาเหตุว่า ทําไมถึงเกิดการตายทั้งสองครั้งขึ้น สถานที่แห่งนี้ยังไม่ถูกปิด และเป็นสถานที่ให้ถ่ายหนังต่อไป

 

เพราะมีวิดิโอเป็นหลักฐาน นี่จึงกลายเป็นอุบัติเหตุอีก เรื่องหนึ่ง ไม่ถือเป็นคดีอาญา

 

แต่เรื่องแบบนี้กลับเกิดขึ้นซ้ำสอง จึงทําให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว ทีมงานทุกคนรู้สึกไม่สบายใจและหวาดระแวงตลอดเวลา

 

หลังจากดูวิดิโอเสร็จ ผมและหยางเนิ่วก็ค่อยๆลุกขึ้น

 

หลังจากหันมามองหน้ากัน ทุกคนก็ได้ยินเสียงผมพูดกับผู้กํากับจางและอู่ฮุ่ยฮุ่ยว่า “ ตอนนี้พวกเราจะเข้าไปดูข้างใน พวกคุณรอผมอยู่ข้างนอก ! ”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็ไม่รอให้พวกเขาตอบกลับ ผมและหยางเจ๋วเดินตรงเข้าไปในคฤหาสน์ทันที

 

พวกเราเพิ่งเข้ามาในคฤหาสน์ ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่หนาวเย็น เหมือนอุณหภูมิจะลดลงมาหลายองศา

 

พวกเรามองสํารวจรอบๆ พบว่าการตกแต่งของคฤหาส นหลังนี้ไม่เลวเลยจริงๆ การตกแต่งสไตล์ยุโรป เฟอร์นิเจอร์ และทุกอย่างเป็นของใหม่กว่า 80% ดูเหมือนกับบ้านคนที่ ไม่มีใครอยู่มานาน

 

ขณะที่ผมกําลังสํารวจรอบๆ หยางเนิ่วที่อยู่ข้างๆกลับจ้องที่บันไดชั้นสองแล้วพูดว่า “ นายพูดถูก บ้านหลังนี้เป็นบ้านผี แต่เจ้าของบ้านนี้ น่าจะไม่อยากต้อนรับพวกเราเท่าไหร่ ”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset