ศพ – ตอนที่ 212 สันเขาหยางกวาง

ตอนที่ 212 สันเขาหยางกวาง

อาจารย์โกรธจริงๆแล้ว เรื่องนี้ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร ก็ไม่มีใครยอมเลิกลาทั้งนั้น

 

เมื่อเห็นอาจารย์เด็ดขาดแบบนั้น ผมก็ไม่พูดมาก พยักหน้าให้อาจารย์ แสดงความเห็นด้วยกับความคิดของอาจารย์ทันที

 

ถึงอีกฝ่ายจะร้ายกาจ หรือจะเป็นสัตว์เซียนที่แข็งแกร่ง 

 

แต่เขาพูดชัดเจนแล้ว ว่ามันก็เป็นแค่สัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง

 

อีกอย่าง ที่นี่ถือถิ่นของพวกเราอยู่นอกเขตชานไฮกวน

 

และพวกเราก็ไม่ใช่พวกอ่อนแอ พวกเราเป็นถึงคนปราบสิ่งชั่วร้ายแห่งลัทธิเต๋าที่เก่าแก่เชียวนะ

 

ถ้าอีกฝ่ายไม่ชดใช้ให้กับพวกเรา พวกเราก็จะไม่ปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายๆ

 

หลังจากมีความคิดนี้เกิดขึ้น ร่างกายของผมก็กระสับกระส่าย และมีความคิดที่ยิ่งใหญ่ลอยอยู่ในสมอง

 

หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ ผมก็เข้าไปพักในห้อง

 

เวลาผ่านไปเร็วมาก และแล้วเวลา 4 โมงเย็นก็มาถึง

 

พวกเราไม่รอช้า รีบออกไปรวมตัวกับท่านนักพรตตู๋ เหล่าเฟิง และเหล่าฉินทันที

 

สันเขาหยางกวาง ก็คือภูเขาด้านหลังหมู่หยางกวางที่เหล่าฉินไปเก็บศพเมื่อวาน

 

ห่างจากที่พวกเราอยู่ไม่ไกล มันก็เป็นหมู่บ้านบนเขาเล็กๆ อยู่ใกล้กว่าหมู่บ้านเฟิ๋งเจียโกวซะอีก และก็ยังมีถนนตัดเข้าไปถึง

 

ตอน 4 โมงนิดๆพวกเราก็เริ่มออกเดินทาง นั่งรถขนศพตรงไปที่หมู่บ้านหยางกวาง

 

เมื่อมาถึงก็เป็นเวลา 5 โมงเย็นแล้ว

 

ตอนนี้ฟ้ายังไม่มืด พวกเราจึงใช้เวลาเดินเข้าไปในภูเขา

 

สันเขาหยางกวางไม่ถือว่าใหญ่เป็นพิเศษ มันเป็นสันเขาธรรมดาแห่งหนึ่ง แต่สันเขาแห่งนี้กลับเป็นเส้นทางนําไปสู่ป่าโบราณ

 

รอบๆของพวกเราเต็มไปด้วยภูเขาเก่าแก่ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือคือสันเขาฉิน ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้คือ ภูเขาต้าปา

 

สันเขาหยางกวางแห่งนี้ ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองเขา

 

เมื่อวานจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้นก็ไม่ได้พูดให้ชัดเจน บอกเพียงที่สันเขาหยางกวาง

 

ดังนั้นหลังจากพวกเรามาถึงสันเขาหยางกวาง จึงพักผ่อนบนพื้นที่เปิดโล่งใกล้ๆลําธารเล็กๆ พวกเราคิดว่าจะนั่งรอจิ้งจอกเฒ่าปรากฏตัวที่นี้

 

พวกเราไม่กลัวว่าจิ้งจอกเฒ่าจะหาพวกเราไม่เจอ เพราะเจ้าตัวนี้ มีจมูกรับกลิ่นดีผิดปกติ

 

เมื่อคืนเหล่าฉันแทบจะไม่ได้นอน ตอนกลางวันก็ได้หลับไปแป๊บเดียวเท่านั้น ตอนนี้เขาจึงตาแดง กอดเถ้ากระดูกพร้อมกวาดสายตามองไปรอบๆ

 

อาจารย์และท่านนักพรตตู๋ ก็ไม่ได้ประมาท

 

ส่วนผมและเหล่าเฟิงเห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรทํา พวกเรากําลังยืนสูบบุหรี่อยู่ที่เดิม

 

ท้องฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว แต่เจ้าจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้นก็ยังไม่ปรากฏตัว

 

เวลาค่อยๆผ่านไป พวกเราเห็นเวลาใกล้ถึง 5 ทุ่มแล้ว แต่พวกเราก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของจิ้งจอกเฒ่า

 

ตอนนี้ทุกคนต่างรอกันมานานมากแล้ว และอารมณ์เสียสุดๆ

 

ผืนป่าแห่งนี้ยังมีมดอยู่เยอะมาก ทั้งตัวของผมแทบจะโดนมันกัดจนหมดแล้ว

 

แต่ในขณะที่ทุกคนกําลังจะหมดความอดทน ทันใดนั้นเสียง กร็อบแกร็บ ก็ดังขึ้น

 

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทุกคนก็หันไปมองอย่างรวดเร็ว

 

ภายใต้แสงจันทร์ พวกเราเห็นแค่พุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไป กําลังมีบางอย่างขยับเข้ามาใกล้พวกเรา

 

นอกจากนี้แล้ว พวกเรายังได้กลิ่นเหม็นๆลอยมา

 

นี่เป็นกลิ่นสาบของจิ้งจอก เจ้าจิ้งจอกนั้นมาแล้ว

 

ผมเพิ่งคิดถึงเจ้าตัวนี้ ทันใดนั้นเหล่าฉันก็พูดว่า “ มาแล้ว! ”

 

ระหว่างนั้น ทุกคนก็เริ่มหวาดระแวงทันที

 

ผมและเหล่าเฟิงที่สูบบุหรี่ รีบดับบุหรี่ทันที พวกเรามองไปที่พุ่มไม้อย่างเคร่งเครียด

 

ทันใดนั้น จิ้งจอกสีขาวเหลือง ก็ตรงออกมาจากพุ่มไม้

 

เมื่อเห็นจิ้งจอกสามตัว ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมาทันที

 

เมื่อมองจิ้งจอกสามตัวให้ละเอียด จะพบว่าหัวของจิ้งจอกสามตัวใหญ่กว่าจิ้งจอกธรรมดาเป็นเท่าตัว

 

จิ้งจอกตัวกลาง ดูค่อนข้างแก่แล้ว เพราะเคราของมันมีสีขาวทั้งหมด

 

ตอนที่พวกเรากําลังมองสํารวจจิ้งจอกสามตัว ทันใดนั้นจิ้งจอกทั้งสามตัวก็เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน

 

พวกเราเห็นพวกมันตัวสั่น ทั้งร่างแผ่ไอดำออกมาเล็กน้อย

 

แต่หลังจากที่ไอดําปรากฏขึ้น จิ้งจอกสามตัวก็ยกเท้าหน้าขึ้น เหมือนกับคนที่ยืนขึ้น

 

แต่มันยังไม่จบเท่านี้ ขณะที่พวกมันกําลังยืนขึ้น

 

ทันใดนั้น พวกมันก็ถูกไอดําคุ้มตัวเอาไว้ จนพวกเรามองไม่เห็นสถานการณ์ด้านใน

 

เมื่อเห็นฉากแปลกประหลาดแบบนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นแป๊บหนึ่ง

 

ส่วนอาจารย์และคนอื่นๆ ก็แสดงสีหน้าเคร่งเครียด พวกเขามองดูเงียบๆ และไม่ได้ทําอะไรทั้งสิ้น

 

หลังจากไอดําปรากฏออกมาไม่นาน ไอดําก็ห่อหุ้มเอาไว้แป็บเดียว ทันใดนั้นพวกมันก็ค่อยๆกระจายตัวออก

 

ในวินาทีที่ไอดํากระจายตัวออก พวกจิ้งจอกสามตัวก็ได้กลายร่างเป็นคนแล้ว

 

ผู้หญิงสองชายหนึ่ง คนที่ยืนขนาบข้างคือผู้หญิง

 

มองไปแล้วเธอเหมือนจะอายุ 17-18 ปี กลายร่างเป็นสาวน้อยหนึ่งคน

 

คิ้วโก่งเป็นคันศร หน้าตาสวยมาก สวมใส่เสื้อผ้าจากขนจิ้งจอก ดูเหมือนเธอจะไม่กลัวร้อนเลยสักนิด

 

ส่วนผู้หญิงอีกคนกลับเป็นคุณป้าคนหนึ่ง เธอสวมใส่เสื้อผ้าสุดเซ็กซี่ รูปร่างอวบมาก

 

แต่หน้าของเธอ กลับไม่เปลี่ยนแปลง มันยังคงเป็นหน้าของจิ้งจอก ดูแล้วน่าขนลุกมาก

 

ส่วนจิ้งจอกเฒ่าตรงกลาง ได้กลายเป็นตาแก่คนหนึ่ง ผมเป็นสีขาว แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับดูน่าหลงไหล มันส่งประกายแวววาวออกมา

 

ในเวลาเดียวกัน ตาแก่คนนั้นก็พูดกับพวกเราด้วยเสียงแหบต่ำ “ ลูกชายของข้าอยู่ที่ไหน !”

 

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูด ผมก็ตกใจจนได้สติกลับคืนมา

 

หลังจากนั้นก็จ้องอีกฝ่ายด้วยความเคร่งเครียด ตั้งสติ เตรียมรับการโจมตีในกรณีฉุกเฉิน

 

เหล่าฉินที่ถือโกศเอาไว้ไม่ลังเล ยื่นโกศออกมาตรงๆ “ นี่คือเถ้ากระดูกของลูกชายแก !”

 

เมื่อจิ้งจอกทั้งสามตัวได้ยินแบบนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

 

จิ้งจอกป้าและจิ้งจอกสาว ต่างอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเธอกําลังโกรธมาก

 

“ แกเผาสามีของฉัน ! ”

 

“ พ่อ ! ”

 

ขณะที่พูด ยัยป้าคนนั้นก็ยกมือขึ้น

 

เมื่อกี้ยังเป็นมือคนอยู่ แต่วินาทีนี้มันกลับเปลี่ยนเป็นกรงเล็บจิ้งจอก เหมือนเธอคิดจะใช้ความรุนแรง

 

และหญิงสาวที่อายุ 17-18 ปีคนนั้นก็แยกเขี้ยวออกมา เช่นกัน ใบหน้าดุร้าย เธอก็คิดจะลงมือเช่นกัน

 

อาจารย์ท่านนักพรตตู๋ เหล่าเฟิงและผมเห็นอีกฝ่ายจะโจมตี ในใจจึงหวาดกลัว รีบดึงดาบไม้ออกมาจากฝัก และตั้งท่าเตรียมพร้อม

 

บรรยากาศตึงเครียดทันที แต่ทันใดนั้นตาแก่ที่ยืนอยู่ตรงกลาง กลับตะโกนออกมาว่า “ ถอยไป ! ในเมื่อพวกเราลงมาจากเขาชูหม่าแล้ว ก็ต้องใช้เหตุผลก่อน”

 

หลังจากคําว่า “ ถอยไป” ดังขึ้น จิ้งจอกป้าและจิ้งจอกสาว ก็ไม่กล้าอวดดี พวกเธอถอยหลังไปอย่างเงียบๆ

 

เมื่อพวกเราได้ยินคําพูดนี้ ผมก็อึ้งไปทันที

 

นี่มันเรื่องอะไรกัน เมื่อคืนเขายังดุร้ายอยู่เลย ถึงกับเข้ามาฉีกคอของลุงหลิว แต่ตอนนี้กลับพูดว่าจะใช้เหตุผลเนี่ยนะ

 

สถานการณ์ของจิ้งจอกเฒ่าเป็นยังไงพวกเราไม่รู้ เขาและ พวกอาจารย์เห็นอีกฝ่ายหยุดลงมือ จึงเก็บดาบไม้ทันที

 

ในเมื่อต้องการคุยกัน งั้นพวกเราก็จะพูด แต่ถ้าใช้กําลังพวกเราก็ไม่กลัว

 

ตาแก่นั้นมองโกศในมือของเหล่าฉินอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นก็พูดว่า “ อย่าเพิ่งพูดจาเหลวไหล เอาลูกชายของข้าคืนมาเถอะ !”

 

แม้เหล่าฉินจะอารมณ์ไม่ดี แต่ก็ไม่อยากมีปัญหา

 

ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไร นําโกศวางลงกับพื้น จากนั้นก็ถอยออกมาสองก้าว

 

จิ้งจอกป้าและจิ้งจอกสาวเห็นการกระทํานี้ พวกเธอจึงรีบวิ่งเข้าไปหามันทันที

 

พวกเธอสูดดมโกศสองสามครั้ง หลังจากนั้นก็รีบเปิดมันออกทันที

 

หลังจากเห็นเถ้ากระดูกข้างในโกศ สีหน้าของจิ้งจอกสองตัวก็เปลี่ยนไปทันที วินาทีนั้นพวกเธอไม่สามารถระงับอารมณ์เอาไว้ได้ พวกเธออ้าปากกรีดร้องออกมาทันที มันเป็นเสียงที่อ่อนล้าและแหบแห้ง เห็นได้ชัดว่าพวกเธอรู้สึกโดดเดี่ยวและเสียใจสุดๆ

 

พวกเธอร้อง “ ฮือฮือฮือ ” ออกมาไม่หยุดจนนกในภูเขา ตื่นตกใจ มันดังไปไกลมาก

 

“ พวกแกมันโหดมาก หัวของพ่อลูกไหม้หมดแล้ว…” 

 

“ พ่อพ่อ พวกแกชั่วมาก! ฮือฮือฮือ…”

 

จากเสียงร้องของพวกเธอ เหมือนพวกจิ้งจอกจะไม่ต้องการให้เผาศพของพวกมัน เหมือนการเผาพวกเขาเป็นการดูหมิ่นคนตาย

 

แต่ไม่รอให้พวกเราได้อธิบายอย่างชัดเจน ทันใดนั้นสีหน้าของจิ้งจอกเฒ่าก็เปลี่ยนเป็นดุร้าย

 

ในเวลาเดียวกัน เขาก็ค่อยๆเงยหน้ามามองพวกเรา แววตาดุร้าย พร้อมพูดออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “ พวกแกทําลายเนื่อของลูกฉัน ทําลายหัวของลูกฉัน ! แค้น แค้นนี้ พวกเราจะต้องมาคิดบัญชีกัน…”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset