ศพ – ตอนที่ 208 ศพจิ้งจอก

ตอนที่ 208 ศพจิ้งจอก

 

พูดตามความจริง คําพูดของเหล่าฉันก็ฟังดูมีเหลุผลอยู่บ้าง

 

แม้จะขัดแย้งกับความคิดของพวกอาจารย์ แต่มันเป็นเพียงมุมมองที่แตกต่างกันเท่านั้น

 

เหล่าฉินพูดความคิดและสมมุติให้ผมฟัง แต่ผมไม่ได้ยอมรับ หรือปฏิเสธทั้งหมด

 

ผมคิดว่าคําพูดของเขา เหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง แต่ตัวเองก็คิดไม่ออกว่าขาดอะไรไป

 

ดังนั้นในช่วงเวลานั้นผมจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา อาจารย์เห็นผมไม่พูด เขาจึงหัวเราะ “ ฮ่าฮ่า ” “ ติงฝาน คําพูดของเหล่าฉันก็เป็นแค่ความคิดส่วนตัว อยากให้ในอนาค ตนายได้ลองทําดู ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้น ทางสายนี้ นายยังต้องเดินด้วยตัวเอง”

 

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยและยกจอกเหล้าขึ้นคารวะเหล่าฉิน

 

หลังจากนั้น เหล่าฉินและคนอื่นๆก็เปลี่ยนหัวข้อ เรื่องเมื่อกี้จึงกลายเป็นแค่บทสนทนาสั้นๆเท่านั้น

 

ถึงจะเป็นแค่บทสนทนาสั้นๆ แต่คําพูดของเหล่าฉินกลับทําให้ความคิดผมเปลี่ยนไปไม่น้อย ในสมองต่างมีความคิดผุดขึ้นมาหนึ่งเรื่อง นั่นก็คือ “ เวรกรรม”

 

แต่เจ้าสิ่งนี้ลึกลับเกินไป มองไม่เห็นจับต้องก็ไม่ได้ ไม่มีใครสามารถพูดได้อย่างชัดเจน

 

อย่าว่าผมที่เป็นไก่อ่อนเพิ่งเริ่มทํางานเลย แม้แต่นักพรตรุ่นเก่าที่ฝึกฝนวิชามาหลายสิบปี ก็ยังไม่สามารถมองข้ามเวรกรรมได้ ไม่สามารถเข้าใจชีวิตมนุษย์ได้อย่างท่องแท้

 

ผมและเหล่าเฟิงร่วมสังสรรค์กับอาจารย์เหล่าฉิน และท่านนักพรตต์จนดึกดื่น

 

ตาแก่สามคนมีความสุขมาก ถึงกับต้องทําอาหารถึงสองรอบ

 

ตอนที่เลิกงานเลี้ยง จู่ๆเหล่าฉินก็เงียบไป ดูเหมือนกําลังคิดอะไรบางอย่าง

 

เขาเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นก็พูดว่า “ เออใช่ วันนี้มาดื่มเหล้า จนเกือบลืมเรื่องสําคัญไปเลย ! ”

 

“ ศิษย์พี่ มีเรื่องอะไรเหรอ ” ท่านนักพรตตู๋พูด

 

อาจารย์และผมก็มองเหล่าฉินด้วยความสงสัย เหล่าฉินสูดหายใจเข้า จากนั้นก็พูดกับพวกเราว่า “ เรื่องนี้แปลกมาก พูดไปแล้วพวกนายอาจจะไม่เชื่อ ! ”

 

“ ศิษย์พี่ พวกเราสองสามคนยังมีเรื่องอะไรที่ไม่เคยเจออีกเหรอ พี่พูดมาเถอะว่าไปเจออะไรมา ! ” ท่านนักพรตต์พูดออกมาตรงๆ

 

ครั้งนี้เหล่าฉันไม่ได้ทะเลาะกับท่านนักพรตต์ เขาพยักหน้าให้ “ วันนี้ตอนเที่ยง ที่สุสานของพวกเราได้รับโทรศัพท์ให้ไปเก็บศพที่หมู่บ้านหยางกวาง… ”

 

หลังจากนั้น เหล่าฉินก็เล่าเรื่องไปเก็บศพที่หมู่บ้านหยางกวางให้พวกเราฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

 

ตอนแรกพวกเรายังไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อได้ยินเรื่องหลังจากนั้น ผมกลับคิดว่ามันแปลกมาก เหมือนกับที่เหล่าฉันพูดไว้ มันฟังดูไม่น่าเชื่ออย่างมาก

 

เหล่าฉินที่เป็นคนเล่าและลุงหลิวคนงานในสุสานไปเก็บศพที่หมู่บ้านหยางกวาง เมื่อเห็นคนตาย

 

พวกเขาก็พบว่าคนตายสภาพหน้าตามอมแมมผมเผ้ารุงรัง เขาเพิ่งตายได้ไม่นานและไม่มีใครอ้างสิทธิ

 

เมื่อตํารวจท้องที่มาดูและยืนยัน เขาก็บอกแค่เป็นคนจรจัด ไม่สามารถระบุตัวตนได้

 

สําหรับศพที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ เหล่าฉินก็เข้าใจทันทีว่าต้องทํายังไง

 

โดยพื้นฐานแล้วก็นํากลับมาเผาที่สุสาน ส่วนค่าเก็บศพก็นําไปแจ้งต่อรัฐ

 

ถ้าต่อไปมีคนมาขออ้างสิทธิ์ สมาชิกในครอบครัวต้องจ่ายค่าจัดเก็บก่อน หลังจากนั้นก็จะสามารถนําเถ้ากระดูกไปได้แล้ว

 

แต่ถ้าไม่มี เถ้ากระดูกของเขาก็จะถูกตั้งบูชาไว้แบบนั้น

 

เหล่าฉินเองก็ไม่ได้สนใจ ตอนนั้นเขาและลุงหลิวนําศพขึ้นรถทันที

 

แต่ตอนที่เหล่าฉินกําลังปิดประตู จู่ๆก็มีลูกจิ้งจอกสองตัวกระโดดออกมาจากพุ่มไม้ที่อยู่ข้างๆ

 

เมื่อลูกจิ้งจอกสองตัวปรากฏตัว มันก็หันไปร้องที่รถขนศพ “ อีกอีกอีก ” ดูท่าทางเศร้ามาก

 

ภูเขาละแวกนี้ ล้วนเป็นภูเขาที่เก่าแก่ในภูเขาจึงมีสุนัขจิ้งจอกและสัตว์ป่าอีกมากมาย นี่จึงๆไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

 

ตอนนั้นเหล่าฉินและลุงหลิวไม่ได้สนใจ คิดว่าลูกจิ้งจอก เดินหลงมาเท่านั้น พวกเขาจึงไม่ได้สนใจ หมุนตัวเดินจากไปทันที

 

เพราะตอนนี้มีนโยบาย สัตว์พวกนี้เป็นสัตว์สงวน แตะต้องไม่ได้

 

หลังจากนั้น เหล่าฉันก็ขับรถออกมาจากหมู่บ้านหยางกวาง

 

เรื่องนี้พวกเขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลยสักนิด หลังจากพวกเขากลับมาถึงสุสาน ก็ทําตามกระบวนการนําศพออกมาจากรถ จากนั้นก็นําไปเผาในเมรุ

 

หลังจากเผาเสร็จ ตอนที่เหล่าฉันกําลังจะเก็บเถ้ากระดูก เหล่าฉินกลับต้องตกใจ หรือแม้แต่หน้าถอดสีจนขาวซีด

 

เพราะเหล่าฉันพบว่า หลังจากตรวจสอบเถ้ากระดูก กลับพบว่ามันไม่ใช่ของมนุษย์

 

เหล่าฉันบอกว่า ซากกะโหลกศีรษะที่เหลือยาวและแคบ ไม่ใช่รูปร่างของกะโหลกคน

และฟันที่ยังไหม้ไม่หมด ก็ไม่เหมือนฟันของคน ทุกซี่ล้วนยาวหลายเซนติเมตร

 

เหล่าฉินเผาศพมาหลายสิบปี และก็ไม่รู้ว่าเผามาแล้วกี่ศพ

 

สะสมประสบการณ์มาหลายปี จากการแยกแยะเศษกระดูกด้วยตาเปล่า ก็สามารถบอกเพศและอายุคราวๆของผู้ตายได้แล้ว

 

ถ้าเรื่องนี้ตกอยู่ในสายตาของคนธรรมกดา นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะจินตนาการได้ เพราะเห็นเพียงแค่เศษกระดูกของมนุษย์ คนธรรมดาจะสามารถแยกชายหญิงได้เหรอ

 

แต่ในฐานะคนเผาศพมืออาชีพ นี่เป็นเรื่องที่ไม่แปลกหรือหายากอะไรเลย

 

ตอนที่เหล่าฉินเห็นเถ้ากระดูกร่างกายของเขาก็นิ่ง อึ้งไปในทันที

 

ไม่ว่าเขาจะมองยังไง กระดูกพวกนี้ก็ไม่เหมือนของคน แต่มันเหมือน เหมือนกระดูกของจิ้งจอก

 

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ในใจของพวกเราก็อดไม่ได้ที่จะมีเสียงดัง “ก๊ก ”

 

ผมคิดถึงคําพูดของเหล่าฉิน ตอนพวกเขาไปเก็บศพข้างๆ มีลูกจิ้งจอกกระโดดออกมา

 

หรือ หรือว่าคนจรจัดที่ตายไปจะเป็นจิ้งจอกแปลงกายที่อาศัยอยู่ในภูเขา

ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เรื่องนี้ก็แปลกมาก

 

“ เหล่าฉิน นั้น นั้นเป็นเถ้ากระดูกของจิ้งจอกจริงๆเหรอ ” ผมถามเพราะไม่อยากเชื่อ

 

หลังจากเหล่าฉันพูดถึงตรงนี้ เขาก็ดื่มไวน์เข้าไปไม่น้อย แสดงสีหน้าเคร่งครึม “ ฉันมั่นใจต้องใช่แน่ๆ ต้องเป็นจิ้งจอก ใช่สิ ฉันยังเอาเศษฟัน มาให้พวกนายดูด้วย ! ”

 

หลังจากพูดจบ เหล่าฉินก็หยิบห่อผ้าสีเหลืองออกมาจากกระเป๋า หลังจากนั้นก็ค่อยๆเปิดอย่างระมัดระวัง

 

สุดท้าย ตรงกลางของผ้าผืนนั้น ก็มีเศษฟันยาวๆอยู่จริงๆ

 

พวกเราทุกคนล้วนเข้าไปมุง มองมันอย่างละเอียด

 

แม้ผมจะแยกแยะไม่เป็นว่ามันเป็นเขี้ยวของจิ้งจอกรึเปล่า แต่ฟันซี่นั้นทั้งเรียวและยาว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของคน น่าจะเป็นของสัตว์กินเนื้อชนิดหนึ่ง

 

อาจารย์และท่านนักพรตต์หยิบไปมอง หลังจากนั้นพวกเขาก็พยักหน้าเล็กน้อย

 

อาจารย์พูดอย่างมั่นใจ “ ไม่ผิดแน่ นี่คือเขี้ยวจิ้งจอก คนจรจัดคนนั้น น่าจะเป็นจิ้งจอกเฒ่าที่แปลงกายมา !”

 

เมื่อคําพูดนี้หลุดออกมา ผมและเฟิงเฉ่วหานก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ

 

นี่มันแปลกเกินไปแล้ว แม้แต่การเผาศพ ก็ยังเผ่าร่างของจิ้งจอกเฒ่าได้

 

ตอนนี้ท่านนักพรตตูเองก็พูดออกมา “ ศิษย์พี่ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะ พวกเซียนจิ้งจอก ไม่ใช่คนที่เราจะทําให้ไม่พอใจได้ง่ายๆ และไปยุ่งด้วยไม่ได้เด็ดขาด เมื่ อก่อนตอนผมไปหากินที่ตะวันออกเฉียงเหนือ ก็ไปเจอแรงอาฆาตของจิ้งจอกชั่ว ครอบครัวหนึ่งห้าชีวิต ไม่เว้นแม้แต่เด็กทารกถูกห่อผ้าเอาไว้ ตอนนั้นไม่มีใครรอดสักราย! ทุกคนตายโหงหมด แถมยังตายยกครัว ”

 

“ เรื่องนี้จะจบแค่นี้ไม่ได้ พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะไปจุดที่เก็บศพ จุดธูปเผากระดาษ เอาเถ้ากระดูกไปคืน ไม่อย่างนั้นอาจเจอปัญหาได้ !”

 

ดูเหมือนท่านนักพรตต์จะเห็นเรื่องเซียนจิ้งจอกเป็น เรื่องต้องห้าม ท่าทางของเขาดูเครียดมาก

 

เหล่าฉินได้ยินท่านนักพรตพูดแบบนั้น เขาจึงพยักหน้าให้รัวๆ หลังจากนั้นก็เก็บเขี้ยวอย่างระมัดระวัง

 

“ ได้ งั้นพรุ่งนี้พวกนายไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย ! ตอนนี้ดึกมากแล้ว ฉันกลับสุสานก่อนนะ พรุ่งนี้เช้าค่อยโทรหาพวกนาย” หลังจากพูดจบ เหล่าฉินก็กําลังจะเดินออกไป

 

อาจารย์เห็นเหล่าฉินจะออกไปแล้ว เขาจึงพูดกับผมว่า “ ติงฝาน ไปส่งเหล่าฉินของนายซิ ! ”

 

เหล่าฉินเคยช่วยชีวิตผม วันนี้เขาดื่มไปไม่น้อย ผมไปส่งเขา จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมจะไม่ปฏิเสธ

 

เหล่าฉินก็ไม่ได้บอกปัด สมองของเขาเริ่มขึ้นแล้ว

 

ดังนั้น ผมจึงออกจากร้าน พร้อมกับเหล่าฉิน พวกเราเดินตรงกลับสุสานทันที

 

สุสานอยู่ไม่ไกล ผ่านไปไม่นานพวกเราก็มาถึง

 

แต่ตอนที่พวกเราเดินเข้ามาในสวนหย่อมของสุสาน ผมกําลังจะบอกลาเหล่าฉิน ทันใดนั้นเองในสุสานก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น “ อ๊าก… ”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset