ศพ – ตอนที่ 209 จิ้งจอกเฒ่า

ตอนที่ 209 จิ้งจอกเฒ่า

เสียงกรีดร้องแห่งความทรมาน ดังก้องทั่วสุสาน เห็นได้ชัดว่าใครบางคนกําลังเจ็บปวดมาก

 

จู่ๆผมและเหล่าฉันก็ได้ยินเสียงนี้ จึงรีบหันไปมองต้นเสียงทันที สีหน้าของพวกเราเปลี่ยนไปอย่างช่วยไม่ได้

 

เหล่าฉินพลั้งปากพูดออกมาทันที “ นี่มัน นี่มันเสียงหลิวชือฟุ ! ”

 

หลิวชือฟุ ก็คือลุงหลิวที่ออกไปเก็บศพกับเหล่าฉินในตอนกลางวัน

 

เมื่อได้ยินเหล่าฉันพูดแบบนั้น ผมก็เครียดทันที รีบพูดออกมาว่า “ เร็วเข้า พวกเรารีบไปหาเขา อาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

 

ขณะที่พูด ผมก็วิ่งไปข้างหน้าแล้ว

 

เหล่าฉินส่างขึ้นมาไม่น้อย เขาไม่รอช้ารีบวิ่งตามผมมาทันที

 

ผ่านไปไม่นาน ผมสองคนก็พุ่งเข้ามาในหอพักของสุสาน

 

เมื่อถึงตอนดึกหอพักของสุสานก็แทบจะไม่มีคนเดินเข้าออกที่นี่แล้ว ปกติก็มีเพียงคนที่ทําหน้าที่เผาศพ หลังจากเที่ยงคืนพวกเขาจะเข้ามาพักที่นี่เท่านั้น

 

ตอนที่พวกเรามาถึงหน้าหอพักก็เห็นบนชั้นสองมีไฟสว่างอยู่ห้องหนึ่ง นั้นก็คือห้องพักของลุงหลิว

 

ผมและเหล่าฉันรีบขึ้นไปบนชั้นสอง เมื่อมาถึงหน้าประตูก็พบว่าประตูห้องเขายังคงล็อคอยู่ แต่ในห้องกลับมีเสียงกรีดร้องดังขึ้น

 

เหล่าฉินรีบเคาะประตู “ ก๊อกก๊อกก๊อก ” ขณะเดียวกันก็ตะโกนเข้าไปข้างใน “ หลิวชือฟุ ! หลิวชือฟุ ”

 

แต่ในห้องกลับไม่มีเสียงขานรับ แต่กลับมีเสียงร้อง “ อึก ! ” ดังออกมาหนึ่งครั้ง

 

ผมเห็นท่าไม่ดี จึงรีบพูดกับเหล่าฉินว่า “ เหล่าฉิน หลบไป ! ”

 

เหล่าฉินขมวดคิ้ว ขณะเดียวก็เดินถอยไปข้างหลังสองก้าว

 

ผมก็ไม่เกรงใจ รีบถีบประตูอย่างแรง

 

“ ปัง แอร้ด ” ประตูบานนั้นถูกผมถีบออกทันที

 

เสี้ยววินาทีต่อมา ผมสองคนก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว

 

แต่หลังจากที่พวกเราพุ่งเข้าไป สีหน้าก็เปลี่ยนไป ร่างกายแข็งทื่อทันที

 

พวกเราเห็นลุงหลิวนอนอาบเลือด ร่างกายของเขากระตุกเล็กน้อย เขากําลังใช้มือกดเลือดที่คอเอาไว้ ดวงตาเบิกกว้าง พยายามอ้าปากเหมือนต้องการพูดอะไร

 

แต่เขาออกเสียงไม่ได้แล้ว ทําได้เพียงกระอักเลือดออกมาเท่านั้น

 

หัวใจของผมเต้นรัว นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น

 

แต่สิ่งแรกที่เหล่าฉันทําคือรีบพุ่งเข้าไป “ หลิวชือฟุ นาย นายเป็นอะไร”

 

ขณะที่พูด เขาก็เริ่มสํารวจบาดแผลของลุงหลิว ผมเองก็ได้สติกลับมา จึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยทันที

 

แต่ดวงตาที่เบิกกว้างของลุงหลิว กลับจ้องไปที่ด้านหลังของผมและเหล่าฉิน พยายามทําปาก บอกอะไรบางอย่าง

 

วินาทีนั้นผมและเหล่าฉันไม่เข้าใจ คิดว่าตอนนี้ลุงหลิวคงตกใจมาก

 

เหล่าฉินจึงพูดออกมาว่า “ หลิวชือฟุ นายไม่ต้องกลัวแล้วนะ ฉันจะรีบห้ามเลือดให้นาย แล้วพาไปส่งโรงพยาบาล !”

 

แต่เสียงของเขาเพิ่งจางหาย ลุงหลิวกลับเค้นพลัง พยายามชี้ และพูดออกมาด้วยความยากลําบาก “ ข้าง ข้างห ลัง…”

 

ผมมองมือสั่นๆของลุงหลิว เขากําลังชี้ไปที่ด้านหลังพวกเรา และเขายังพูดแบบนั้นออกมา

 

ผมและเหล่าฉินจึงตกใจ จากท่าทีของลุงหลิว เห็นได้ชัดว่าเขากําลังกลัวสุดๆ

 

ราวกับ ราวกับข้างหลังของพวกเรามีสิ่งที่น่ากลัวอยู่

 

ระหว่างนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น

 

แต่ทันใดนั้นเองกลับมีลมหายใจเหม็นๆพัดเข้ามาจากทางด้านหลังของพวกเรา

 

เพราะตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ทําให้พวกเรามัวแต่สนใจร่างกายของลุงหลิว ดังนั้นจึงไม่ได้คิดมากหรือสนใจอะไรเยอะแยะ

 

ผมและเหล่าฉินทำตามสัญชาตญาณ พวกเราค่อยๆหันไปมอง

 

แต่วินาทีที่เราหันไปมอง ฉากที่น่าสะพรึงกลัวก็เกิดขึ้น

 

ผมสองคนเห็นที่ด้านหลัง มีจิ้งจอกเฒ่าตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

 

จิ้งจอกเฒ่าตัวนั้นมีหางขนาดใหญ่ จ้องตรงมาที่พวกเราระหว่างนั้นเขาก็ยืนขึ้นช้าๆ

 

มันไม่ใช่แค่ไม่กลัวพวกเรา มันยังยกหัวขึ้นแยกเขี้ยวออกมา ราวกับกําลังยิ้ม

 

ดวงตาของจิ้งจอก ส่องแสงประกายแปลกประหลาด เห็นแล้วน่ากลัวมาก

 

จู่ๆผมก็เห็นจิ้งจอกเฒ่าตัวหนึ่งยกตัวขึ้นยืนสองขา และยังมองพวกเราพร้อมกับแยกเขี้ยว วินาทีนั้นผมจึงตกใจมาก

 

เท้าหมดแรงทรุดตัวนั่งลงกับพื้นทันที

 

จู่ๆก็เห็นจิ้งจอกเฒ่าปรากฏตัว นั้นเป็นเรื่องจริงที่ผมถูกทําให้ตกใจจนทรุดลงไปนั่งกับพื้น

 

แต่เหล่าฉินที่อยู่ข้างๆกลับดีกว่าผมมาก แม้ในใจของเขาจะมีเสียงดัง “ ก๊ก ” และตกตะลึงกับภาพตรงหน้าก็จริง

 

แต่อายุรุ่นเหล่าฉิน ทํางานในสายนี้มาเป็นเวลานาน ยังไงเขาก็เป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก

 

ถึงจะไม่เคยเห็น แต่ก็เคยได้ยินเรื่องแปลกประหลาดมามากมาย

 

ในเวลานี้เมื่อเห็นจิ้งจอกเฒ่าแสดงท่าทางน่าขนลุกแบบนั้น เขากลับไม่สับสน

 

บวกกับการดื่มเหล้ามา ทําให้เขากล้ามาก

 

เขาไม่คิดอะไรมาก “ คือ ” ออกมาหนึ่งครั้งหลังจากนั้นก็ยืนขึ้น พร้อมกับเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าของผมและลุงหลิว

 

ทันใดนั้นเขาก็พูดเสียงเข้ม “ สัตว์เดรัจฉานที่ไหน ถึงได้กล้ามาก่อเรื่องที่นี่ !”

 

เสียงตะโกนของเหล่าฉิน ทําให้ผมได้สติทันที

 

แม้ใจจะหวาดกลัว แต่ก็รู้ดีเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ผมต้องกลัว

 

แม้ก่อนหน้านี้จะไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ แต่ตอนนี้ผมต้องสงบสติอารมณ์ ผมรีบลุกขึ้นยืน ใช้มืออีกข้างหยิบยันต์ออกมา

 

จิ้งจอกเฒ่าที่ยืนอยู่ตรงหน้าเห็นผมหยิบยันต์ออกมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะกวาดสายตามองผมหนึ่งครั้ง

 

สายตาแบบนั้น ทําให้ผมรู้สึกกดดันมาก

 

ทันใดนั้น เขาก็อ้าปาก จากนั้นก็พูดด้วยน้ําเสียงที่คมชัด แต่การออกเสียงไม่ค่อยชัดเจนกับผมและเหล่าฉิน “ ลูกชายของข้าหายตัวไป ข้ามาหาลูกชาย ”

 

ผมแสดงสีหน้าเคร่งเครียด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

แต่เหล่าฉินกลับเถียง “ ลูกชายของแกหายไปแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเรา แล้วทําไมต้องทําร้ายคนในสุสานของฉันด้วย”

 

จิ้งจอกเฒ่าตัวนั้นเหลือบมองลุงหลิวแวบหนึ่ง เขาใช้กําลังบีบบังคับ ลมหายใจของจิ้งจอกจึงทําให้คนรังเกียจยิ่งกว่าเดิม

 

ไม่ใช่แค่นี้ มันยังออกเสียงพูดไม่ชัดเจนต่อ “ ตอนที่ลูกชายของข้าหายไป เจ้าหมอนี้อยู่ที่นั้น มันถูกหลานข้าทําเครื่องหมายเอาไว้ แต่มันไม่ยอมพูด ข้าเลยสั่งสอนมันนิดหน่อย”

 

หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปจ้องลุงหลิวอีกครั้ง จากนั้นก็หันมามองพวกเรา “ ในเมื่อมียันต์ งั้นก็เป็นคนใน ในเมื่อพวกเจ้ารู้จักเจ้าหมอนี้ งั้นข้าก็จะไม่พูดมาก ก่อนเที่ยงคืนวันพรุ่งนี้ เอาลูกชายข้ามาส่งที่สันเขาหยางกวาง ไม่อย่างนั้น พวกเจ้าก็อย่าคิดว่าจะได้มีชีวิตอันสงบสุขอยู่ที่นี่อีกต่อไป !”

 

เสียงเพิ่งเงียบลง เขายังไม่รอให้ผมและเหล่าฉินตอบกลับ ทันใดนั้นจิ้งจอกเฒ่าก็เดินไปข้างหน้า เขาเหมือนกับร่างวิญญาณ กระโดดออกไปทางหน้าต่างทันที

 

ตอนพวกเราวิ่งตามมาดูที่หน้าต่าง ตรงนั้นยังมีจิ้งจอกอยู่ที่ไหนละ ตอนนั้นแม้แต่เงาของเขาก็ไม่มีแล้ว

 

“ เหล่าฉิน ตอนนี้ทํายังไงดี ” ผมไม่ค่อยมั่นใจ ผีร้ายผีชั่ว ผีอะไรก็ช่างมันก็เจอมาหมดแล้ว แต่คําพูดของจิ้งจอกเฒ่าในภูเขา และยังบอกว่ามาหาลูกชาย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตผมเลยนะ

 

เหล่าฉิสขมวดคิ้ว “ แม่งเอ้ย เหมือนกับที่เจ้าตู๋อ่าวเฮงซวยนั้นพูดไว้ไม่มีผิด อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องนี้ ตอนนี้พวกเราต้องพาหลิวชือฟุไปโรงพยาบาลก่อน !”

 

ผมพูด “ คือ ” และไม่พูดอะไรต่ออีก ผมแบกลุงหลิวขึ้นหลัง จากนั้นก็วิ่งไปนอกสุสานทันที

 

เมื่อพวกเรามาถึงโรงพยาบาลของตําบล หมอที่เข้าเวรอยู่ก็รีบนําตัวลุงหลิวไปรักษาทันที ตอนนั้นหมอห้ามเลือดได้ทันเวลา แต่เขาก็เสียเลือดไปเยอะพอสมควร

 

ระหว่างนั้น พวกเราก็โทรศัพท์เรียกอาจารย์และพวกท่านนักพรตต์

 

อาจารย์และท่านนักพรตต์ไม่คิดมาก นี่เพิ่งออกมาได้ไม่นาน พวกเราก็เจอปัญหาเข้าแล้ว

 

เมื่อมาถึงโรงพยาบาล พวกเขาก็ต่างคนต่างถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับผม

 

ผมไม่กล้าลีลา รีบเล่าเรื่องที่ผมและเหล่าฉินเจอจิ้งจอกเฒ่าให้ฟังทั้งหมด

 

หลังจากอาจารย์และท่านนักพรตตูได้ยิน พวกเขาก็แสดงท่าทางเคร่งเครียดมาก

 

ท่านนักพรตต์พูดออกมาเบาๆ “ กลัวอะไรได้แบบนั้น ครั้งนี้พวกเราต้องเจอกับการแก้แค้นของจิ้งจอกชั่วแน่ ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset