ศพ – ตอนที่ 20 ไล่ล่าเข้าไปในป่าลึกลับ

หลังจากอาจารย์และเหล่าฉินจากไป ภายในบ้านก็เหลือเพียงผมและเฟิงเฉ่วหาน อ่อใช่และยังมียัยผีที่วิญญาณกำลังแตกสลายอยู่ด้วย

ผมและคุณชายเย็นชาหันไปมองเธอ แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็เกิดขึ้น

ร่างวิญญาณขาดวิ่นของยัยผีร้ายนี้ กำลังพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ติง ติงฝาน ถึง ถึงตอนนี้แกจะยังไม่ตาย แต่ แต่ยัยนั้นก็ต้องฆ่าแกอยู่ดี ฆ่าแกให้ตาย!”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ วินาทีนั้นผมตกตะลึงในทันที

หมายความว่ายังไง ยัยนั้นจะฆ่าผมงั้นเหรอ แล้วยัยนั้นคือใคร

 

ขณะนั้นผมก็งงเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็พูดออกไปตรงๆ “ยัยนั้นคือใคร”

ผีผู้หญิงหัวเราะ “ฮึฮึฮึ” ออกมา ดวงตาทั้งสองข้างจับจ้องไปที่ด้านหลังของผม

ทันใดนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกเย็นวาบไปที่หลัง ไม่ใช่แค่ผมที่สงสัย แม้แต่เฟิงเฉ่วหานเองก็หันไปมองข้างหลังผมอย่างไม่รู้ตัว

แต่ด้านหลังของผมนั้นว่างเปล่า ไม่มีอะไรทั้งสิ้น

ขณะที่ผมกำลังจะถามต่อ ผีผู้หญิงตนนั้นก็จางหายไปเสียแล้ว วิญญาณของเธอค่อยๆแตกสลายหายไปจากตรงหน้า

ดั่งคำโบราณว่าไว้ ในยามใกล้ตาย คำพูดคำจาล้วนดีมาก

 

ตอนที่ผีผู้หญิงพูดประโยคสุดท้าย เธอมองมาที่ด้านหลังของผม

ทำให้ผมคิดถึงผีเมีย นอกจากเธอแล้วยังจะมีใครอีกละ

แต่มันไม่มีเหตุผล อาจารย์เคยบอกว่า เมื่อคนเป็นแต่งงานกับคนตาย แม้จะมีกฎข้อห้ามมากมาย แต่เพียงแค่ถ้าผมไม่ล้ำเส้นผมเองก็จะไม่ตาย

ในเวลาเดียวกัน พวกเรายังมีชีวิตและร่างกายเดียวกัน ถ้าตายก็ต้องตายด้วยกัน และยัยผีนั้นก็ยังต้องได้รับผลกระทบต่างๆด้วย

แต่ขณะที่วิญญาณของผีผู้หญิงตนนี้กำลังแตกสลาย คงไม่ได้อยากทำให้ผมสับสนหรอกมั้ง

ในขณะนี้ผมกำลังสับสน แต่ทันใดนั้นคุณชายเย็นชากลับพูดกับผมว่า “ดูเหมือนยัยผีนี้จะพูดเป็นนัย!”

 

เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชามาก เหมือนกับไม่มีความรู้สึกใดๆเลย

ผมยิ้มแห้งๆ แต่ก็พูดถึงเรื่องแต่งกับผีไม่ได้ “ยัยผีนี้พูดเรื่อยเปื่อย! คงอยากให้พวกเรารอโง่ๆอยู่ที่นี่น่ะ ป่ะไปหาพวกเขากัน! ไม่แน่อาจช่วยอะไรได้บ้าง!”

เมื่อคุณชายเย็นชาได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาไม่ได้รีบตอบกลับมาทันที หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เขาก็พยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “โอเค!”

เมื่อได้ยินคุณชายเย็นชาตกลง ผมสองคนก็จับดาบไม้ขึ้นและวิ่งออกจากบ้านไปทันที

แต่หลังจากที่พวกเราออกมา รอบๆตัวต่างมืดมิด มองไม่เห็นอะไรเลยสักนิด นอกจากนั้นยังไม่มีร่องรอยของนักพรตตู๋หรือคนอื่นๆเลยสักนิด

 

ขณะที่ผมกำลังยืนงุนงง  ผมไม่รู้ว่าควรไล่ตามไปทางไหนดี

ทันใดนั้นคุณชายเย็นชาก็ชี้ไปทิศทางหนึ่ง “น่าจะเป็นทางนี้!”

หลังพูดจบ เขาก็พุ่งออกไปทันที ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

ผมไม่แน่ใจว่าเขาใช้อะไรมาตัดสิน แต่สุดท้ายก็ต้องตามเขาออกไป

แต่หลังจากที่พวกเรายิ่งตรงไปข้างหน้า กลับพบว่ามันยิ่งลึกเข้าไปเรื่อยๆ

ด้านหลังของทางเส้นนี้ ล้วนมีแต่ต้นไม้สูงใหญ่ แม้ว่าผมจะเป็นเจ้าถิ่น แต่ก็มาที่นี่น้อยมาก

ขณะนี้พวกเรากำลังเดินอยู่ในป่าที่มืดมิด ผมมักรู้สึกใจหวิวๆ และทั่วทั้งร่างยังรู้สึกถึงสายลมที่หนาวเย็น

 

หลังตามมาได้ไม่นาน พวกเราก็ยังไม่เจอใครสักคน ผมจึงพูดกับคุณชายเย็นชาว่า “เฟิงเฉ่วหาน นายพามาผิดที่รึเปล่า ถ้าตรงไปข้างหน้ามันก็เป็นภูเขาที่เก่าแก่แล้วนะ”

แต่คุณชาเย็นชากลับทำสีหน้าเยือกเย็น “น่าจะไม่ผิด ทิศทางนี้พลังหยิงแรงมาก และยังมีร่องรอยที่ถูกทิ้งไว้ด้วย”

ขณะที่พูด พวกเราก็ยังเดินตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ

หลังจากที่พวกเราเดินผ่านพุ่มไม้และต้นหญ้า จู่ๆพวกเราก็เดินมาถึงลำธารเล็กๆ

เสียงกระแสน้ำที่ไหลรินดัง “จ๋อมแจ๋ม…” แต่ก็มองไม่เห็นต้นน้ำ

 

ผมสองคนจ้องมันอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่กำลังจะข้ามลำธารเล็กๆนั้น

ทันใดนั้น ที่ปลายของลำธารก็มีเสียงดังขึ้นมาเบาๆ “เสี่ยว เสี่ยวฝาน เสี่ยวฝาน……”

แม้เสียงจะไม่ดัง แต่เมื่ออยู่ในภูเขาที่เก่าแก่แห่งนี้ ผมกลับได้ยินชัดอย่างไม่น่าเชื่อ

นี่มัน นี่มันเสียงอาจารย์นิ

สีหน้าของผมเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบหันไปมอง “นี่มันเสียงอาจารย์!”

หลังจากพูดจบ ผมก็ตะโกนไปทางนั้น “อาจารย์ เป็นคุณใช่ไหม”

“ใช่ ใช่อาจารย์เอง อาจารย์บาดเจ็บ แก แกรีบมาช่วยฉันหน่อย!” เสียงค่อยๆอ่อนลงเรื่อยๆ

 

เมื่อได้ยินเสียงนี้  ทั่วทั้งตัวของผมก็ร้อนรนทันที

“อาจารย์ ผมมาแล้ว ผมมาแล้ว!” ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์ แต่ผมก็รีบวิ่งอย่างบ้าคลั่งตรงไปยังทิศทางของเสียงทันที

แม้เฟิงเฉ่วหานจะไม่พูด แต่เขาก็ตามหลังผมมา

ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงแอ่งน้ำแห่งหนึ่ง

เมื่อพวกเรามาถึงที่นี่ ก็พบว่าห่างออกไปไม่ไกลจากแอ่งน้ำ กำลังมีคนแก่นอนอยู่หนึ่งคน

เขาบาดเจ็บ ร่างกายครึ่งท่อนกำลังแช่อยู่ในน้ำ และดูเหมือนเขาจะไม่สามารถขยับท่อนล่างได้

 

เมื่อลองมองดูดีๆ ถ้าไม่ใช่อาจารย์ แล้วจะเป็นใครได้ล่ะ

สีหน้าผมก็เปลี่ยนไปในทันที  “อาจารย์!”

อาจารย์พยักหน้าเล็กน้อย หน้าตาของเขาบ่งบอกถึงความเจ็บปวดและความอ่อนแอ “เสี่ยวฝาน แก แกมาแล้วเหรอ รีบมาพยุง พยุงอาจารย์หน่อย! ผีชั่วนั้นร้ายกาจมาก ฉันเลยได้รับบาดเจ็บ!”

เมื่อผมเห็นอาจารย์ของตัวเอง วินาทีนั้นผมไม่คิดอะไรทั้งสิ้น

แม้แต่เฟิงเฉ่วหานเองก็ไม่สงสัยใดๆ เขาและผม ต่างพุ่งเข้าไปทันที เพื่อไปพยุงอาจารย์ออกมาจากน้ำ

แต่ ในช่วงระยะห่างไม่ถึง 2 เมตร ทันใดนั้นหูของผมก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงที่ฟังเหมือนเคร่งเครียดและจริงจังดังขึ้นมา  “อย่าเข้าไปเจ้าผู้ชายกาก เขาเป็นตัวปลอม!”

 

จู่ๆเสียงนี้ก็ปรากฏขึ้นในหูของผม นอกจากนั้นน้ำเสียงและสำเนียงนี้ มันยังคุ้นหูผมมาก

โดยเฉพาะ “ผู้ชายกาก” สองคำนี้ มันแทงใจผมทันที เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเสียงของผีเมียที่ไม่เคยเปิดเผยใบหน้าให้เห็น

วินาทีนั้นผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่เมื่อเสียงนี้ปรากฎขึ้น ร่างกายของผมก็หยุดในทันที

มือทั้งสองข้างยังจับตัวของคุณชายเย็นชาเอาไว้ หลังจากเฟิงเฉ่วหานถูกผมรั้งไว้ เขาก็ทำหน้าตาสงสัย

ผมหันไปมองทางซ้ายและขวาครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เห็นผีเมียที่พูดออกมา แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเลือกที่จะเชื่อเธอ

ผมมองไปยังอาจารย์ที่กำลังนอนอยู่ที่ริมน้ำ และเลือกที่จะไม่ขยับตัวสักพัก

 

ถ้าสิ่งที่ผีเมียของผมพูดถูก แล้วชายคนนี้เป็นใครกันละ สิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดคือ เขาอาจจะเป็นผีที่ถูกกดไว้ในน้ำตนนั้น  ผีชั่วที่ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ

ได้ยินมาบ่อยๆว่า ผีชั่วที่อยู่ในน้ำนั้น เพื่อที่จะหาร่างมาแทน มันต้องวางแผนขึ้นมา จากนั้นก็หลอกคนเป็นให้ลงไปในน้ำ

อย่างเช่นปลาตัวใหญ่ขึ้นมาติดฝั่ง หรือเด็กน้อยตกลงไปในน้ำบ้าง ขอแค่สามารถทำให้คนติดกับและลงไปในน้ำได้ ก็ไม่ต้องหวังเลยว่าคนเหล่านั้นจะได้กลับขึ้นมาอีกครั้ง

แม้จะไม่รู้ว่านั้นคือของจริงหรือปลอม แต่ถ้ามองจากสถานการณ์ในตอนนี้ ผมก็คงต้องระวังเอาไว้ก่อน

 

“เสี่ยว เสี่ยวฝาน แกทำอะไร! รีบมาเร็วๆซิ!” เสียงที่อ่อนแรง แต่ก็ยังแฝงไปด้วยการเร่งเล็กน้อย

ผมจ้องไปที่อาจารย์ และถามว่า “อาจารย์ ดาบเหรียญจีนที่อาจารย์พกติดตัวไปอยู่ที่ไหนแล้วครับ”

อาจารย์ส่ายหน้าเล็กน้อย “อ่อ! เมื่อกี้มันหล่นลงไปในน้ำระหว่างการต่อสู้ อย่าไปสนใจไอ้ของเล่นพันนั้น ตอนนี้รีบเข้ามาช่วยพยุงฉันก่อน! ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเจ้าผีชั่วนั้นจะกลับมาอีก”

อาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงที่รีบเร่งกว่าเดิม  แต่ผมกลับเผยสีหน้าที่เครงเครียดออกมาทันที เพราะตั้งแต่ออกจากบ้านอาจารย์ก็ไม่ได้พกดาบเหรียญนั้นมาอยู่แล้ว

ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมจึงใช้คำเลียนแบบจากอาจารย์ ด่าเจ้านั้นทันที “แม่…ซิ แกมันตัวปลอม!”

ขณะที่พูด ผมก็จับดาบไม้ในมือขึ้น

 

เมื่อเฟิงเฉ่วหานได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเองก็ตื่นตัวขึ้นเช่นกัน เขาจับดาบไม้ในมือขึ้นและพูดว่า“แน่ใจแล้วใช่ไหม”

“แน่ใจ อาจารย์ไม่ได้เอาดาบเหรียญออกมาจากบ้าน” ผมพูดออกมาตรงๆ

เสียงพึ่งขาดหายไปเท่านั้น ทันใดนั้นร่างที่ไร้เรี่ยวแรง หรืออาจารย์ปลอมที่นอนอยู่ในแอ่งน้ำ ก็ค่อยๆลุกขึ้นมาทันที

ในเวลาเดียวกันเขายังทำสีหน้าโกรธแค้น ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่น่าขนลุกออกมา “มองให้ดีๆ ฉันก็คืออาจารย์ของแก!”

 

สีหน้าของเฟิงเฉ่วหานเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ติงฝาน เจ้านี้เข้าสิงร่างของอาจารย์นาย ถึงว่าทำไมเมื่อกี้ฉันถึงมองไม่ออก! ระวังอย่าเข้าไปใกล้น้ำ เพราะเจ้านี้มันเป็นผีน้ำ”

ขณะที่พูดเฟิงเฉ่วหานก็พาผมเดินถอยหลัง ผมสูดหายใจเข้าหนึ่งครั้ง อยากจะพุ่งออกไปแทงเจ้านี้ในตาย แต่ความสามารถของตัวเองนั้นมีไม่พอ

ส่วนผีชั่วนี้ก็เดินเข้ามาหาพวกเราทีละก้าวๆ “ไหนๆก็มาแล้ว งั้นก็อย่าไปเลย แม้จะยุ่งยากไปหน่อย แต่มันก็เป็นไปตามแผน รอให้ได้ร่างธาตุน้ำไร้รากของแกมาก่อนเถอะ ฉันก็จะกลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง!”

หลังจากพูดจบ เขาก็เร่งฝีเท้าขึ้น เผยให้เห็นสีหน้าที่ตื่นเต้นแบบประหลาดๆ  เขาเล็งมาที่ผมสองคน ก่อนจะพุ่งเข้ามาทันที……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset