ศพ – ตอนที่ 211 เซียนถางหยิง

ตอนที่ 211 เซียนถางหยิง

จู่ๆก็ได้ยินมู่หลงเหยียนพูดแบบนั้น ผมจึงตกใจทันที 

 

เธอรู้เรื่องจิ้งจอกเฒ่าได้ยังไง และยังเรียกให้ผมมาที่นี่ เพื่อเอาเจ้ากล่องนี้ให้ผมโดยเฉพาะ ในนี้มีอะไรอยู่กันแน่

 

ผมทําหน้าสงสัย พร้อมถามเธอกลับทันที “ น้อง น้องศพ เธอ เธอรู้เรื่องจิ้งจอกเฒ่าได้ยังไง”

 

มู่หลงเหยียนกลอกตา จากนั้นก็พูดกับผมด้วยน้ําเสียงจริงจัง “ นายไม่ต้องรู้หรอก เอาไปซิ ! ที่มาของจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้นไม่ธรรมดา แม้จะเป็นฉันก็ยังไม่กล้าไปกระตุกหมวด

 

เมื่อได้ยินมู่หลงเหยียนพูดแบบนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึกๆ

 

เจ้าจิ้งจอกนั้นร้ายกาจขนาดนั้นเลยเหรอ แม้แต่มู่หลงเหยียนก็ยังไม่กล้าสู้กับเขา

 

“เจ้าจิ้งจอกนั้นร้ายกาจขนาดนั้นเลยเหรอ ” ผมห้ามปากเอาไว้ไม่ไหว

 

มู่หลงเหยียนกลับยิ้มให้อย่างขมขื่น “ เรื่องความร้ายกาจ เขาไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้น แต่ฉันไม่อยากเข้าไปยุ่งกับคนที่อยู่เบื้องหลังเขา! ”

 

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ คิ้วของผมก็ขมวดลงอย่างช่วยไม่ได้

 

ผมนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จิ้งจอกอยู่กันเป็นฝูง ส่วนใหญ่ในถ้ําหนึ่งของจิ้งจอก ก็จะมีจิ้งจอกประมาณ 3-5 ตัว

 

เมื่อก่อนได้ยินคนพูดว่า เมื่อจิ้งจอกแข็งแกร่งแล้ว ส่วนใหญ่ก็มักจะมีแค่ 1-2 ตัวเท่านั้น และก็อาจเป็นได้ทั้งฝูง

 

พวกเราไปแหย่จิ้งจอกตัวนี้ เบื้องหลังของมันก็อาจมีจิ้งจอกเฒ่าที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ารออยู่

 

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆสงบจิตใจตัวเองสักพัก หลังจากนั้นพูดออกมาอีกครั้ง “ ในกล่องนี้มีอะไรอยู่เหรอ”

 

มู่หลงเหยียนไม่ได้ตอบตรงๆ แต่ขู่ผมแทน “ ถามอะไรเยอะแยะ ! ของในนั้นช่วยรักษาชีวิตพวกนายได้อยู่แล้ว จําไว้พกติดตัวก็พอ! ถ้าไม่จําเป็นจริงๆก็ห้ามเปิดมันเด็ดขาด

 

รู้จักมู่หลงเหยียนมานานขนาดนี้ ผมจึงรู้ดีว่านิสัยของมู่หลงเหยียนเป็นยังไง

 

ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่สําหรับผมเธอก็ยังดีด้วยเสมอ

 

ดังนั้น ผมจึงรับกล่องเอาไว้และไม่ถามอะไรมาก

 

มู่หลงเหยียนเห็นผมรับกล่องไปแล้ว เธอจึงพูดกับผมอีกครั้ง “ เก็บกล่องเอาไว้ดีๆละ อย่าให้มันโดนแสงเด็ดขาด! ”

 

มู่หลงเหยียนท่าทางจริงจัง เธอดูเคร่งเครียดมาก

 

ผมพยักหน้ารับพร้อมพูด “ อืมอืม” จากนั้นผมก็เก็บกล่องอย่างระมัดระวัง

 

“ โอเค นายกลับไปได้แล้ว ฉันก็จะกลับแล้ว ” ขณะที่พูด มู่หลงเหยียนก็จะเดินออกไป

 

เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนจะเดินออกไป ใจของผมก็รู้สึกไม่อยากให้เธอไปนิดหน่อย

 

“ เอ่อ เอ่อจะกลับแล้วเหรอ! ”

 

“ อือ แล้วจะทําอะไรอีกละ” มู่หลงเหยียนถามกลับ ในเวลาเดียวกันก็มองผมพักหนึ่ง

 

ตอนนั้นผมละอยากพูดออกไปตรงๆว่า อยากให้มู่หลงเหยียนอยู่ต่ออีกหน่อย

 

ถึงมู่หลงเหยียนจะแข็งแกร่งมาก แต่สิ่งที่แปลกคือ ผมกลับไม่เห็นเธอเป็นศัตรู

 

ในเวลานี้เมื่อเห็นอีกฝ่ายจะเดินจากไป ผมก็อยากให้อีกฝ่ายอยู่ต่ออีกหน่อย

 

แต่ผมพูดไม่ออก เมื่ออ้าปากผมกลับพูดว่า “ งั้นก็ดี ! ”

 

มู่หลงเหยียนได้ยินผมพูดจบ เธอก็เงียบไปพักหนึ่ง หลังจากนั้นก็พูดว่า “ งั้นฉันไปแล้วนะ !”

 

หลังจากพูดจบ มู่หลงเหยียนก็ไม่มีทีท่าว่าจะอยู่ต่อเธอหมุนตัวเดินตรงไปสองสามก้าว

 

หลังจากเดินไปสองสามก้าว ร่างของมู่หลงเหยียนก็หายไป เธอกลายเป็นสายลม ลอยหายเข้าไปในป่าทันที

 

ผมเห็นมู่หลงเหยียนหายไปแล้ว จึงก้มมองกล่องโบราณที่อยู่ในมือ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันใส่อะไรเอาไว้

 

ผมถอนหายใจยาวๆ จากนั้นก็หมุนตัวและเดินออกไปจากที่นี่

 

ระหว่างทางกลับ ผมคิดมาตลอดว่ามู่หลงเหยียนรู้เรื่องจิ้งจอกเฒ่าได้ยังไง

 

แม้มู่หลงเหยียนจะร้ายกาจ แต่จะมีพลังหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าเลยเหรอ

 

แต่หลังจากผมกลับมาถึงร้านผมถึงนึกได้ว่า ป้ายวิญญาณของมู่หลงเหยียนอยู่ในบ้าน ตอนที่คุยเรื่องนี้พวกเราก็อยู่ในบ้าน

 

หลังจากผมและอาจารย์กลับมา ก็ยังคุยกันเรื่องนี้

 

บางที่มู่หลงเหยียน อาจได้ยินพวกเราคุยกันผ่านป้ายวิญญาณ และในที่สุดเธอถึงให้กล่องที่ใส่อะไรก็ไม่รู้ในตอนกลางดึกแบบนี้

 

แต่นั้นไม่ใช่เรื่องสําคัญแล้ว สิ่งที่สําคัญคือมู่หลงเหยียนเป็นคนดีจริงๆ ถึงจะปากร้ายไปบ้างก็เถอะ

 

ผมถือกล่องเอาไว้อย่างดี เมื่อกลับมาถึงห้อง ครั้งนี้ผมไม่ได้นอนไม่หลับ เพียงล้มตัวนอนแป็บเดียวผมก็หลับไปทันที

 

เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว

 

อาจารย์เตรียมของทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อย และบอกผมว่า ตามที่เหล่าฉันบอก อาการของลุงหลิวคงที่แล้ว ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรมากแล้ว

 

และยังบอกว่า พวกเราจะออกเดินทางตอน 4 โมงเย็น

 

ตอนนี้ยังเหลือเวลา ผมเองก็ว่างไม่มีอะไรทํา ผมจึงเล่าเรื่องที่มู่หลงเหยียนเรียกผมไปกลางดึก แล้วเอากล่องใบนั้นให้ผมให้อาจารย์ฟัง

 

เมื่ออาจารย์ได้ยินเรื่องนี้ เขาก็ตกใจ รีบให้ผมเอากล่องใบนั้นให้เขาดู

 

ผมไม่กล้าชักช้า รีบหยิบกล่องออกมาให้อาจารย์ดูทันที

 

อาจารย์มองรอบๆตัวกล่อง พร้อมกับสูดดมอย่างต่อเนื่อง เขาสังเกตมันอย่างละเอียดโคตรๆ

 

ผมเห็นอาจารย์สังเกตอยู่นาน จึงถามเขาว่า “ อาจารย์ มองออกไหมว่าในนี้มีอะไรอยู่”

 

อาจารย์ได้ยินผมถาม เขาจึงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “ ไม่แน่ใจ แต่รู้สึกว่าในกล่องมีพลังหยินแรงมาก ด้านนอกมีรอยแกะสลักที่งดงาม แต่มันเป็นลวดลายของคาถา มันสามารถปราบของข้างในได้ ถ้าเปิดแล้ว น่าจะมีอะไรที่มีพลังหยินแรงสุดๆออกมา ส่วนเป็นตัวอะไรนั้น อาจารย์ก็ไม่รู้เหมือนกัน ! ”

 

ขณะที่อาจารย์กําลังพูด เขาก็ทําสีหน้าเคร่งเครียด

 

ผมฟังแล้วก็ตกใจ คิดว่าคงไม่ได้ขังวิญญาณชั่วร้ายอะไรไว้หรอกนะ

 

แต่ไม่รอให้ผมได้สติ ทันใดนั้นอาจารย์ก็พูดกับผมอีกครั้ง “ นอกจากเจ้านี้แล้ว เมียแกยังพูดอะไรกับแกอีก ” 

 

เมื่อได้ยินอาจารย์ถาม ผมจิตใต้สํานึกของผมก็หันไปมอง ป้ายวิญญาณของมู่หลงเหยียนแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็พูดกับอาจารย์ว่า “ อาจารย์ เธอบอกว่าที่มาของเจ้าจิ้งจอกเฒ่านั้นไม่ธรรมดา มีคนมีอํานาจอยู่เบื้องหลังไปแตะต้องไม่ได้ง่ายๆ แม้แต่เธอ ก็ยังไม่อยากไปยุ่งด้วย! ”

 

เมื่อาจารย์ได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็พูดพึมพําออกมา “ ฮะ ! เมียแกก็ยังไม่อยากยุ่งด้วย หรือว่า… หรือว่าจะเป็นสัตว์เซียนถางหยิ่ง

 

“ ถางหยิง อาจารย์มันคืออะไร ” ผมไม่ค่อยเข้าใจที่เขาพูด

 

อาจารย์ก็ไม่ได้ปิดบัง หลังจากนั้นก็อธิบายให้ผมฟังอย่างละเอียด

 

เรื่องมาจากหนานเหมาเป๋ยหม่า( เทพสององค์ที่คอยคุมครองคนจีนจากฝีมาตั้งแต่โบราณ ) พวกเขาเป็นผู้ดูแลเขตชานไฮ่กวน เนื่องจากวัฒนธรรมของหมอผีทางตะวันออกเฉียงเหนือ ทําให้คําว่า “ ถางหยิง ” เกิดขึ้น

 

มันคล้ายกับสํานัก หรือพวกลัทธิโบราณ หลังจากพวกเซียนสัตว์เกิดขึ้น เขาก็ให้สมญานามกับตัวเอง

 

เพราะพวกเขามีจิตวิญญาณของสัตว์ป่าอยู่ ดังนั้นจึงก่อตั้ง “ บ้านเซียน” ที่แข็งแกร่งขึ้น และใช้คําว่าถางหยิงกับชื่อชูหม่าของลูกศิษย์คนหนึ่งในการตั้งชื่อ

 

เช่นหลี่…ถาง ซ่ง…ถาง เป็นต้น

 

ตอนนี้เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น สีหน้าของผมก็มืดมนลง “ อาจารย์ หมายความว่า จิ้งจอกเฒ่าตัวนั้นคือชูหม่าเซียน เพราะรับลูกศิษย์ชื่อชูหม่าเข้ามา เขาจึงก่อตั้งถางหยินขึ้นมาปกป้องบ้านเซียน”

 

เมื่ออาจารย์ได้ยินผมพูดจบ เขาก็พยักหน้าให้เล็กน้อย “ อาจเป็นไปได้ ถ้าไปทําให้ถางหยินไม่พอใจ งั้นคนในถางหยิงทั้งหมดก็จะบุกมาหาเรื่อง แล้วถ้าเป็นแบบนั้น จิ้งจอกเฒ่าที่พวกเราเจอ ก็คงไม่ใช่เซียนทั่วๆไป เขาน่าจะมีแก๊ง และแก๊งนี้ก็ร้ายกาจมากอีกด้วย”

 

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หัวใจของผมก็มีเสียงดัง “ กึก ”

 

ถ้าเป็นแบบนี้ งั้นจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้นก็ไปแหย่เล่นไม่ได้ 

 

แต่มีปัญหาเกิดขึ้น หรือจะเป็นเพราะอีกฝายแตะต้องไม่ได้ เรื่องที่อีกฝ่ายทําร้ายลุงหลิว ก็จะจบลงแบบนี้งั้นเหรอ

 

“ อาจารย์ หรือเรื่องที่มันทําร้ายลุงหลิวจะจบแค่นี้เหรอ ” ผมขมวดคิ้ว พูดด้วยความไม่พอใจ

 

ผลลัพธ์เสียงของผมเพิ่งจางหาย ทันใดนั้นอาจารย์ก็แค่นเสียงดัง ฮึ “ จบงั้นเหรอ ทําให้หลิวชือฟุเจ็บหนักขนาดนั้น มันจะจบง่ายๆได้ไง ยังไงก็ต้องให้พวกมันรับผิดชอบ ถึงชื่อของเจ้าจิ้งจอกนั้นจะมีคําว่าถางจากถางหยิงอยู่ แต่พวกเราก็จะไม่หยุดแค่นี้ ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset