ศพ – ตอนที่ 223 ใบหน้าที่แท้จริงของนางพญาจิ้งจอก

ตอนที่ 223 ใบหน้าที่แท้จริงของนางพญาจิ้งจอก

 

เมื่อได้ยินมู่หลงเหยียนพูดแบบนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะถอน หายใจออกมา

 

แบบนี้ดีที่สุด ถ้าไม่อย่างนั้นโอกาสเรียกนางพญาจิ้งจอกครั้งสุดท้าย ก็จะหายไปโดยเปล่าประโยชน์

 

“ ก็ดี งั้นพวกเรามาเริ่มเลยเถอะ !” ผมพูดกับมู่หลงเหยียน

 

มู่หลงเหยียนเองก็ไม่พูดจาไร้สาระ เธอตอบ “ อื่ม ” ทันที หลังจากนั้นก็เริ่มสร้างโต๊ะบูชา

 

สําหรับนางพญาจิ้งจอกตัวนี้ ที่จริงผมไม่อยากรู้เรื่องเธอเท่าไหร่

 

เธอเป็นถึงนางพญาในหมู่จิ้งจอก ก็น่าจะเป็นจิ้งจอกเฒ่า ที่มีอายุอยู่มาหลายร้อยหลายพันปี พลังก็คงเยอะมาก

 

ถ้ามู่หลงเหยัยนเรียกจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้มาได้จริงๆ ได้เห็นรูปร่างหน้าตาของจิ้งจอกเฒ่า ผมก็คงได้มีมุมมองใหม่ๆอีกครั้ง

 

โต๊ะบูชาของมู่หลงเหยียนไม่ซับซ้อน ผ่านไปไม่นานเธอก็ทําเสร็จ

 

หลังวางกล่องบนโต๊ะบูชาเสร็จ มู่หลงเหยียนก็ให้ผมเอาไก่ เหลืองออกมา วางพวกมันหน้าโต๊ะบูชาทําเป็นของเซ่นไหว้

 

ผมรีบลงมือ ทําตามที่มู่หลงเหยียนพูดทันที

 

หลังจากทําเรื่องพวกนี้เสร็จ ผมก็ยืนอยู่ด้านข้าง มองดูมู่หลงเหยียนทําพิธี

 

พลังของมู่หลงเหยียนเยอะมาก วิธีทําพิธีก็แตกต่างจากพวกเราคนปราบสิ่งชั่วร้าย ไม่จุดธูปไม่เผายันต์

 

นิ้วของเธอเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา แถมเร็วสุดๆ เร็วจนผมมองตามไม่ทัน และยังมีบางกระบวนท่าที่ผมยังไม่เคยเห็นมาก่อน

 

นอกจากนี้ ปากของมู่หลงเหยียนยังท่องคาถาอะไรอยู่สักอย่าง

 

กระบวนการนี้ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีกว่าๆ ทันใดนั้นมู่หลงเหยียนก็พูดกับผมว่า “ ติงฝาน หยดเลือดลงบนกล่อง ฉันจะใช้เลือดของนายอัญเชิญเซียนจิ้งจอกลงจากเขา!”

 

ผมเงียบไปแป๊บหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา

 

ในพิธีกรรมมากมาย ล้วนใช้แค่หยดเลือดหรือเลือดจํานวนมากทั้งนั้น

 

มู่หลงเหยียนเป็นผี ไม่มีร่างกาย จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่มีเลือดให้ใช้ทําพิธี

 

ดังนั้นผมจึงมาด้านหน้าโต๊ะบูชา เฉือนนิ้วของตัวเอง แล้วหยดเลือดลงบนกล่อง

 

ทันใดนั้น มู่หลงเหยียนก็เปลี่ยนกระบวนท่าทํามืออีกครั้ง

 

หลังจากพูดจบ มือทั้งสองข้างก็ประสานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว “ อัญเชิญ !”

 

มู่หลงเหยียนพูดเสียงดังฟังชัด จนสะท้อนไปทั่วบ้านผี

 

ขณะที่เสียงสะท้อนดังขึ้น ทันใดนั้นเลือดที่ผมหยดลงไปบนกล่องไม้ ก็ระเหยกลายเป็นไอ

 

เมื่อเลือดระเหย ทันใดนั้นรอบๆที่เคยเงียบสงบ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง

 

จู่ๆก็มีลมเย็นพัดเข้ามา ขณะที่ลมเย็นปรากฏขึ้น อุณหภูมิรอบๆที่เคยอบอุ่นก็ลดลงมาหลายองศา

 

และต้นไม้ที่อยู่รอบๆ ยังเริ่มพัดไปมา ส่งเสียง “ แซ่แซ่แซ่แซ่”

 

ไม่ใช่แค่นี้ ไก่สองตัวที่อยู่บนพื้น ในเวลานี้มันกลับตื่นตัวขึ้นอย่างกระทันหัน มันยืดคอตั้งตรงส่งเสียง “ กระต๊ากก ระต๊ากกระต๊าก ” ออกมา

 

ผมขมวดคิ้ว หันไปมองรอบๆทันที

 

แต่มือของมู่หลงเหยียนยังไม่คลายออก ปากยังคงท่องอะไรบางอย่างอยู่ เธอน่าจะยังทําพิธีอยู่

 

หลังจากนั้นประมาณ 3 นาที ฉากแปลกประหลาดก็เกิด

 

ดูเหมือนกล่องไม้ที่เก่าและทรุดโทรมใบนั้น จะมีสีสดใสขึ้นมาทันตา ในเวลานี้กล่องไม้สีดําได้คายไอสีขาวออกมา

 

ขณะที่ไอสีขาวเกิดขึ้น ไก่ที่อยู่หน้าโต๊ะบูชา ก็กางปีกบินขี้นทันที

 

มันกระพือปีกบินพับๆ ส่งเสียงร้อง “ กระต๊าก…” ด้วยความหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าพวกมันกําลังกลัวมาก

 

หลังจากไอสีขาวออกมา มันก็ค่อยๆรวมตัวกลายเป็นร่างคนตรงหน้าผมและมู่หลงเหยียน

 

ร่างคนเลือนลางมาก มองเห็นไม่ชัดเลยสักนิด

 

แต่หลังจากที่ร่างนี้ปรากฏขึ้น มู่หลงเหยียนก็แสดงหน้าตาตื่นตกใจ รีบตะโกนด้วยความดีใจ

 

“ เหยียนเอ๋อร์คารวะเซียนจิ้งจอก! ”

 

เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนพูดแบบนั้น ผมก็รู้ทันทีว่านี่คือร่าง ของนางพญาจิ้งจอก

่ ่

แม้จะไม่ใช่ร่างจริง แต่ก็เป็นดวงจิตของนางพญาจิ้งจอก

 

เป็นหนึ่งในปีศาจที่เก่าแก่บนโลก ไม่เพียงมีพลังสูงส่ง เธอยังเป็นปีศาจที่พวกเราห้ามผิดใจด้วยเด็ดขาด

 

เมื่อเห็นมู่หลงเหยียนพูดแบบนั้น ผมก็เลียนแบบเธอ มองร่างลางๆนั้นแล้วพูดว่า “ คารวะท่านเซียนจิ้งจอก!” 

 

หลังจากพูดจบ ผมก็ทํามือคารวะร่างนั้น แสดงให้เห็นถึงความเคารพ

 

หลังจากนั้น ร่างลางๆนั่นก็ค่อยๆชัดเจนขึ้น ในเวลาเดียวกันเธอก็พูดว่า “ ไม่ต้องมากพิธี เหยียนเอ๋อร์วันนี้เรียกข้ามา มีเรื่องอะไรรึเปล่า”

 

เสียงไพเราะ เหมือนกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

 

ก่อนหน้านี้ตอนเปิดกล่อง เสียงที่ดังมาจากในหมอกดํา มันแตกต่างกันราวกับคนละคน

 

และร่างกายนั้น ยังค่อยๆชัดเจนขึ้น ในที่สุดมันและรวมตัวกลายเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง

 

หลังจากที่ผมได้เห็นรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของอีกฝ่ายผมก็นิ่งอึ้งในทันที

 

ผมคิดว่านางพญาจิ้งจอก ในฐานะที่เป็นบอสของจิ้งจอก มันจะต้องมีพลังระดับร้อยปีหรือแม้แต่พันปี

 

ถึงจะแปลงกายเป็นคน มันก็น่าจะเป็นยายแก่คนหนึ่ง 

 

แต่ใครจะรู้ ผู้หญิงตรงหน้าของผม ไม่เพียงอ่อนเยาว์และงดงาม เธอยังเซ็กซี่ร้อนแรง

 

เธอสวมเสื้อแจ็คเก็ตขนจิ้งจอก กระโปรงสั้น เกาะอก ดูเย้ายวนสุดๆ

 

ผมอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้า นี่มัน…นี่มันไม่ค่อยเหมือนที่ผมจินตนาการเอาไว้เลยนะ

 

ขณะที่ผมกําลังตะลึง มู่หลงเหยียนที่อยู่ข้างๆกลับพูดด้วยความดีใจสุดๆ “ เซียนจิ้งจอก คุณมาแล้ว!”

 

ขณะที่พูด มู่หลงเหยียนก็เข้ามาหาเธอดูขี้เล่นมาก

 

นางพญาจิ้งจอกยิ้มออกมาเล็กน้อย เธอดูสนิทสนมกันมาก มีแม้แต่การใช้มือเกาจมูกหลงเหยียนด้วย

 

“ เจ้าเรียกข้า ข้าก็จะไม่มาได้ยังไง ว่ามา! เรียกข้ามามีเรื่องอะไร ! ”

 

มู่หลงเหยียนจับมือของนางพญาจิ้งจอกเอาไว้ จากนั้นก็หันมามองผม “ ติงฝานมานี่ซิ!”

 

“ อือ อือ! ” ผมรีบขานรับทันที จากนั้นก็เดินเข้าไป

 

มู่หลงเหยียนเห็นผมเดินเข้ามา เธอจึงหันไปพูดกับนางพญาจิ้งจอกว่า “ เซียนจิ้งจอก ฉันจะแนะนําให้คุณรู้จัก นี่คือสามีของฉัน ! ติงฝาน”

 

เมื่อได้ยินมู่หลงเหยียนแนะนํา ผมก็รีบยืนตรงแด่ว ทํามือคารวะนางพญาจิ้งจอกอย่างสุภาพ “ ติงฝาน ขอคารวะเซียนจิ้งจอก !”

 

ขณะที่พูด ผมก็โค้งคํานับ ไม่ว่าจะพูดยังไง ครั้งก่อนผมก็ได้นางพญาจิ้งจอกช่วยเอาไว้ การคํานับนี้ เป็นเรื่องที่สมควรทํา แล้วเธอก็ควรรับไว้

 

นางพญามองผมแป็บหนึ่ง ทันใดนั้นเธอก็เหมือนนึกอะไรออก “ ถึงว่า ข้าก็คิดอยู่ว่าทําไมครั้งที่แล้วเขาถึงเป็นคนเปิดกล่อง ที่แท้เจ้าก็แต่งงานแล้วนี้เอง !”

 

“ ใช่แล้วเซียนจิ้งจอก ได้ประมาณครึ่งปีแล้ว แต่ไม่ได้ไปเจอคุณเลย นี่ไม่ได้เรียกคุณให้มาดูหน้าสามีฉันเหรอ คือใช่ แล้วเซียนจิ้งจอก นี่เป็นของเซ่นไหว้ที่ฉันเตรียมไว้ เชิญเซียนจิ้งจอกเพลิดเพลินกับมันได้เลย !” ขณะที่มู่หลงเหยียนพูด เธอก็ชี้ไปที่ไก่บนพื้น

 

เมื่อนางพญาจิ้งจอกเห็นไก่ตัวอ้วนบนพื้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้า ดวงตาเปล่งประกาย กลืนน้ําลายอย่างต่อเนื่อง ราวกับกําลังหิวจัด

 

แน่นอน ไม่ว่านางพญาจิ้งจอกจะมีพลังสูงส่งเพียงไหน แต่ตั้งแต่กําเนิดเธอก็คือจิ้งจอกตัวหนึ่ง

 

เมื่อจิ้งจอกเห็นไก่ มันก็ห้ามสัญชาตญาณในสายเลือดไว้ ไม่อยู่

 

แต่เธอยังควบคุมตัวเองได้ หลังจากนั้นเธอก็ยิ้มให้มู่หลงเหยียนทันที “ เหยียนเอ๋อร์นี้รู้ใจข้าจริงๆ ทุกครั้งที่เจอเจ้า เจ้าก็มักเตรียมของกินดีๆให้ข้าตลอด ! ในเมื่อข้ามาแล้วงั้นข้าก็ไม่เกรงใจละนะ!”

 

หลังจากพูดจบ นางพญาจิ้งจอกก็หมุนตัว ภายในชั่วพริบตาใบหน้าของหญิงงามก็แปลเปลี่ยนเป็นจิ้งจอกสีขาว

 

เธอไม่รอช้า ร่างกายเร็วเหมือนแสง เธอมาปรากฏตัวตรงหน้าไก่ ใช้มือจับไว้ตัวละข้าง

 

ทันใดนั้นเธอก็อ้าปาก กัดที่คอไก่ตัวหนึ่ง ดื่มเลือดสดๆที่ไหลออกมาอย่างชื่นใจ

 

ไก่ตัวที่ถูกกัดคอ ดิ้นไปมาสองสามครั้ง ร้อง “ กระต๊ากๆ ” ออกมาไม่กี่ครั้งหลังจากก็แน่นิ่งไปในทันที

 

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset