ศพ – ตอนที่ 2 พื้นดินอันชั่วร้าย

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกกลัว ดูเหมือนตัวเองจะแหย่ผีเมียเล่นๆไม่ได้ซะแล้ว

ไม่เพียงไม่สามารถนินทาเธอได้ แถมเธอยังรังเกียจเพื่อนผู้หญิงของผมเป็นพิเศษอีก

เมื่อคิดถึงชีวิตหลังจากนี้ของตัวเอง ว่าจะต้องอยู่ร่วมกับกลุ่มพวกผู้ชาย ผมก็รู้สึกว่าทางข้างหน้ามันมืดมนทันที

แต่มันก็ยังมีโชคดีอยู่ในนั้นก็คือ ผมยังมีชีวิตอยู่ และไม่กลายเป็นเหมือนหลี่เหล่าซาน ที่ถูกผีร้ายกดน้ำจนตายในโอ่ง

หลังจากนั่งอยู่นอกห้องสักพัก อาจารย์ก็เดินออกมาจากในห้อง เมื่อเห็นผมตื่นแล้ว เขาเลยบอกให้ผมไปเตรียมตัว บอกว่าอีกเดี๋ยวจะออกไปป่าช้าเพื่อขุดหลุมศพของสองสามีภรรยาชาวประมง

 

ผมจึงตอบรับ “อือ” และไม่ได้บอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมเมื่อคืนนี้

จากนั้นผมก็มองหาพลั่วและอุปกรณ์อื่นๆ หลังจากที่อาจารย์ซักผ้าเสร็จ เขาก็พาผมเดินออกจากบ้านไปทันที

ความหมายของอาจารย์คือ เรื่องแบบนี้ต้องทำให้เสร็จโดยเร็ว ถ้ามืดแล้วอาจมีเหตุอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้

สามีภรรยาชาวประมงคู่นี้เป็นคนในตำบล ผู้ชายชื่อหลี่กวางตี้ ส่วนผู้หญิงชื่อหวางกุ้ยฮัว

หลังจากเข้ามายังสุสาน ครอบครัวของพวกเขาได้นำเถ้ากระดูกไปฝังไว้บนด้านหลังเนินเขา

ครอบครัวของสองสามีภรรยา คิดว่าพวกเขาฆ่ามังกรตาย ทำให้เทพมังกรน้ำโกรธ ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับกรรมของตัวเอง

 

หลังจากที่พวกเขาตายจึงไม่ได้มีพิธีฝังศพใหญ่โตอะไร ครอบครัวของเขาก็ฝังกันแบบลวกๆเท่านั้น

เมื่อพวกเรามาถึงหลุมศพของพวกเขา ก็พบว่าสภาพของมันเละเทะมาก

เพราะหลุมศพของทั้งสองคน เป็นเพียงแค่เนินดินลูกเดียว และด้านบนมีแค่แผ่นหินปิดทับไว้เท่านั้น

แม้แต่ลักษณะที่บ่งบอกถึงหลุมศพยังไม่มี มีเพียงแผ่นไม้แผ่นหนึ่ง ที่ด้านบนเขียนชื่อของทั้งสองคนเอาไว้ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นหลุมศพร่วมกัน

เมื่ออาจารย์เห็นสภาพเช่นนี้ เขาก็ขมวดคิ้วทันที ในปากยังตะโกนด่าออกมา “แม่…ซิ ถึงว่าทำไมผีชาวประมงสองสามีภรรยานั้นถึงได้มีพลังเยอะถึงขนาดนั้น ที่แท้มันก็เพราะแบบนี้นี่เอง!”

 

“อาจารย์ หมายความว่ายังไงครับ” ผมพูดออกมาด้วยความสงสัย

“นี่มันไม่ใช่ที่ที่ดีตามฮวงจุ้ย   แต่มันเป็นตำแหน่งแห่งการฆ่าฟันชัดๆ!”

“หรือว่าข้างในนี้จะมีปัญหาอะไรเหรอครับ” ผมยังคงถามต่อ

อาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “มันไม่ใช่แบบนั้น ที่นี่เป็นจุดฝังศพของคนตระกูลหลี่ แต่เห็นได้ชัดว่าเขากำลังแช่งให้ตาย! แกลองดูตำแหน่งของหลุมศพนี้ซิ ด้านหน้าไม่มีสายน้ำ ด้านหลังไม่มีสิ่งเกื้อหนุน ซ้ายขวามีลมพัดผ่าน บนล่างขัดกับพลังชี่(พลังจักรวาลที่อยู่รอบๆ ตัวเรา) ไม่มีคุณสมบัติตามหลักพลังชี่ มันไม่เหมาะเป็นที่ตั้งของหลุมฝังศพเลยสักนิด ”

 

“และสิ่งที่น่าโมโหที่สุดคือ แกลองดูต้นโอ๊ตต้นใหญ่ที่อยู่ข้างหลุมซิ ข้างต้นไม้ชนิดนี้สามารถฝังศพได้ที่ไหนกัน มันจะทำให้ผีร้ายออกมาจากพื้นดินอันชั่วร้าย เดิมทีผีสองสามีภรรยานี้ก็จมน้ำตาย เป็นการตายโหงอยู่แล้ว พลังชั่วร้ายก็แรงมาก การฝังศพยังฝังแบบลวกๆอีก มันก็ยิ่งเพิ่มพลังชั่วร้ายเข้าไปใหญ่ ไม่น่าแปกใจเลยที่ทำไมผีร้ายสองตนนี้ถึงได้ต่อกรด้วยยากนัก”

อาจารย์พูดไฟแลบ ในฐานะที่เคยเป็นนักบวช เมื่ออาจารย์เห็นตำแหน่งเช่นนี้ เขาจึงโกรธมาก

นี่มันไม่ใช่แค่การฝังคน แต่เป็นการทำร้ายคน

ไม่เพียงเป็นอันตรายต่อคนตาย มันยังอันตรายกับคนบริสุทธิ์ด้วย

 

มันชัดเจนมาก การที่ผมและหลี่เหล่าซานออกไปเก็บศพสองคนนี้ ดังนั้นเลยกลายเป็นเหยื่อของพวกเขาโดยปริยาย

“อาจารย์ แล้วตอนนี้ควรทำยังไงครับ ย้ายหลุมศพให้เขาเหรอครับ” ผมถามอาจารย์

แต่อาจารย์กลับถอนหายใจออกมา “ตอนนี้มันไม่ทันแล้ว ทำได้แค่ปรับแต่งเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ไป ต้องตัดต้นโอ๊ตนั้นออกก่อน ต้นไม้นี้จะอยู่ต่อไปไม่ได้!”

เมื่ออาจารย์พูดเช่นนี้ ผมก็ไม่กล้าอืดอาดอีกต่อไป

หยิบเครื่องมือ “มีดฝ่าศพ” ออกมาจากกระเป๋า มันเป็นเครื่องมือพิเศษในสายงานของพวกเรา รูปร่างคล้ายกับมีดแต่ส่วนปลายคล้ายตะขอ ด้านบนยังมีดาวเจ็ดดวงสลักเอาไว้

 

ต้นโอ๊ตต้นนั้นมีขนาดใหญ่กว่าขามนุษย์ มันแตกพุ่มใบหนา และมีสีเขียวขจี

ในเวลานี้ผมกำลังฟันมีดลงไปที่ต้น ก็มีเสียงดัง “ปัก” ใบไม้สีเขียวสดร่วงหล่นมาตามแรงกระแทก

แต่สิ่งที่ทำให้ผมและอาจารย์คิดไม่ถึงคือ หลังจากผมฟัดมีดลงไป ตรงรอยตัดของต้นโอ๊ต กลับมีน้ำสีแดง ไหลออกมาตามรอยนั้น

เมื่อเห็นภาพแบบนี้ “พรึบ” หน้าผมก็ถอดสี รู้สึกเสียวซ่านที่หนังหัวทันที

ผมเดินถอยไปหนึ่งก้าวพร้อมสีหน้าที่หวาดกลัว “อา อาจารย์ เลือด เลือด เลือดไหลออกมาจากต้นโอ๊ต!”

สีหน้าของอาจารย์มืดมนลงทันที “แม่…ซิ นี่พึ่งผ่านไปไม่กี่วัน ผีร้ายสองตนนั้นก็เข้าสิงสถิตในต้นโอ๊ตแล้วเหรอ อย่าไปสนใจมัน ฟัดต่อไป นี่ยังกลางวันแสกๆ ฉันไม่เชื่อว่ามันจะเล่นลูกไม้อะไรได้!”

 

เมื่ออาจารย์พูดแบบนี้ ผมก็ทำได้เพียงตัดมันพร้อมอาการเสียวต่อไป

แม้ว่าต้นโอ๊ตจะมีน้ำสีแดงไหลออกมา และลักษณะคล้ายกับเลือด แต่กลับไม่มีกลิ่นคาวของเลือด

และน้ำที่ไหลออกมาก็ไม่ได้มีมากอย่างที่คิด มันมีสีแดงเล็กน้อยที่บริเวณใบมีดเท่านั้น

ท้ายที่สุดก็มีเสียงดัง “โครม” ต้นโอ๊ตล้มลงไปกับพื้นตรงๆ

อาจารย์ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาหยิบเหมินติง( แท่งทองเหลืองที่มักตรึงไว้เป็นแถวตลอดบานประตูทั้งซ้ายขวา)ขึ้นมา จากนั้นก็ตอกมันลงไปบนตอไม้

 

อาจารย์บอกว่า การทำแบบนี้สามารถทำให้ต้นโอ๊ตตายอย่างสมบูรณ์ ยับยั้งไม่ให้มันกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง

เมื่อทำเรื่องพวกนี้เสร็จ ผมและอาจารย์ก็หยิบพลั่วขึ้นมาแล้วเริ่มขุดหลุมศพต่อ

มันเป็นหลุมที่ถูกฝังเอาไว้แค่ตื้นๆ ดังนั้นหลังจากผ่านไปไม่นานหลุมก็ถูกเปิดออก

แต่ขณะที่พวกเรากำลังขุดลงไปถึงก้นหลุม ทันใดนั้นกลับขุดเจอถังพลาสติกใบหนึ่ง

ด้านบนของถังพลาสติก ยังมีฝาปิดที่มิดชิด ด้านนอกถูกแลปด้วยแผ่นพลาสติกใส สภาพปิดไว้อย่างแน่นหนามาก

ผมและอาจารย์ต่างแปลกใจ ที่นี่ควรมีเถ้ากระดูกไม่ใช่เหรอ ทำไมตระกูลหลี่ถึงฝังถังพลาสติกไว้ล่ะ

 

ในใจเกิดความสงสัย อาจารย์เริ่มใช้มือแกะแผ่นพลาสติกใสออก ขณะที่กำลังจะเปิดดูของข้างใน

กลับพบว่า ฝาของถังพลาสติกใบนี้ ถูกปิดผนึกไว้ด้วยขี้ผึ้ง

อาจารย์ไม่พูดอะไร เขาแค่ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม เหมือนกับคิดอะไรได้บางอย่าง

ต่อมาอาจารย์ก็ทำลายขี้ผึ้ง และในที่สุดก็สามารถเปิดฝาถังได้

แต่วินาทีที่เปิดฝาออก กลับมีกลิ่นเน่าเหม็น ฟุ้งกระจายออกมาจากด้านใน

กลิ่นเน่าเหม็นนี้รุนแรงมาก จนทำให้คนถึงกับรู้สึกคลื่นไส้ไปตามๆกัน

 

ผมถึงกับต้องเอามือปิดจมูกเอาไว้ จากนั้นก็พูดด้วยความตกตะลึง “ในนี้มันมีอะไรกันเนี่ย ทำไมถึงได้เหม็นขนาดนี้!”

เนื่องจากรู้ว่าศพของทั้งสองคนถูกเผา จนเหลือแต่เถ้ากระดูก แต่เถ้ากระดูกจะมีกลิ่นเน่าเหม็นแบบนี้ได้ยังไงกันล่ะ

แต่ขณะที่อาจารย์อยู่ในหลุมศพ กลับดูเหมือนเขาไม่ได้กลิ่นเน่าเหม็น กลับจ้องไปที่น้ำในถัง และพูดออกมาด้วยเสียงขนหัวลุก “แม่งเอ้ย มีของแปลกๆนั้นอยู่จริงๆ……”

 

“แปลกๆ อะไรแปลกเหรอครับอาจารย์” ผมไม่เข้าใจ ในเวลาเดียวกันผมก็เดินเข้าไปใกล้ๆ

และเมื่อเห็นสิ่งนั้น มันทำให้ร่างกายของผมแข็งทื่อไปเลยทันที

เพราะของที่อยู่ในถังพลาสติก คือน้ำสีดำที่เหม็นหืน

ด้านในยังมีซากหนูงูเน่าอยู่ด้วย ส่วนกลิ่นเหม็นนั้นก็มาจากของพวกนี้นี่แหละ!

นี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน

ข้อห้ามที่สุดในหลุมฝังศพก็คืองูและหนู บริเวณหลุมศพมากมายในสุสาน จะโรยเกลือไว้บริเวณหลุมศพของผู้ตาย จนพื้นดินรอบๆเปลี่ยนเป็นดินเค็ม ในเวลาเดียวกันยังโรยผงหรดาล เพื่อเป็นการขับไล่สัตว์ทั้งสองชนิดนี้

 

หลุมฝังศพของชาวประมงคู่นี้ดีจริงๆ มีคนตั้งใจฝังทั้งหนูและงูไว้ด้วยกัน ในเวลาเดียวกันยังใส่น้ำและปิดผนึกด้วยขี้ผึ้ง

นี่มันต้องเกลียดกันมากขนาดไหน ถึงต้องสาปแช่งกันแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าคนๆนั้นไม่อยากให้ผู้ตายไปสู่สุขคติ

“อาจารย์ นี่มันมีคนจงใจทำให้คู่สามีภรรยาหลี่กวางตี้ตายอย่างไม่เป็นสุขเลย!”

“ระยำ นี่มันไม่ใช่แค่ทำให้คู่สามีภรรยาหลี่กวางตี้ไม่สงบเท่านั้น ยังอยากให้คู่สามีภรรยาหลี่กวางตี้กลายมาเป็นฆาตกรด้วย!” อาจารย์พูดออกมาอย่างเย็นชา หลังจากเทน้ำในถังทิ้งสองสามครั้ง ในที่สุดพวกเราก็นำมันขึ้นมาได้

 

แต่ผมกลัวว่า ที่อาจารย์พูดไม่ได้หมายความว่ายืมมือผีฆ่าคนงั้นเหรอ วิธีแบบนี้ มัน มันจะชั่วร้ายเกินไปแล้ว

ไม่รอให้ผมพูดต่อ อาจารย์ก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ตอนนี้ดูเหมือนว่า ที่ฝังศพแห่งนี้คนนั้นคงจงใจเลือก เพื่อทำให้ชาวประมงทั้งสองคนนั้นกลายเป็นผีร้าย! ไม่เพียงแค่ต้องการทำร้ายทั้งสองตน แต่เขายังทำสิ่งแปลกๆอีกด้วย!”

“ยืมมีดฆ่าคน แล้วคนนั้นอยากฆ่าใคร” ผมถามต่อ

แต่อาจารย์กลับเงียบ ไม่ได้ตอบกลับ เขานำน้ำในถังเททิ้งให้หมด จากนั้นก็นำโกศออกมาจากในถัง

โกศป้องกันน้ำได้ ดังนั้นจึงไม่มีน้ำสกปรกทะลุเข้าไปด้านในเลย

 

หลังจากนั้น อาจารย์ก็เปิกฝาโกศออกช้าๆ

แต่วินาทีที่ฝาโกศเปิดออก ผมกลับพบว่าด้านในของโกศนั้น มีหุ่นคนตัวเล็กสีเหลืออยู่

เมื่ออาจารย์เห็นสิ่งนี้ ทันใดนั้นเขาก็เผยสีหน้าตกใจ และรีบพูดกับผมทันที “เสี่ยวฝาน รีบเปิดอีกอันเร็ว!”

ผมไม่รอช้า ใช้มือเปิดอย่างรวดเร็ว หลังจากเปิดออก ก็พบว่าด้านในมีหุ่นคนตัวเล็กสีเหลืองอยู่เช่นกัน

และบนตัวของหุ่นตัวนี้ ยังมีอักษรอยู่ด้วย

เมื่อมองดูดีๆ มันคือชื่อของผม ติงฝาน  …

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset