ศพ – ตอนที่ 206 ค่าตอบแทน

ตอนที่ 206 ค่าตอบแทน

 

ขณะที่ผู้กํากับจางกรีดร้อง ถุงหอมที่อยู่ในมือของเขา ก็เกือบตกลงพื้นแล้ว

 

แต่ดูเหมือนตาของผมจะเร็ว ผมจึงได้เอื้อมมือไปจับเอาไว้ทัน

 

ในเวลาเดียวกันผมก็พูดกับผู้กํากับจางที่กําลังตื่นตกใจว่า “ ไม่ต้องกลัว ในร่างกายของทุกคนก็มีวิญญาณทั้งนั้น พอตายแล้วทุกคนก็จะเป็นเหมือนพวกเขา ไม่มีอะไรต้องกลัว !

 

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็ไม่สามารถทําให้ทุกคนสงบลง

 

นักแสดงหลายคนก้าวถอยไปข้างหลัง พวกเขาเริ่มออกห่างจากถุงไกลขึ้นเรื่อยๆ

 

แต่ผู้กํากับจางยังกลืนน้ำลาย จากนั้นก็พูดด้วยความหวาดกลัว “ ใน ในถุงนี้ มี มีพวก เสี่ยวหลงอยู่จริงๆเหรอครับ ”

 

ผมเงียบไปพักหนึ่ง ผมจะไปรู้ชื่อพวกเขาได้ยังไง ผมเพียงแค่แยกแยะจากรูปร่างหน้าตาของพวกเขาเท่านั้น

 

เมื่อผู้กํากับจางได้ยิน เขาก็รู้ทันทีว่าใครคือช่างไฟ ใครคือคนดูแลอุปกรณ์ประกอบฉาก

 

ในเวลาเดียวกัน ผมยังพูดกับผู้กํากับจางว่า “ วิญญาณของพวกเขาถูกขังเอาไว้ที่นี่ เมื่อคืนพวกเราได้ช่วยเขาออกมา ตอนมีชีวิตพวกเขาเป็นคนในกองถ่ายของคุณ ตอนนี้คุณช่วยพวกเขาหน่อย เอาวิญญาณของพวกเขากลับไปไว้ ในหลุมศพของตัวเอง ทําแบบนี้แล้วพวกเขาจะมีโอกาสได้กลับไปเกิดเป็นคนอีกครั้ง !”

 

ขณะที่พูด ผมก็เอื้อมมือออกไป ยื่นถุงให้เขาอีกครั้ง

 

ผู้กํากับจางค่อนข้างหวาดกลัว แต่เขาก็ยังเข้ามา จับถุงในมือของผมอย่างระมัดระวัง

 

ตอนนี้งานสุดท้ายก็เสร็จแล้ว ผมจึงไม่คิดจะอยู่ที่นี่ต่อ 

 

ผมโบกมือให้กับทุกคนทันที “ ทุกคนแสดงหนังกันดีๆ นะครับ พอหนังฉายแล้ว ผมจะรอดูตั้งแต่ตอนแรกเลย ! ”

 

หลังจากพูดจบ ผมและหยางเฉ่วก็หมุนตัว เดินออกไปจากคฤหาสน์ทันที

 

แต่พวกเราเพิ่งออกจากคฤหาสน์ได้ไม่ไกล จู่ๆอู่ฮุ่ยฮุ่ยก็วิ่งตามมา “ ติงฝาน พี่หยางเฉ่วรอก่อน…”

 

จู่ๆก็ได้ยินเสียงอู่ฮุ่ยฮุ่ยเรียกพวกเราสองคน ผมจึงสงสัยมาก รีบหันกลับไปมองทันที

 

หยางเฉ่วพูดออกมาทันที “ มีอะไรอีกเหรอ”

 

อู่ฮุ่ยฮุ่ยยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ยื่นซองให้พวกเรา “ พี่หยาง ติงฝาน นี่คือค่าตอบแทนที่กองถ่ายของพวกเราให้พวกคุณ หวังว่าพวกคุณจะรับไว้”

 

ผมกวาดสายตามองซอง มันดูหนามาก อย่างน้อยก็จะมีเงินถึงสามพันหรือห้าพันหยวน

 

ผมเงียบไปแป็บหนึ่ง แต่ก็ไม่เกรงใจ เอื้อมมือออกไปรับทันที “ โอเค ! งั้นพวกเราขอรับเอาไว้นะ !”

 

อู่ฮุ่ยฮุ่ยเห็นผมรับไป เธอจึงยิ้มและพยักหน้าให้ “ เงินไม่มากเท่าไหร่ หวังว่าพวกคุณจะไม่ถือสา ครั้งนี้ขอบคุณพวก คุณมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นกองถ่ายของพวกเราต้องถ่ายต่อไม่ได้แน่ๆ !”

 

“ ก็ไม่มีอะไรนิ ฉันทํางานนี้อยู่แล้ว ! แต่หวังว่าต่อไปเธอจะไม่หาเรื่องปวดหัวมาให้ฉันอีกนะ ! ” ผมพูดด้วยรอยยิ้ม 

 

อู่ฮุ่ยฮุ่ยเองก็หัวเราะ “ แฮะแฮะ ” เห็นได้ชัดว่าเธอดีใจมาก

 

หยางเฉ่วเองก็เข้ามาร่วมวงสนทนา “ ฮุ่ยเอ๋อ เธอแสดงเก่งมากเลย สู้ๆนะ หลังจากพยาบาลตามหาผีฉายแล้ว ฉันจะต้องดูมันให้ได้แน่ !”

 

อู่ฮุ่ยฮุ่ยเห็นหยางเฉ่วจริงจัง และเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เธอจึงขอแลกวีแชทกับหยางเฉ่ว

 

และยังบอกว่าพอถ่ายหนังพยาบาลตามหาผีเสร็จแล้ว เธอจะเชิญพวกเราไปเลี้ยงข้าวอย่างแน่นอน

 

ผมไม่ได้สนใจ เพียงยิ้มให้และบอกลาเธอเท่านั้น

 

สถานที่แห่งนี้อยู่ลึกมาก ดังนั้นหลังออกจากคฤหาสน์ หยางเฉ่วจึงเรียกรถผ่านแอปที่จีนเพิ่งเปิดตัวใหม่ ตีตี เนื่องจากมันเรียกง่ายและสะดวกสบาย

 

ตอนรอรถมาถึง ผมก็เปิดซองออก ดูว่าเป็นเงินสามพันหรือห้าพันหยวน

 

ผลลัพธ์หลังจากเปิดซอง ผมก็ต้องตกใจ ตัวแข็งที่อทันที

 

เพราะผมพบว่าในซอง เป็นเงินเหรียญ ส่วนมากเป็นเหรียญสิบ มีแบงค์ 100 หยวนเพียง 2 ใบ

 

ซองดูหนามาก หลังจากผมนับเงิน กลับพบว่าทั้งหมดมีไม่ถึง 600 หยวนด้วยซ้ำ

 

หยางเฉ่วมองเหรียญในมือของผม เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ ดูเหมือนกองถ่ายนี้จะจนมาก ”

 

ผมไม่ได้คิดมาก เห็นได้ชัดว่าเงินพวกนี้เป็นเงินที่พวกเขารวบรวมกันในตอนนั้น

 

แต่งานของพวกเรา นอกจากต้องใช้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องแล้ว ก็ไม่ได้หวังกําไรอะไร

 

ดังนั้น ผมและหยางเฉ่วจึงไม่ได้ให้ความสําคัญกับสิ่งนี้

 

แม้ว่ากองถ่ายพยาบาลตามหาผีจะไม่ให้ค่าตอบแทนกับพวกเรา พวกเราก็จะไม่ถามถึง

 

เพราะหลังจากเห็นสภาพของกองถ่ายนี้ผมก็เข้าใจทันที ว่ากองถ่ายนี้จนจริงๆ

แน่นอนว่า พวกเราก็มีช่วงเวลาที่ได้รับเงินก้อนโตจากพวกคนรวย

 

แต่เงินพวกนั้นมักจะมาจากการเจอผีที่เต็มไปด้วยปริศนา ทําแต่เรื่องผิดศีลธรรมและส่วนใหญ่มักจัดการยาก

 

แต่คนพวกนี้มีน้อย ในหนึ่งปีอาจไม่เจอเลยสักครั้งก็มี

 

ผมหยิบเงิน 300 หยวนออกมาจากกอง 600 หยวน จากนั้นก็ยื่นให้กับหยางเฉ่ว “ หยางเฉ่ว อันนี้ของเธอ ”

 

หยางเฉ่วไม่เกรงใจ เธอยื่นมือมารับมันทันที

 

ในเวลาเดียวกัน ทันใดนั้นรถบรรทุกก็มาจอดที่ด้านหน้าของพวกเรา

 

ตอนนั้นผมและหยางเฉ่วคิดว่าเขามาถามทาง ผลลัพธ์เมื่อเห็นคนขับยื่นหัวออกมา เขาก็ตะโกนใส่พวกเราว่า “ พวกนายสองคนเรียกตีติใช้ไหม !”

 

เมื่อหยางเฉ่วได้ยิน เธอก็อึ้งในทันที “ พวกเราเรียกตีตี แต่ แต่คงไม่ใช่รถของคุณหรอกมั้ง”

 

คนขับรถกลับหัวเราะอย่างอึดอัดใจ “ ใช่แล้ว รถของฉันนี้แหละ ขึ้นรถมาเลย !”

 

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ผมและหยางเฉ่วก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองหน้ากัน

 

นี่มันบ้าอะไรวะ เจ้านี้เรียกรถบรรทุกมาได้ด้วยเหรอ

 

แต่สถานที่แห่งนี้ห่างไกลผู้คน พวกเราจึงคิดว่ารถบรรทุก ก็รถบรรทุก !

 

ดังนั้นผมและหยางเฉ่วจึงเดินขึ้นรถ หลังจากขึ้นรถถึงได้รู้ว่า

 

คนขับรถเป็นคนส่งของ บางครั้งก็ขับรถบรรทุกแล้วเบื่อ เลยใช้แอฟแท็กซี่นี้ทํางานส่วนตัว

 

แต่คนขับรถพูดเก่งมาก ระหว่างทางเขาชวนพวกเราคุยสารพัด………..

.

หลังจากลงรถ ก็เป็นเวลาสิบโมงเช้าแล้ว

 

ตอนแรกผมคิดว่าจะชวนหยางเฉ่วหาอะไรกินแถวนี้ เพราะหลังจากที่เธอรับสายของผม เธอก็รีบตอบรับว่าจะมาช่วยผมทันที

 

แต่หยางเฉ่วกลับหาว บอกว่าง่วงมาก เธอจะรีบกลับไปนอนที่หอ บอกว่าติดผมไว้ก่อน

 

หลังจากพูดจบ เธอก็โบกมือให้ผม และเดินไปอีกทางด้านหนึ่ง

 

ผมมองแผ่นหลังของหยางเฉ่ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

 

นิสัยของเธอเป็นคนง่ายๆจริงๆ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

 

ในเวลานี้ผมเห็นหยางเฉ่วเดินจากไปแล้ว ผมเองก็ไม่อยากอยู่ในเมืองต่อ จึงเดินไปที่สถานีขนส่ง เพื่อนั่งรถกลับตําบลชิงฉือ

 

ระหว่างทางผมยังได้ข้อความจากอู่ฮุ่ยฮุ่ยอีกหนึ่งอัน เธอถามว่าผมถึงรึยัง และยังบอกว่ากองถ่ายของพวกเธอเริ่มถ่ายต่อแล้ว

 

ถ้าทุกอย่างออกมาราบรื่น อย่างมากก็น่าจะใช้เวลาสิบวันก็ถ่ายเสร็จแล้ว

 

ผมตอบกลับสั้นๆ ใกล้แล้ว ฉันจะรอดูหลังจากนั้นก็ส่งอีโมจิหน้ายิ้มสองตัว

หลังจากเก็บโทรศัพท์เรียบร้อย ผมก็นั่งพิงเบาะและหลับต่อ

 

เมื่อกลับมาถึงตําบล ก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว

 

ผมลากร่างที่อ่อนล้ากลับไปที่ร้าน ทันใดนั้นก็เห็นอาจารย์กําลังกินข้าวอยู่

 

อาจารย์เห็นผมกลับมา เขาก็กวาดสายตามองหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นก็พูดลากเสียงยาว “ เป็นไงบ้าง ราบรื่นดีใช่ไหม”

 

ผมวางกระเป๋าลง และย่อนก้นลงที่โซฟา “ ผมละไม่อยากจะพูดถึงเลย ไปเจอกับองค์กรตาผีชั่วอีกแล้ว !”

 

อาจารย์กําลังกินข้าวอยู่ เมื่อได้ยินคําว่า “ ตาผี ” “ พรึบ ” สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที

 

เขาวางตะเกียบลง ถามกับผมด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด “ เกิดอะไรขึ้น ทําไมถึงไปเจอพวกตาผีอีกแล้ว ”

 

ผมถอนหายใจ “ ผมก็ไม่รู้ แต่ถึงยังไงเราก็หนีจากองค์กรตาผีไม่พ้น ! ”

 

หลังจากนั้น ผมก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น และวิธีที่เราใช้จัดการเล่าให้อาจารย์ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

 

เมื่ออาจารย์ฟังจบ เขาก็พยักหน้าให้เล็กน้อย บอกว่าวิธีที่เราใช้จัดการค่อนข้างน่าพอใจ

 

แม้ผีจะชั่ว แต่ก็มีบาป ถึงจะเป็นผีร้ายก็ต้องรับกรรม

 

ช่วยได้ตนเดียวก็ต้องช่วย สามารถฆ่าได้น้อยลงหนึ่งตน ก็ถือว่าได้ทําบุญแล้ว

 

แต่ในเวลาเดียวกัน อาจารย์กลับเผยสีหน้าเศร้าใจ

 

ผมได้ยินเขาถอนหายใจ จากนั้นก็พูดกับผมว่า “ องค์กรตาผีช่วยปรากฏตัวต่อเนื่อง พวกเราเจอพวกมันติดๆกัน และยังฆ่าทาสผีของพวกมัน ทําลายคนสมรู้ร่วมคิดของพวกมันถ้าทําแบบนี้ต่อไป เราต้องถูกอีกฝ่ายบุกมาถึงถิ่นแน่ ”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset