ศพ – ตอนที่ 213 ไม่มีเหตุผล

ตอนที่ 213 ไม่มีเหตุผล

 

ตั้งแต่เห็นจิ้งจอกเฒ่าปรากฏตัว ท่าทีของมันก็ “ สงบ ” มาโดยตลอด

 

แม้แต่เมื่อกี้มันก็ยังห้ามจิ้งจอกทั้งสองตัวไม่ให้โจมตีพวกเราอยู่เลย ผมคิดว่า จิ้งจอกเฒ่าตัวนี้อาจไม่ดุร้ายเหมือนกับที่พวกเราจินตานาการเอาไว้

 

ถ้าเป็นแบบนี้ งั้นพวกเราก็คงใช้เหตุผลคุยกันด้วยดีจัดการเรื่องนี้ได้

 

เมื่อพวกเรานําเถ้ากระดูกของลูกชายคืนเขา จิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ก็คงขอโทษ และอธิบายให้พวกเราฟัง

 

ถ้าเป็นแบบนั้นเรื่องการบาดเจ็บของลุงหลิว ก็อาจถือว่าจบลงได้

 

เพราะมู่หลงเหยียนบอกเอาไว้ว่า เจ้าหมอนี้มีคนหนุนหลัง เขามีอํานาจ หรือเรียกว่ามีชู่หม่าเซียนคอยขี่ม้าขาวมาช่วย พวกเราเองก็ไม่อยากทําให้เป็นเรื่องใหญ่ สามารถไกล่เกลี่ยได้ถือว่าดี

 

ดังนั้น ถ้าท่าทีของอีกฝ่ายไม่เลว ยอมรับผิดเรื่องลุงหลิวกับพวกเรา อธิบายในสิ่งที่ทํา นอกเหนือจากนั้นพวกเราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากเขาแล้ว

 

แบบนี้ พวกเราก็จะได้ไว้หน้าเขาและไม่ต้องรู้สึกอึดอัดใจ

 

เรื่องนี้จะได้ถือว่าจบลง ในอนาคตพวกเราสองฝ่ายจะได้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน ต่างคนต่างอยู่

 

แต่ ใครจะไปคิดได้

 

หลังจากพวกเราคืนเถ้ากระดูกกลับไป ยังไม่รอให้อีกฝ่ายได้อธิบายและขอโทษพวกเรา ทันใดนั้นสถานการณ์กลับพลิกมาเป็นแบบนี้ อีกฝ่ายกลับกลายมาเป็นคนถามพวกเราแทนและพูดว่าจะคิดบัญชีกับพวกเรา

 

ในบรรดาตาแก่สามคนเหล่าฉิน เป็นคนที่มีนิสัยหัวร้อนที่สุด

 

บวกกับลุงหลิวไปเก็บศพกับเขา แต่สุดท้ายกลับถูกจิ้งจอกเฒ่าทําร้าย ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเป็นความ

 

ตอนนี้เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย เขาจึงระเบิดออกมาทันที

 

เขาแสดงสีหน้าเคร่งขรึม และพูดออกมาตรงๆ “ หมายความว่ายังไง”

 

ในน้ำเสียงบ่งบอกว่า เหล่าฉินกําลังโมโหสุดๆ เขาถึงกับดึงดาบไม้ออกมาช้าๆ เห็นได้ชัดว่าเขาคิดจะลงมือแล้ว 

 

เจ้าจิ้งจอกเฒ่าก็ไม่กลัว เขาพูด ฮึ อย่างเย็นชา “ หมายความว่าอะไรงั้นเหรอ ศพของลูกชายข้าคงถูกพวกเจ้าเผาใช่ไหม หัวของลูกชายของข้าถูกพวกเจ้าทําลาย ในเมื่อเป็นแบบนั้น งั้นพวกแกก็ต้องชดใช้ให้พวกเรา….”

 

ชดใช้ เจ้าจิ้งจอกเฒ่านั้นสั่งให้พวกเราชดใช้ เขาเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า

 

อย่าว่าแต่ผมทนฟังไม่ได้เลย แม้แต่เฟิงเฉ่วหานที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ก็ยังแสดงสีหน้าเคร่งขรึม

 

เหล่าฉินด่าออกมาทันที “ ไปเกิดใหม่ไป๊ ! เดรัจฉานอย่างแกทําร้ายเพื่อนฉันบาดเจ็บ ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีกับแกเลย แกยังมีหน้ามากล้าสังให้พวกเราชดใช้อีกเหรอฮะ ”

 

“ ไอ้แก่ พูดให้มันดีๆหน่อย !” จู่ๆจิ้งจองป้าที่อยู่ข้างๆ ก็ชี้หน้าเหล่าฉิน

 

เมื่ออาจารย์เห็นแบบนั้น เขาก็เดินขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว “ ทําไมฮะ แกจะฆ่าพวกเราเหรอ ”

 

“ ฮึ! ใครกลัวพวกแกละ !” จิ้งจอกป้าพูดต่อ

 

ขณะที่พูดบรรยากาศก็เกือบมาถึงจุดสิ้นสุด สถานการณ์ตึงเครียดมาก

 

แต่ท่านนักพรตตู๋กลับอดกลั้นอารมณ์เอาไว้ ตอนนี้เขาเอื้อมมือไปจับอาจารย์และเหล่าฉินไว้ “ เหล่าติง ศิษย์พี่ ฉันอยากรู้จริงๆ ไอ้จิ้งจอกนั้นมันจะหน้าด้านไปถึงไหน ฉันอยากจะรู้ว่า มันต้องการอะไร !”

 

จิ้งจอกเฒ่ามองท่านนักพรตตู๋อย่างเย็นชา แต่ก็ไม่พูดจาไร้สาระ เขาพูดออกมาตรงๆ “ เนื้อในร่างของของลูกของข้าถูกทําลาย หัวก็ไม่มีชิ้นดี ตามประเพณีของจิ้งจอก ร่างกายที่เสียหายแบบนี้ จะเข้าศาลบรรพชนไม่ได้ และฝังที่หุบเขาจิ้งจอกไม่ได้ ! แต่เห็นแก่ที่พวกแกอาจไม่ได้ตั้งใจ พวกเราเองก็ลงมาจากภูเขาชู่หม่าแล้ว ดังนั้นข้าจะไม่เอาชีวิตของพวกแก..”

 

พวกเราแสดงสีหน้าเคร่งขรึม จ้องจิ้งจอกเฒ่าอย่างเงียบๆ

 

เมื่อจิ้งจอกเฒ่าพูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดไปแป๊บหนึ่ง หลังจากนั้นก็พูดต่อ “ ดังนั้น พวกแกต้องชดใช้เอาอายุไขให้พวกเรา 20 ปี ในเวลาเดียวกันยังต้องไว้อาลัยให้ลูกชายของข้าสามปี ! เรื่องนี้ถึงจะจบ ถ้าไม่อย่างนั้น พวกแกก็ต้องเห็นเลือด ! ”

 

เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย จิ้งจอกเฒ่าก็แสดงแววตาดุร้าย จ้องพวกเราราวกับพร้อมที่จะฆ่า

 

แต่หลังจากผมฟังคําพูดพวกนี้จบ ผมก็คิดว่ามันไม่มีเหตุผลเลยสักนิด

 

เรื่องประเพณีของจิ้งจอกไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราเลยสักนิด และตอนที่ลูกชายของแกตายมันก็เห็นชัดๆว่าเป็น “ ศพคน ” แล้วใครหน้าไหนจะไปรู้ละว่าเขาเป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง

 

อีกอย่างลูกชายของเขาก็ยังมาตายที่หมู่บ้านของมนุษย์ ในฐานะที่เหล่าฉินเป็นสัปเหร่อเขาก็ต้องเก็บศพ ตามหลักของพวกเราพอนําศพกลับมาแล้วก็ต้องเผา ไม่อย่างนั้นมันจะส่งกลิ่นเหม็น

 

นอกจากนี้ อายุไข 20 ปี เป็นเรื่องที่จะเอามาพูดเล่นๆได้เหรอ

 

ชีวิตของคนคนหนึ่ง มีเวลายี่สิบปีเหลือเยอะเหรอ

 

ถ้าให้พวกจิ้งจอกนี่กินอายุไข 20 ปี งั้นพวกเรายังอยู่ได้กับผีนะซิ

 

แต่สิ่งที่ทุเรศยิ่งกว่านั้นคือ เขายังสั่งพวกเราให้ไปไว้อาลัยให้จิ้งจอกที่ตายไป นั้นมันเรื่องตลกชัดๆ

 

ไม่ใช่ทั้งญาติและเพื่อน แค่สัตว์ตัวหนึ่ง ยังกล้าสั่งให้พวกเราไว้อาลัย มันจะเพ้อเจ้อไปไหน

 

ผลลัพธ์เสียงของจิ้งจอกเฒ่าเพิ่งเงียบลง ทันใดนั้นอาจารย์ ท่านนักพรตตู๋และเหล่าฉิน ทุกคนต่างพร้อมใจพูดว่า “ เป็นไปไม่ได้ !”

 

“ เป็นไปไม่ได้งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้น พวกแกก็ไม่เห็นด้วยซินะ ” จิ้งจอกเฒ่าพูดออกมาอีกครั้ง ขณะที่พูดร่างกายของ เขายังส่งกลิ่นแปลกๆออกมา

 

กลิ่นแบบนั้นไม่เหมือนกับพลังหยินและพลังชั่วร้าย แต่เป็นพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง พลังปีศาจที่เป็นเอกลักษณ์

 

ขณะที่พลังปีศาจปรากฏขึ้น เพียงเสี้ยววินาทีนั้น มือของจิ้งจอกเฒ่าที่เป็นหัวโจ๊กก็เปลี่ยนไป

 

ตอนนี้พวกมันมีขนสีขาวเหลืองงอกออกมา ขณะที่ขนพวกนั้นกําลังยาวออกมา มือคนที่พวกเราเห็นกลับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดมือทั้งสองข้างของเขาก็กลายกุ้งเท้าของจิ้งจอก

 

เขี้ยวที่อยู่ในปาก ตอนนี้มันก็งอกยาวออกมาแล้ว

 

“ ไอ้สัตว์เดรัจฉานนี้อวดดีนัก คืนนี้ต้องทําให้มันเห็นดี !” เหล่าฉินระเบิดความโมโหออกมา เขายกดาบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มองไปที่จิ้งจอกเฒ่าและเข้าไปจู่โจมเขาทันที

 

อาจารย์และท่านนักพรตตู๋เห็นแบบนั้น จึงไม่ลังเล เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังคุยได้กับผีนะซิ แค่ลงมือก็จบแล้ว

 

ถึงที่มาของอีกฝ่ายจะน่ากลัว เบื้องหลังมีรังจิ้งจอกคอยสนับสนุน แต่พวกเราก็ต้องทําให้สัตว์เดรัจฉานพวกนี้รู้ว่าพวกเราก็ไม่ใช่คนที่รังแกได้ง่ายๆ

 

ดังนั้น ผมและเพิ่งเฉ่วหานที่ยืนอยู่ข้างหลังจึงไม่ลังเล รีบยกดาบไม้ขึ้นและพุ่งเข้าไปทันที

 

อีกฝ่ายเห็นพวกเราลงมือ พวกเขาจึงแผดเสียงกรีดร้องของจิ้งจอกออกมา จากนั้นก็เข้ามารับปะทะทันที

 

ในชั่วพริบตา พวกเรา 8 คน ก็เริ่มสู้กันเป็นวงกลม

 

พวกเราสู้ 5 ต่อ 3 ได้เปรียบเรื่องกําลังคน

 

แต่หลังจากปะทะกันพวกเราถึงรู้ว่า สัตว์เดรัจฉานสามตัวนี้มีฝีมืออยู่บ้าง โดยเฉพาะจิ้งจอกเฒ่าที่เป็นผู้นํา

 

เขาร้ายกาจเป็นพิเศษ แม้แต่ท่านนักพรตต์ อาจารย์ และเหล่าฉินที่กําลังสู้สามรุนหนึ่ง ก็ยังทําได้แค่สูสีกัน

 

ผมและเฟิงเฉ่วหาน เผชิญหน้ากับจิ้งจอกคนละตัว

 

คู่ต่อสู้ของผมคือจิ้งจอกสาวที่กลายร่างเป็นคน ส่วนคู่ต่อสู้ของเฟิงเฉ่วหานคือจิ้งจอกป้า

 

พลังของจิ้งจอกสองตัวนี้ไม่สูงมาก นอกจากจะเคลื่อนไหวว่องไว ลงมือโหดเหี้ยมแล้ว เพียงใช้แค่พลังเปรียบเทียบ ก็ไม่ต่างจากพวกเรามากนัก หรือจะพูดว่าพลังพอๆกัน

 

ตอนนี้จิ้งจอกที่ต่อสู้กับผม ได้ทําท่าคลานอยู่บนพื้นเงยหัวขึ้น เผยสีหน้าดุร้าย เต็มไปด้วยสัญชาตญาณสัตว์ป่า

 

ผมได้ยินเพียงเสียงคําราม ทันใดนั้นจิ้งจอกตัวนั้นก็กระโดดเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็รีบแกว่งดาบออกไปอย่างรวดเร็ว

 

แต่การกระทําของอีกฝ่ายเร็วมาก มือข้างหนึ่งของเธอปัดดาบไม้ของผม

 

การตอบสนองที่รีบร้อนของผม ทําให้จับดาบไม้เอาไว้ไม่อยู่ วินาทีนั้นมันลอยออกไปทันที

 

ส่วนจิ้งจอกตัวนั้น ก็ชนผมจนกลิ้งกระแทกกับพื้น ในวินาทีนั้นเช่นกัน

 

ในเวลาเดียวกัน ผมก็ได้ยินจิ้งจอกตัวนั้นพูดด้วยน้ำเสียงโมโห “ ไปตายซะไอ้พวกมนุษย์ !”

 

หลังจากพูดจบ จิ้งจอกตัวนั้นก็อ้าปากอย่างรวดเร็ว เธอคิดจะกัดผมให้ตาย

 

ถึงผมจะโดนกดอยู่กับพื้น แต่ไม่ได้สูญเสียความสามารถในการต่อต้าน ผมออกแรงที่ใต้เอว ใช้มือสองข้างดันหลังของจิ้งจอกอย่างแรง

 

จิ้งจอกตัวนั้นกลิ้งไปข้างหน้า ในเวลาเดียวกันผมก็รีบลุกขึ้นยืน หมุนตัววิ่งไปทางเธอ และจับเธอกดเอาไว้ทันที

 

ผมไม่ได้ลังเล หยิบยันต์สะกดพลังชั่วร้ายออกมาหนึ่งแผ่นเล็งไปที่หน้าผากของจิ้งจอก จากนั้นก็เอื้อมมือไปแปะอย่างรวดเร็ว

 

“ คิดจะดื่มเลือดฉันงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset