ศพ – ตอนที่ 222 ส่งแขก

ตอนที่ 222 ส่งแขก

 

หลังจากมู่หลงเหยียนพูดแบบนั้นออกมา เสียงของเธอเพิ่งเงียบลง ใบหน้าของเย่เฟิงคุณชายที่ยิ้มแย้มตลอด และมั่นใจในตัวเองเมื่อก่อนหน้านี้ กลับนิ่งอึ้งไปในทันที

 

ไม่ใช่แค่นั้น แม้แต่ผมที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวใจก็ยังอดไม่ได้ที่จะมีเสียงดัง “ ตึก ”

 

ความบอกไม่ถูกเกิดขึ้นในใจ ไม่รู้เป็นอะไรไป ตอนที่มู่หลงเหยียนพูดว่า “ เขาคือสามีของฉัน” ประโยคนี้ ในใจของผมกลับรู้สึกมีความสุขสุดๆ

 

เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นเพียงพึ่งพาอาศัยซี่งกันและกันเท่านั้น ไม่มีความรู้สึกใดๆ แถมยัยผีนี่ยังไม่อยากเจอผมด้วยซ้ํา ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังชอบแกล้ง ชอบรังแกผมเป็นประจํา

 

ผมหันไปมองมู่หลงเหยียนช้าๆ กลับพบว่าตอนนี้เธอแสดงสีหน้าจริงจัง จ้องหน้าเย่เฟิงตาไม่กระพริบ

 

หลังจากเย่เฟิงนิ่งอยู่สักพัก เขาก็กลับมาได้สติอีกครั้ง

 

เขายังคงพูดกับมู่หลงเหยียนด้วยรอยยิ้ม “ แม่นางมู่หลง เรื่องอื่นผมไม่สนใจ และไม่อยากรู้ด้วย แม่นางคิดให้ดีๆนะ นี่คือหญ้าจื่อหยินที่ช่วยเพิ่มอายุไขให้แม่นางอยู่ได้อีก 80 ปีเลยนะ เท่าที่ผมรู้อายุของแม่นางเหลือไม่ถึง 3 ปีแล้วใช่ไหม ?

 

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

 

เย่เฟิงพูดถูกแล้ว มู่หลงเหยียนไม่มีที่มาวิญญาณ ช่วงเวลา ครบ 50 ปีของเธอใกล้มาถึงอีกแล้ว

 

ถ้ายังตามหาที่มาวิญญาณกลับมาไม่ได้ ก็ยังสามารถให้หญ้าพิเศษเพิ่มอายุไข ถ้าไม่ทําแบบนั้น มู่หลงเหยียนก็รอวันที่วิญญาณจะแตกสลายได้เลย

 

แต่มู่หลงเหยียนกลับเหมือนไม่สนใจ เธอไม่ลังเลเลยสักนิด “ คุณชายเย่ เรื่องของฉัน ฉันจะแก้ไขเอง

 

หญ้าจื่อหยินของคุณต้นนี้ล้ําค่าเกินไป เชิญนํากลับไปเถอะค่ะ ! ”

 

หลังจากพูดจบ มู่หลงเหยียนก็หันไปมองนอกลาน “ ยาย ส่งแขก ! ”

 

เมื่อเสียงของเธอดังขึ้น เย่เฟิงก็นั่งไม่ติด รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าจางหายไปในทันที

 

เขาคิดว่า หญ้าจื่อหยินต้นนี้จะต้องทําให้มู่หลงเหยียนตกลง

 

แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะไม่ทําให้มู่หลงเหยียนหวั่นไหวเลยสักนิด สิ่งสําคัญยิ่งกว่านั้นคือ เธอยังพูดกับเขาด้วยน้ําเสียงจริงจัง ฉันคือสามีในอนาคตของเธอนะ นี่ทําให้เย่เฟิงซึ่งหลงรักมู่หลงเหยียนมาหลายสิบปีแทบระเบิดออกมา

 

ผลลัพธ์เย่เฟิงยังไม่ได้พูด ผีชุดดําที่ถือกล่องไม้เห็นคุณชายของตัวเองกําลังหึง เขาจึงอารมณ์เสีย อยากจะพูดแทนคุณชายขึ้นมาทันที

 

เขาตะคอกใส่มู่หลงเหยียนว่า “ พูดกันดีๆไม่ชอบชอบให้ใช้กําลังใช่ไหมฮะ เธอคิดให้ดีๆนะว่าคุณชายของฉันนั้นสูงส่งขนาดไหน เป็นเกียรติกับเธอขนาดไหนแล้ว ที่คุณชายของฉันมาชอบเธอนะ..”

 

เมื่อเห็นผีลูกกระจ๊อกทําตัวอวดดีอยู่ข้างๆ ผมก็คิดจะสั่งสอนทันที

 

ใครสนว่าแกเป็นใครมาจากไหนละ กล้ามาเล่นบันหัวพวกเรา ถึงเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ฉันก็ไม่กลัว

 

ผลลัพธ์ผมยังไม่ได้ลงมือ เย่เฟิงกลับไม่ลังเล เขาพลิกฝ่ามือตบผีตนนั้น

 

“ เพี้ยะ ” ผีตนนั้นล้มกลิ้งลงบนพื้นทันที

 

“ พูดแบบนั้นกับแม่นางมู่หลงได้ยังไง ในเมื่อวันนี้แม่นางมู่หลงไม่อยากต้อนรับพวกเรา พวกเราแค่ออกไป จําไว้ สุนัขรับใช้อย่างเจ้าไม่มีสิทธิพูด”

 

ผีชุดดําที่ถูกตบหน้าไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา “ ปึก ” เขาคุกเข่าลงกับพื้น ก้มหัวขอโทษอย่างต่อเนื่อง “ ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยผิดไปแล้ว ขอให้แม่นางยกโทษให้ด้วย ขอให้แม่นางยกโทษ…”

 

มู่หลงเหยียนกวาดสายตามองผีตนนั้น แต่เธอขี้เกียจพูดแล้ว

 

เย่เฟิงเห็นมู่หลงเหยียนเงียบ เขาจึงพูดว่า “ ยังไม่ใสหัวออกไปอีก !”

 

“ ขอรับขอรับขอรับ… ” ผีชุดดํากระวนกระวาย เขาถือกล่องหญ้าจื่อหยินไว้อย่างดี จากนั้นก็รีบถอยออกไปทันที

 

ในเวลาเดียวกัน ยายโม่ก็ถือไม้เท้าหัวมังกรเดินเข้ามา

 

เธอคารวะผมและมู่หลงเหยียนก่อน “ คุณหนู คุณผู้ชาย !

 

หลังจากพูดจบ ยายโม่ก็หันไปมองเย่เฟิง เธอพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ คุณชายเย่ เชิญเจ้าค่ะ !”

 

เย่เฟิงเห็นพวกเราส่งแขก เขาเองก็ไม่สามารถอยู่ต่อได้

 

เขาจึงฝืนยิ้มเล็กน้อย “ แม่นางมู่หลง สักวันแม่นางจะต้องเต็มใจแต่งงานกับข้า ! ข้าขอตัวกลับก่อน”

 

หลังจากพูดจบ เย่เฟิงก็หมุนตัวเดินออกไปทันที

 

แต่ขณะที่เขาหมุนตัว เขายังกลับกวาดตามองผม เหยียดยิ้ม สายตาเต็มไปด้วยความเย็นชา

 

ผมเข้าใจทันที เจ้าหมอนี้ต้องการจําหน้าผมเอาไว้ ไม่แน่ ในอนาคตเมื่อพวกเราได้กลับมาพบกันอีกครั้ง เขาอาจเป็นตัวปัญหาของผมก็ได้

 

ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เมื่อกี้ผมยังดึงคอเสื้อเขา พูดจาหาเรื่อง แต่ผมกลับไม่ได้เสียใจเลยสักนิด

 

หลังจากเย่เฟิงออกไป ผีชุดดําหลายสิบตนก็เดินออกไปจากลานบ้าน จากนั้นร่างของเขาก็หายไปทันที

 

เมื่อเห็นเย่เฟิงออกไป ผมก็อดไม่ได้ที่จะพูดจาเย็นชา “ โอหังจริงๆ”

 

มู่หลงเหยียนกรอกตาใส่ผม “ เจ้ากาก วันนี้ทําให้เย่เฟิงไม่พอใจ วันข้างหน้านายต้องระวังตัวให้ดี ไม่แน่เขาอาจบุกไปหาเรื่องนายถึงบ้านก็ได้ !”

 

“ มาก็มาซิ ฉันต้องกลัวเขารึไง !” ผมพูดตรงๆ ตอนนี้ผมละอยากสั่งสอนเจ้าหมอนั้นด้วยซ้ํา

 

มู่หลงเหยียนกลับหัวเราะเบาๆ “ ไม่กลัวตายจริงๆ ใน โลกของวิญญาณ มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะกล้าไปกระชากเสื้อของเย่เฟิง นายได้เป็นหนึ่งในนั้นแล้ว !”

 

เมื่อได้ยินมู่หลงเหยียนพูดแบบนั้น ผมก็อึ้งในทันที เจ้าหมอนั้นร้ายกาจขนาดนั้นเลยเหรอ

 

ดังนั้นผมจึงถามมู่หลงเหยียนว่า “ น้องศพ เจ้าหมอนี่เป็นใครกันแน่ เธอชอบพูดว่าห้ามทําให้เขาไม่พอใจ ทําไมถึงทําให้เจ้าหมอนี้ไม่พอใจไม่ได้ละ ”

 

มู่หลงเหยียนหันมามองผม เธอส่ายหัวไปมา “ ชิ่งเถอะ ! นายไม่ต้องถามแล้ว พอถึงเวลาฉันจะบอกให้นายรู้เอง !”

 

แม้ในใจจะยังอยากถามต่อ แต่ผมเข้าใจ เมื่อมู่หลงเหยียนไม่อยากพูด และมันยังเกี่ยวกับผีในโลกวิญญาณ บางทีความสามารถในตอนนี้ของผม คงยังไม่ถึงระดับนั้นละมั้ง

 

ดังนั้นเมื่อคําพูดจะหลุดจากปาก ผมก็กลืนมันลงไปอีกครั้ง

 

ผมมองไก่เหลืองที่อยู่ใกล้ๆแล้วพูดว่า “ เจ้าหมอนั้นก็ไปแล้ว แล้วเธอจะจัดการไก่สองตัวนี้ยังไงล่ะ”

 

ก่อนมาผมเข้าใจดี ว่าไก่สองตัวนี้จะต้องใช้ต้อนรับเย่เฟิง

 

แต่ใครจะรู้เย่เฟิงเพิ่งเข้าประเด็น เขาก็พูดถึงเรื่องนั้น ดังนั้นไก่สองตัวนี้จึงยังอยู่ที่นี่

 

มู่หลงเหยียนมองไก่เหลืองในกระเป๋า จากนั้นก็พูดว่า “งั้นก็เอาไปให้เซียนจิ้งจอก !”

 

“ เซียนจิ้งจอก ” ผมทําหน้าสงสัย

 

มู่หลงเหยียนพยักหน้า “ ก็เซียนจิ้งจอกที่ช่วยนายเอาไว้

 

หลังจากพูดจบ เธอก็หยิบกล่องออกมา

 

เมื่อเห็นกล่องใบนั้น ผมก็อึ้งทันที “ นางพญาจิ้งจองตัวนั้นเหรอ”

 

มู่หลงเหยียนยิ้มออกมาเล็กน้อย “ ใช่ คิดไม่ถึงว่านายจะรู้ฐานะของเธอเร็วขนาดนี้ !”

 

ผมตกใจในใจ ใช่จริงๆ มู่หลงเหยียนกับนางพญาจิ้งจอกเกี่ยวข้องกัน

 

ถึงว่าหลงเหยียนเลยให้กล่องผม มันสามารถติดต่อกับนางพญาจิ้งจอกได้ ทําให้พวกจิ้งจอกเฒ่าสามตัวตกใจ ช่วยเราให้หลุดพ้นจากอันตราย

 

ผมกลืนน้ําลาย จากนั้นก็พูดกับมู่หลงเหยียนว่า “ น้องศพ นางพญาจิ้งจอกตัวนั้นเป็นอะไรกับเธอเหรอ แล้วก็อาจารย์ของฉันและท่านนักพรตก็บอกว่ากล่องนี้เป็นสมบัติมีค่า มีวงเวทย์แปลกๆเยอะแยะมากมาย เธอเป็นคนสลักเองเหรอ ?

 

เมื่อมู่หลงเหยียนได้ยิน เธอกลับส่ายหัว “ ฉันทําเรื่องยากๆแบบนั้นเป็นที่ไหนละ กล่องใบนี้เซียนจิ้งจอกให้ฉันมา ตอนนั้นฉันเคยช่วยชีวิตจิ้งจอกบนเขาสองสามตัว เพื่อตอบแทนฉัน เซียนจิ้งจอกเลยให้กล่องใบนี้มา กล่องนี้สามารถใช้ได้สามครั้ง ไม่ว่าจะไกลขนาดไหน เมื่อเปิดออกแล้ว มันก็จะทํางานเรียกดวงจิตเซียนจิ้งจอกด้วยตัวเอง ! ”

 

เป็นของล้ําค่าอย่างที่คิดไว้จริงๆ ไม่ว่าจะไกลแค่ไหนก็สามารถติดต่อกับจิตนางพญาได้

 

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนหยิบกล่องออกมาอีกครั้ง ผมก็พูดด้วยความสงสัย “ งั้นขั้นต่อไปพวกเราต้องทํายังไง คงไม่ใช่เปิดกล่องไหว้เธอหรอกนะ”

 

“ ปัญญาอ่อน ไม่ใช่อยู่แล้วละ อีกเดี๋ยวพวกเราจะใช้กล่องนี้ ตั้งไว้บนแท่นบูชาอัญเชิญเซียนจิ้งจอกมา…”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset