ศพ – ตอนที่ 207 ฉลอง

ตอนที่ 207 ฉลอง

 

สิ่งที่อาจารย์กังวลในตอนนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมเคยคิดมาก่อน

แต่หลังจากกลับมาจากป่ากุ่ยหลิน ผมก็มีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับองค์กรตาผีชั่ว

 

เจ้าองค์กรตาผีชั่วมีต้นกําเนิดยาวนาน อิทธิพลกว้างขวาง

 

ถ้ามันบุกมาถึงที่จริงๆ หรือคิดจะสู้กับพวกเรา ตอนนั้นถึงพวกเราอยากซ่อนก็คงซ่อนไม่ได้ หรือพูดได้ว่าไม่มีโอกาสให้ซ่อนแล้ว

 

ดังนั้น พวกเราจึงไม่คิดเรื่องนี้มาก เพราะคิดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร

 

นอกจากท่านนักพรตต์ เหล่าฉินและคนอื่นๆ ยังมีของมู่หลงเหยียน โจวหยุนและผีที่ทรงพลังอีกจํานวนมากที่มีหนี้ แค้นกับองค์กรตาผีชั่ว

 

ถ้ารวมคนพวกนี้แล้วเรายังรักษาชีวิตไว้ไม่ได้จริงๆ ถึงผมจะตาย ผมก็ทําได้เพียงยอมรับมันเท่านั้น

 

ไม่ว่าพวกเขาจะมาด้วยวิธีไหน พวกเราก็สามารถรับมือได้ พยายามใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ รอให้พวกชั่วนั้นมาบุกแล้วเราค่อยว่ากันอีกที

 

ผมมองใบหน้าที่ค่อยข้างมืดมนของอาจารย์ จากนั้นผมก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ อาจารย์ คิดมากไปทําไม ! ถึงอีกฝ่ายบุกมา พวกเราจะกลัวงั้นเหรอ อย่างมากก็แค่สู้ตาย ”

 

อาจารย์กวาดสายตามองผม ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มออกมา “ แกคิดได้ดีนิ ก็ใช่ พวกเราครูศิษย์เลือกทางเดินนี้แล้ว นอกจากร้านนี้ พวกเราก็ไม่มีที่อยู่อื่นแล้ว ถ้าคนชั่วพวกนั้นบุกมาจริงๆ พวกเราก็ทําให้พวกมันรู้ว่า พวกเราไม่ใช่คนที่พวกมันจะมาหาเรื่องได้ง่ายๆ !”

 

ขณะที่พูด ทันใดนั้นสีหน้าของอาจารย์ก็เย็นชาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

แต่ในชั่วพริบตา ผมก็ได้ยินอาจารย์พูดกับผมว่า “ ชั่งเถอะ พวกเราไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว มากินอะไรหน่อย ตอนบ่ายจะได้พักผ่อน !”

 

ตอนนี้ผมง่วงจะตายแล้ว ไม่มีอารมณ์กินข้าวเลยสักนิด 

 

ผมจึงโบกมือให้อาจารย์ บอกว่าไม่อยากกิน อยากนอน พักสักหน่อย และบอกให้อาจารย์ปลุกผมอีกทีตอนเย็น

 

หลังจากนั้น ผมก็ลุกขึ้นพร้อมกับหาวออกมา ผมเดินตรงไปที่หน้าป้ายวิญญาณของมู่หลงเหยียน

 

ผมโตขนาดนี้แล้ว อาจารย์จึงไม่บังคับผม เพียงพยักหน้าให้เท่านั้น

 

หลังจากจุดธูปให้มู่หลงเหยียนเสร็จ ผมก็เดินเข้าไปในห้อง

 

เพราะง่วงมาก ผมจึงไม่ล้างหน้าเอนตัวลงนอนทันที..

 

เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นเวลาค่ำแล้ว

 

ผมนอนตลอดทั้งบ่าย ร่างกายจึงดีขึ้นไม่น้อย แต่ท้องของผมหิวมาก

 

ผมเพิ่งเดินออกมาจากห้อง ก็ได้กลิ่นกับข้าวหอมๆทันที

 

เมื่อกวาดสายตามอง ก็พบว่าคืนนี้อาจารย์ทําอาหารเจ็ดแปดอย่าง มีไก่มีปลาเต็มโต๊ะ

 

ผมดีใจมาก “ อาจารย์ วันนี้กินยาอะไรผิดมา ทําไมถึงทํากับข้าวเยอะขนาดนี้ ”

 

อาจารย์กําลังถือไหไวน์องุ่นอยู่ และไม่ได้หันมามองผม “ ไม่มีอะไร เหล่าตู๋ฟื้นจากอาการบาดเจ็บแล้ว บอกว่าไม่ได้ดื่มกันนานแล้ว ฉันเลยทําอาหารนิดหน่อยให้เหล่าตู๋กับเหล่าฉินกินแก้มน่ะ !”

 

ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ผมก็ว่าจู่ๆทําไมอาจารย์ถึงทําอาหารเยอะขนาดนี้

 

และแล้ว เวลาผ่านไปไม่ถึง 5 นาที ท่านนักพรตตู๋และเหล่าเฟิงก็มาถึงร้านของพวกเรา

 

พวกเขาเพิ่งเข้ามาในร้าน ก็ได้ยินเสียงท่านนักพรตต์พูดอย่างอารมณ์ดี “ เหล่าติง ฉันได้กลิ่นเหล้าแล้ว ! ” 

 

ผมและอาจารย์เห็นท่านนักพรตต์และเหล่าเฟิงเดินเข้ามา พวกเราจึงรีบออกไปต้อนรับทันที

 

พวกเราเพิ่งเข้ามาในบ้าน เหล่าเฟิงก็เหล่ตามองผม จากนั้นก็พูดว่า “ เมื่อคืนไปทํางานอีกแล้วเหรอ”

 

เมื่อได้ยินคําพูดของเหล่าเฟิง ผมก็ตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็พูดออกมาทันที “ นายรู้ได้ยังไง”

 

เฟิงเฉ่วหานกลอกตา “ หยางเฉ่วแชทมาบอกในกลุ่ม ”

 

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

 

หยางเฉ่วรักเพื่อนจริงๆถึงกับแชทไปบอกในกลุ่ม คนที่ไม่คุ้นเคยกับเธอ มักจะเข้าใจว่าเธอเป็นคนชอบเรื่องสิ่งลี้ลับ

 

แต่คนในสายงานอย่างพวกเรา กลับสามารถมองเห็นความหมายแฝงจากรูปและข้อความที่เธอส่งเข้ามา และมองเห็นเบาะแสอื่นๆ

 

หลังจากกลับมาผมยังไม่ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเลย และยังไม่ได้เข้าไปดูกลุ่มเพื่อนอะไรทั้งนั้น

 

ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ ใช่ ! เมื่อคืนฉันไปจัดการผีร้ายสองตนที่ป่าเมเปิลแดงมา ! ”

 

“ใช่ซิ ! เดี๋ยวนี้มีเรื่องอะไรก็ไม่เรียกฉันแล้วนิ ” เฟิงเฉ่วหานพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา และยังดูอารมณ์ไม่ค่อยดี

 

ผมอึดอัดใจนิดหน่อย ไอ้บ้าเอ้ยนายไม่ต้องดูแลท่านนักพรตตู๋รีไง อีกอย่าง ฉันก็ไปล่าผีไม่ได้ไปอาบอบนวดกันซะหน่อย นายจะอารมณ์เสียทําไมฮะ

 

แต่ไม่รอให้ผมได้พูดที่หน้าประตูก็มีใครอีกคนเดินเข้ามา

 

เขาก็คือสัปเหร่อเหล่าฉิน ในมือของเหล่าฉันกําลังถือถั่วลิสงต้มหนึ่งถุง “ โฮ่ ! มาครบแล้วเหรอ ทํากําแก้มเยอะแยะเลย รู้งี้ฉันไม่ซื้อถั่วต้มมาก็ดี ! ”

 

ขณะที่พูด เหล่าฉันก็เดินเข้ามาในบ้าน

 

อาจารย์เองก็ยิ้มทักทาย ท่านนักพรตต์ก็ตะโกนเรียก “ ศิษย์พี่”

 

ผลลัพธ์เหล่าฉินกลับทําสีหน้าเย็นชาใส่ท่านนักพรตต์ “ ไม่อยู่บ้านรักษาตัว มาดื่มเหล้าทําไมฮะ !”

 

ท่านนักพรตตู๋ไม่เคยทําอวดดีใส่ เหล่าฉินศิษย์พี่คนนี้เลย เขาเพียงหัวเราะ “ ฮ่าฮ่า ” ออกมา จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกเลย

 

ตอนนี้คนมาครบแล้ว ทุกคนจึงเริ่มนั่งล้อมวง

 

ไวน์องุ่นในไหของอาจารย์เป็นไวน์ที่หมักมาหลายปี ปกติอาจารย์ทําอย่างกับมันเป็นสมบัติล้ำค่า ไม่เคยยกมันออกมาดื่มเลยสักครั้ง

 

ตอนนี้เมื่ออาจารย์เปิดไห ผมและเหล่าเฟิงจึงรินจนเต็มแก้ว

 

รสชาติเข้มข้น หอมเตะจมูก ตอนเทไวน์ยังมีกลิ่นดอกไม้ลอยออกมา จะเห็นได้ว่ามันเป็นไวน์ชั้นดีขนาดไหน ! 

 

ตาแก่สามคนก็ต่างดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน ผมเองก็เล่าเรื่องล่าผีเมื่อคืนให้เหล่าเฟิงฟัง

 

จึงทําให้ท่านนักพรตตู๋และเหล่าฉินที่นั่งร่วมวงได้ยินโดยบังเอิญ หลังจากท่านนักพรตตู้ฟังผมเล่าจบ เขาก็พยักหน้าเล็กน้อย

 

คิดว่าภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ผมและหยางเฉ่วไม่รีบลงโทษ หาสาเหตุที่แน่ชัดก่อน ไม่สร้างบาปเพิ่ม เขาเองก็เห็นด้วยกับวิธีการของพวกเรา

 

ไม่ว่าจะเป็นผีร้ายหรือผีชั่ว เบื้องหลังของพวกเขาก็ต้องได้รับผลกรรม

 

พวกเราเป็น “ คนปราบสิ่งชั่วร้าย” ไม่ใช่ “ คนล่าสิ่งชั่วร้าย ” ต่างกันแค่คําเดียว แต่ระหว่างสองคํานี้ กลับมีแก่นแท้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

ส่วนเหล่าฉินที่มีความรู้ไม่มากนัก เขากลับไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีการของผม

 

ตอนนั้นผมได้ยินเขาพูดกับผมว่า “ เสี่ยวฝาน ! นายใจดีเกินไป พี่น้องที่นายพูดถึง แม้จะมีชีวิตน่าเศร้า แต่เมื่อกลายเป็นผีชั่ว และยังเคยทําชั่ว แน่นอนว่าไม่ควรปล่อยมันไป 

 

“ นายเคยคิดไหม ครั้งนี้นายเจอกับศัตรูที่อ่อนแอ และไม่มีพรรคพวก ถ้าครั้งหน้าเจอศัตรูที่แข็งแกร่ง และยังมีคนคอยช่วย นายกับพวกมันสู้กันนานเข้า เมื่อถึงเวลานั้นพรรคพวกมันออกมา งั้นนายก็ได้ไม่คุ้นเสียแล้วละ ! ความเมตตาของพวกนายจะนําความตายมาสู่ตัวเอง”

 

“ ในความคิดของฉัน ไม่ว่าจะดีหรือเลวเมื่อเป็นผีชั่วแล้ว ก็ต้องกวาดให้เรียบ ฆ่าทิ้งให้หมด ! และยังเรื่องที่นายปล่อยผีผู้หญิงตนนั้นไป อย่าเห็นว่าชีวิตของเธอน่าเศร้า แต่หลังจากที่ตายไปแล้วเธอฆ่าคนไปจํานวนมาก ถ้าลงไปแล้ว มันจะเป็นคนละเรื่องกันแล้ว”

 

เมื่อได้ยินเหล่าฉันพูดแบบนั้น ผมกลับตกใจไปพักหนึ่ง “ เหล่าฉิน พูดแบบนั้นหมายความว่ายังไง”

 

เหล่าฉันยกไวน์ขึ้นจิบ “ นายยังเด็ก ! จะพูดยังไงดี ฉันจะบอกให้ฟัง ระหว่างโลกกับสวรรค์ ย่อมมีผลกรรมของตัวเอง คนที่เคยทําร้ายพวกเขาตอนมีชีวิตหลังจากตายไปลงนรก นี่ก็คือกรรมที่เขาต้องชดใช้ ”

 

“ แต่พวกเขาเคยทําเลว กลับให้เธอต้องชดใช้ด้วยตัวเอง นายบอกว่าปล่อยเธอไป เพื่อให้เธอได้มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ที่จริงไม่เห็นต้องทําแบบนั้น เธอฆ่าคนตั้งมากมาย ตายไปนอกจากต้องลงไปทุกข์ทรมานในนรก 18 ขุมแล้ว ชั่วชีวิตนี้จะสามารถเกิดมาเป็นคนได้อีกหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ อาจเกิดเป็นหมูเป็นหมามากกว่า หรือแม้แต่เป็นหนอนเป็นแมลง เพื่อชดใช้บาปในชาตินี้ นี่ก็คือการปลดปล่อยงั้นเหรอมันเป็นการทรมานกันชัดๆ ”

 

“ ถ้านายฆ่าเธอไปเลย วิญญาณเธอก็จะแตกสลาย เธอจะได้หลุดพ้น และไม่มีผลกรรมตามติด ทําแบบนี้แล้ว เธอก็ไม่ต้องลงไปทุกข์ทรมานในนรก 18 ขุม ชั่วชีวิตไม่ต้องชดใช้ผลกรรมหายไป นายลองคิดดู ให้เธอตายไปก็จบเรื่อง ผลกรรมที่ก่อจะได้สิ้นสุด”

 

เหล่าฉินดื่มไป พูดไป

 

สิ่งที่เหล่าฉันพูดออกมา ผมไม่เคยคิดถึงมาก่อน และยังไม่เคยไปคิดถึงเรื่องผลกรรมอะไรนั้น

 

อะไรที่น่ากลัวที่สุด เวรกรรมน่ากลัวที่สุดงั้นเหรอ

 

เจ้าสิ่งนี้มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ แต่ถ้ามันมาหาพวกเรากลับหลบไม่พ้น

 

อย่าว่าแต่ผมเลย แม้แต่อาจารย์ ท่านนักพรตต์ และเหล่าเฟิงที่อยู่ข้างๆ ก็ยังเป็นใบ้ไปในทันที พวกเขาต่างลองคิดตามคําพูดของเหล่าฉัน

 

เหล่าฉินเห็นผมไม่พูด เขาจึงพูดออกมาอีกครั้ง “ ติงฝาน เหล่าฉันเป็นคนพูดตรง แต่ฉันเป็นสัปเหร่อมาชั่วชีวิต ก็มองชีวิต คุณธรรมและความแค้นของมนุษย์จนทะลุปรุโปร่งแล้ว งานแบบนี้บางครั้งพวกเราก็ต้องโหดเหี้ยมต่องฆ่าบ้าง เมื่อพวกเราโหดแล้ว เราก็จะตัดโซ่กรรมได้หนึ่งเส้น เราก็จะคลายชะตาชีวิตได้อีกหนึ่งดวง นายว่าดีไหมละ ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset