ศพ – ตอนที่ 204 เรื่องในอดีต

ตอนที่ 204 เรื่องในอดีต

 

ผมและหยางเฉ่วคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าผีผู้ชายในคฤหาสน์กลางป่าเขา ก็เกี่ยวข้องกับองค์กรตาผี

 

แต่ตอนที่ผมรู้มันก็สายไปแล้ว

 

ขณะที่ผีผู้ชายกลายเป็นแสง ทันใดนั้นผีผู้หญิงก็กรีดร้องออกมา “ ไม่…..”

 

เสียงดังมาก มันก้องไปทั่วคฤหาสน์ ฟังดูน่าสลดมาก

 

แต่ผมและหยางเฉ่วที่อยู่ข้างๆ กลับแสดงสีหน้าหนักใจ

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเราไปเกี่ยวข้องกับองค์กรตาผี และผมยังรู้ว่าองค์กรชั่วที่ลึกลับนี้มีอํานาจขนาดไหน

 

แต่เมื่อเข้าไปพัวพันกับองค์กรตาผี มันจะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ ไม่ใช่คนตายก็ต้องเป็นผีตาย

 

ถ้าไม่กําจัดองค์กรชั่วให้สิ้นซาก ไม่ใช่แค่ต้องเจอกับผีจํานวนมากที่ไม่สงบ ยังมีคนอีกจํานวนมากที่อาจถูกทําร้าย

 

หยางเฉ่วมองแสงที่จางหายไป พร้อมพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ คิดไม่ถึงว่าเขาจะอยู่ในองค์กรตาผี”

 

เมื่อได้ยินหยางเฉ่วพูด ผมก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “ เจ้าองค์กรนี้มีอํานาจมหาศาล ลิ้วล้อกระจายตัวอยู่ทั่ว คงระวังได้ยาก ”

 

แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหยางหยาง แต่เขากับองค์กรตาผีต้องเกี่ยวข้องกันแน่นอน

 

แต่ฟังจากที่เขาพูด เขาต้องตาย ไม่อย่างนั้นน้องของเขาก็จะไม่รอด ไม่สามารถเกิดใหม่ได้

 

แม้ในใจจะยังสงสัย ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด แต่พวกเราไม่ได้รีบถามผีผู้หญิง

 

ผมยืนสูบบุหรี่อยู่ในบ้าน หลังจากที่ผีผู้หญิงสงบลงเยอะ แล้วผมถึงได้พูดกับเธอว่า “ เธอรู้ไหมว่าพี่ของเธอไปเข้าร่วมกับองค์กรชั่ว ”

 

ผีผู้หญิงส่ายหัว “ ไม่รู้ และไม่เคยได้ยินพี่พูดถึง ! แล้วฉันก็ไม่รู้จักองค์กรชั่วอะไรนั้นด้วย”

 

“ งั้นเธอมีตาที่สามรึเปล่า ” หยางเฉ่วพูดต่อ ในเวลาเดียวกันก็ชี้ไปที่หน้าผากของตัวเอง

 

เมื่อผีผู้หญิงฟังจบ เธอก็ส่ายหัวไปมา “ ไม่มี ”

 

ในเวลาเดียวกัน ผีผู้หญิงก็แสดงท่าทางสงสัยมาก เธอถามกลับทันที “ พี่ของฉันเป็นอะไรไปเหรอ ตอนเขาวิญญาณแตกสลาย ทําไมที่หน้าผากถึงที่ลูกตาออกมาละ นั่นมันคืออะไรเหรอ”

 

เมื่อเห็นท่าทางของผีผู้หญิง พวกเราก็คิดว่าเธอคงไม่รู้เรื่องจริงๆ

 

แต่เรื่องนี้ผมกลับไม่อยากบอกให้เธอรู้มากนัก จึงอธิบายให้เธอฟังคราวๆ

 

ว่านั้นคือองค์กรชั่วองค์กรหนึ่ง ทําเรื่องชั่วช้าทําร้ายผู้คน และพี่ของเธอก็มีเครื่องหมายขององค์กรชั่ว แสดงว่าเขาก็เป็นสมาชิกในองค์กรนั้น

 

เพื่อให้แน่ใจว่าพี่ชายของเธอเข้าไปอยู่ในองค์กรชั่วได้ยังไง และหาเงื่อนงําของคนที่บ่งการอยู่ข้างหลัง

 

หลังจากนั้น ผมและหยางเนิ่วก็ถามเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตหลังความตายของเขา

 

เช่นไปเจอใครบ้าง เคยทําอะไรไหม ไปที่ไหนมารึเปล่า เป็นต้น

 

ผีผู้หญิงก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เธอตอบตามตรง 

 

บอกว่าตั้งแต่ 4 ปีที่แล้วพวกเธอได้ฆ่าตัวตาย ออกไปห่างจากคฤหาสน์น้อยมาก มากสุดก็วนเวียนอยู่ในป่ารอบๆ แต่ถ้ามีคนบุกเข้ามาในคฤหาสน์ พวกเขาก็จะทําทุกวิถีทางในการฆ่าคนพวกนั้น

 

หลังจากนั้น วิญญาณของคนพวกนั้นก็จะกลายเป็นยาบํารุงกําลังของพวกเขา เพิ่มพลังวิญญาณให้ผีทั้งสอง และใช้ในการฝึกวิชาของพวกเขาต่อไป

 

สุดท้าย วิญญาณของผีเหล่านี้ก็จะถูกพี่ของเธอเอาไปใส่ไว้ในโหลดํา

 

นอกจากเรื่องนี้แล้ว ทุกๆครึ่งปี พี่ของเธอก็จะนํามันไปใส่ไว้ในกล่องไม้จันทร์หอมหนึ่งวัน

 

ส่วนเรื่องทําไปทําไมนั้น พี่ของเธอกลับไม่เคยบอกเธอเลย

 

แต่หลังจากเอามันออกมา วิญญาณทาสผีทุกคนที่อยู่ในโหล กลับหายไปจนหมด

 

เธอเคยถามพี่ว่าเพราะอะไร แต่พี่ของเธอกลับไม่เคยตอบกลับ และไม่ยอมให้เธอถามถึงเรื่องนี้อีก

 

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ และจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของพวกเรา ดังนั้นเราจึงคิดว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับองค์กรชั่วมาสักพักหนึ่งแล้ว เพราะวิญญาณที่หายไปหรือลิ้วล้อที่คอยเก็บพลังชั่วร้ายเหล่านั้นได้ลงล็อคกันพอดี

 

จากคําพูดของผีผู้หญิง พี่ของเขาน่าจะเข้าองค์กรชั่ว ได้สักสองสามปีแล้ว หรือตอนมีชีวิตก็เข้าไปอยู่ในองค์กรตาผีแล้วกลายเป็นสมุนขององค์กรตาผีชั่ว

 

วิญญาณที่อยู่ในโหลดํา เป็นสิ่งที่ผีผู้ชายเขาจงใจเก็บ เพราะมันเป็น “ ส่วย ” ที่เขาต้องจ่ายทุกๆครึ่งปี

 

แต่เป็นเพราะมันถูกเก็บไว้ในกล่องจันทร์ทุกครั้ง ดังนั้นพวกเราจึงไม่รู้ว่าเขาติดต่อกับองค์กรตาผีชั่วได้ยังไง ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถถามอะไรต่อได้

 

นี่อาจเป็นความตั้งใจของพี่ชายเธอ เพื่อปกป้องผีผู้หญิงไม่อยากให้ผีผู้หญิงมีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรนี้

 

แม้จะไม่มีทางหาข้อมูลได้แล้ว แต่คําพูดที่มีผู้ชายพูดเอาไว้ก่อนวิญญาณแตกสลายก็ทําให้พวกเรามั่นใจ

 

แต่ผมเดาว่า เหตุผลที่ผีผู้ชายฆ่าตัวตายอาจจะเหมือนกับสัตว์เดรัจฉานอาจารย์โจวเจียนคนนั้น

 

เพราะรู้ถึงความแข็งแกร่งและไม่สามารถสั่นคลอนองค์กรตาผีชั่วได้ในเวลาเดียวกันยังไม่อยากทําให้คนในครอบครัวเดือดร้อน จึงยอมฆ่าตัวตายดีกว่าพูดถึงองค์กรตาผี

 

นี่อาจเป็นสาเหตุ ที่ผีผู้ชายอยากตายมาตั้งแต่แรก

 

แต่วิญญาณไม่อยู่แล้ว จะเดามั่วต่อไปก็ไม่มีอะไรพิสูจน์ได้

 

ผมถอมหายใจออกมา หลังจากนั้นก็พูดกับผีผู้หญิงอีกครั้ง “ใช่แล้ว ฉันยังไม่รู้เลยว่าเธอชื่ออะไร”

 

ผีผู้หญิงมองผมแวบหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ ฉันชื่อหยางเย่ว ! ”

 

ผมพยักหน้าเล็กน้อย “หยางเย่ว โหลดําที่เธอพูดถึง อยู่ที่ไหนเหรอช่วยพาพวกเราไปดูหน่อยซิ !”

 

หยางเย่วไม่ได้ลังเล เธอตอบรับ “ ได้ ” หลังจากนั้นก็พาพวกเราไปที่ห้องใต้ดิน

 

เมื่อพวกเรามาถึงห้องใต้ดิน พวกเราก็พบว่าโหลสีดําถูกวางเอาไว้ในที่มืด ด้านบนมีอักษรคําว่าผนึกเขียนเอาไว้

 

ในเวลาเดียวกัน ข้างๆโหลดํายังมีศพแห้งๆของคนสองคนนอนอยู่

 

นี่ก็คือศพของหยางหยางและหยางเย่ว ตอนนั้นพวกเขามาแอบกินยานอนหลับเพื่อฆ่าตัวตายที่นี่ ดังนั้นหลังจากตายไปวิญญาณของพวกเขาจึงสามารถสิงอยู่ที่นี่ได้ สาเหตุก็เพราะศพของพวกเขานอนอยู่ที่นี่

 

เพราะในห้องมืดๆแห่งนี้มีศพนอนตายมาหลายปี ดังนั้นกลิ่นจึงไม่ค่อยน่าสูดดมเท่าไหร่

 

พวกเราหยิบโหลดขึ้นมา จากนั้นก็รีบเดินออกจากห้องใต้ดินทันที

 

หยางเย่วบอกว่า เมื่อไม่กี่วันก่อน วิญญาณในโหลเพิ่งว่างเปล่า ดังนั้นตอนนี้ในโหล จึงมีวิญญาณแค่สองดวงนั้นก็คือทีมงานดูแลอุปกรณ์ประกอบฉากสองคนที่ตายที่นี่

 

เมื่อมาถึงห้องรับแขก ผมก็ไม่คิดมากเปิดฝาโหลออกมาทันที

 

ฝาเพิ่งเปิดออก พวกเราก็เห็นหมอกสีขาวลอยออกมาทัน

 

เสี้ยววินาทีต่อมา ร่างของคนสองคนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเรา

 

แต่ตอนที่ทั้งสองตนปรากฏตัว พวกเขากลับแสดงสีหน้าตายด้าน เหมือนกับสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว

 

เรื่องทั้งหมดเป็นแบบนี้ เพราะวิญญาณสองตนนี้ถูกพวกเขาดึงพลังวิญญาณออกมามากเกินไป และยังถูกขังอยู่ในโหลหลายวัน

 

ผมเองก็มองพวกเขาสักพัก หลังจากมั่นใจว่าใช่สองคนนั้น ผมก็ใช้ “ ถุงหอม” เก็บพวกวิญญาณของพวกเขาไว้คนละถุง ในเวลาเดียวกันก็ปิดปากถุงให้เรียบร้อย

 

เมื่อถึงวันพรุ่งนี้ ผมก็จะนําพวกเขาไปให้กับคนในกองถ่าย บอกให้พวกเขานําวิญญาณทั้งสองดวงนี้ไปไว้ที่หลุมศพของพวกเขา

 

เมื่อกลับไปอยู่ในหลุมศพ ภายในระยะเวลา 3 เดือน พวกเขาก็จะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

 

และถ้าพวกเขาคิดจะลงนรกไปเกิดใหม่หรือจะยังอยู่ที่หลุมศพต่อ ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาแล้ว

 

หลังจากเก็บวิญญาณสองดวงเสร็จ ผมก็มองดูเวลาตอนนี้ตีสี่ครึ่งแล้ว อีกเดี๋ยวฟ้าก็จะสว่างแล้ว

 

ดังนั้นผมและหยางเจิ่วจึงไม่รอช้า เพราะหลังจากเก็บวิญญาณสองดวงเสร็จก็ยังมีเรื่องที่ต้องทําต่อ

 

พวกเรากลับมาที่ห้องใต้ดินอีกครั้ง หลังจากนั้นก็นําศพของหยางหยางและหยางเย่วสองพี่น้องออกมา เพื่อส่งวิญญาณพวกเขา แต่ยังไงก็ต้องทําป้ายวิญญาณให้พวกเขาก่อน 

 

เนื้อในร่างกายของพวกเขาแห้งหมดแล้ว ร่างจึงเบามาก พวกเราหาผ้าคลุมเตียงและพลัวมาหนึ่งอัน เมื่อห่อศพของพวกเขาเสร็จก็นําไปที่ภูเขาด้านหลัง

 

หลุมศพหยางเย่วเป็นคนเลือก เธอเลือกข้างๆหินขนาดใหญ่

 

เธอบอกว่าตอนเด็กๆ เธอชอบมาเล่นที่นี่กับพี่ชาย ตอนนี้ตายแล้วก็อยากถูกฝังที่นี่

 

ผมและหยางเฉ่วกวาดสายตามองฮวงจุ้ย พบว่าแม้ที่นี่จะไม่ดีมาก แต่ก็ไม่ใช่ที่เลวร้าย ไม่มีปัญหาต่อการฝังคน

 

เมื่อเห็นฮวงจุ้ยไม่มีปัญหา หลังจากโรยกระดาษสีเหลือ เสร็จ ผมก็เริ่มใช้พลั่วขุดดินทันที

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset