ศพ – ตอนที่ 228 ขอให้ช่วยทํานาย

ตอนที่ 228 ขอให้ช่วยทํานาย

 

เมื่อทางฝั่งของหยางเฉ่วได้ยินผมพูดแบบนั้น เธอกลับไม่เชื่อผม กลับกันเธอยังทําเสียง “ เฮอะ ” ออกมา

 

“ พอเถอะน่า ! นางพญาจิ้งจอกอะไร นางพญาจิ้งจอกอยู่ในเขาตลอด จะมาเห็นนายได้ยังไง! แล้วยังอยากรับนายเป็นศิษย์อีก ” หยางเฉ่วหัวเราะอย่างมีความสุข

 

แต่ผมกลับทําหน้าหดหู “ ไม่เชื่อก็เรื่องของเธอ อีกสองวันเธอมาดูเองก็แล้วกัน ถึงเวลานั้นจะได้ดูให้เต็มสองตา!”

 

หยางเฉ่วเห็นผมพูดด้วยความมั่นใจอีกครั้ง เธอจึงหยุดหัวเราะ “ ติงฝาน ไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม”

 

“ เรื่องจริงซิ หรือเธอคิดว่าฉันจะหลอกเธองั้นเหรอ ” 

 

หยางเฉ่วส่งเสียงหายใจเข้าอย่างชัดเจน “ ถ้านี่เป็นเรื่องจริง งั้นนายก็โชคดีแล้วน่ะซิ ครั้งที่แล้วนายกับเฟิงเฉ่วหานไปทําให้จิ้งจอกเฒ่าตัวนึงไม่พอใจไม่ใช่เหรอ แล้วครั้งนี้ทําไมนายถึงได้เป็นชูหม่าละ แล้วยังเป็นถึงลูกศิษย์นางพญาจิ้งจอกอีก ”

 

สําหรับสาเหตุนั้น เป็นธรรมดาที่ผมจะบอกหยางเฉ่วไม่ได้ ผมสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาเรื่องหนึ่ง “ ตอนอาจารย์ฉันเป็นวัยรุ่นเขามีวาสนากับสํานักหอยู่บ้างน่ะ วันนั้นไม่ใช่เพราะจิ้งจอกเฒ่าทําร้ายลุงหลิวเหรอ ทางสํานักหูจึงรู้สึกผิดนิดหน่อย บวกกับพวกเขาอยากลงเขามาหาศิษย์พอดี ดังนั้นนางพญาจิ้งจอกเลยเลือกฉัน! คงพูดได้ว่าเป็นเพราะโชคล้วนๆนะ !”

 

เมื่อหยางเฉ่วได้ยินก็อึ้งแล้วอึ้งอีก เธอไม่สงสัยเลยสักนิด เธอพูดแค่ผมโคตรโชคดีเลย

 

และยังบอกว่าในอนาคตเมื่อได้สํานักพูดูแล พวกเราก็มีกองหนุนแล้ว ถ้าเจอองค์กรตาผีชั่วอีก พวกเราก็ไม่ต้องกลัวพวกมันแล้ว

 

หลังจากนั้น ผมก็คุยกับหยางเฉวอีกนิดหน่อย แล้วก็วางสาย

 

ผมสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เดินออกจากห้อง และไม่ได้คิดเรื่องรับศิษย์อีก เพราะตอนนี้ผมกําลังกังวลเรื่องความฝันติดต่อกันมากกว่า

 

เนื่องจากความฝันนี้แปลกมาก มันรบกวนจิตใจผมจริงๆ

 

เมื่อเห็นอาจารย์กําลังดูทีวีอยู่ข้างนอก ผมก็เดินเข้าไปหา “ อาจารย์ !”

 

อาจารย์เห็นผมเดินออกมา สีหน้าเคร่งเครียด จึงถามผมว่า “เป็นอะไร ทําไมวันนี้ตื่นเช้าจัง”

 

“ อาจารย์ ผมฝันแปลกๆ !”

 

“ ฝันแปลก แปลกยังไง” อาจารย์ไม่ได้เอะใจ เขาพูดอย่างใจเย็น

 

“ ผมฝันเห็นผู้หญิงนั่งอยู่บนสะพานหิน ด้านล่างมีกลุ่มผีร้าย แล้วสุดท้ายผู้หญิงคนนั้นก็กระโดดลงไปดื้อๆ ” ผมพูดด้วยน้ําเสียงกังวล

 

แต่อาจารย์ยังไม่เอะใจ “ อย่าไปใส่ใจ มันก็แค่ความฝัน”

 

“ ไม่ใช่อาจารย์ สิ่งที่แปลกมันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในความฝัน สิ่งที่แปลกคือ ผมฝันเห็นเรื่องนี้เป็นครั้งที่สี่แล้ว และทุกครั้งก็ยังฝันเห็นแบบเดิม !” ผมพูดอย่างกระวนกระวาย

 

อาจารย์ที่เคยใจเย็นไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่เมื่อได้ยินผมพูดแบบนั้น ว่าผมฝันเป็นครั้งที่สี่แล้ว “ พรีบ” สีหน้าของอาจารย์ก็เปลี่ยนไปทันที เขาหันมามองอย่างรวดเร็ว

 

“ อะไรนะ ฝันเห็นสี่ครั้งแล้ว เสี่ยวฝาน แกพูดจริงใช่ไหม ” สีหน้าของอาจารย์เคร่งเครียด เขามองผมพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเป็นปม

 

“ จริงซิ ครั้งที่สี่แล้ว ครั้งสองครั้งแรกผมยังไม่ได้คิดอะไร พอถึงครั้งที่สามผมคิดว่าจะเล่าให้ฟัง แต่อาจารย์ดันออกไปซื้อของร้านเซียงจาง สุดท้ายท่านนักพรตตู้บาดเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาล เพราะเกิดเรื่องอีกมากมาย ผมเลยลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท เมื่อคืนผมก็ฝันเห็นมันอีก มันเหมือนเดิมเป๊ะ! และภาพมันยังติดตาผมอยู่เลย ” ผมพูดความจริงให้อาจารย์ฟัง

 

อาจารย์ขมวดคิ้วแน่น เขาค่อยๆลุกขึ้น “ การทํานายความฝันของโจวกง ถ้าฝันเห็นกระจก บุปผา จันทรา วารี แต่ทุกเรื่องมีสาเหตุเสมอ แกฝันเห็นติดกันหลายครั้ง มันจะต้องเป็นลางบอกเหตุอะไรแน่ๆ !”

 

“ อาจารย์ ความฝันของผมบอกอะไรเหรอ”

 

อาจารย์ส่ายหน้า “ อาจารย์ไม่เก่งเรื่องทํานายความฝัน เอาแบบนี้ดีกว่าอีกเดี๋ยวพวกเราไปร้านไปฉ่าวให้เหล่า

 

ช่วยดูให้แก !”

 

ผมจําได้ว่าครั้งก่อนเฟิงเฉ่วหานบอกว่า ท่านนักพรตต์สามารถทํานายความฝันได้ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่ได้ไปหาเขาเลย

 

เรื่องมาถึงวันนี้แล้ว ผมจึงทําได้เพียงเท่านี้ ต้องให้ท่านนักพรตตูช่วยดูให้แล้ว

 

ยังไม่เดาว่าจะทํานายออกมาได้อะไร ผมคิดไว้ก่อนว่ามันต้องเป็นเรื่องดี

 

ถ้าเป็นเรื่องดีจริงๆ ผมก็จะปล่อยผ่านไปไม่คิดมากอีก แต่ถ้ามันเป็นเรื่องร้าย งั้นผมก็ต้องระวังตัวแล้ว

 

แต่เสียงของอาจารย์เพิ่งเงียบลง นอกบ้านก็มีเสียงทุ้มๆดังขึ้น “ ใครอยากให้ฉันทํานายความฝันฮะ”

 

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผมและอาจารย์ก็หันไปมอง

 

เมื่อหันไปมอง พวกเราก็เห็นท่านนักพรตต์และเฟิงเฉ่วหาน

 

เมื่อเห็นพวกเขา ผมและอาจารย์ก็กระพริบตาปริบๆ เช้าขนาดนี้ พวกเขามาร้านพวกเราทําไม

 

“ เหล่า มาพอดีเลย ฉันกําลังจะไปหานายพอดี !” อาจารย์พูดอย่างตื่นเต้น

 

“ ไปหาฉัน เพราะเรื่องชูหม่าเหรอ เรื่องนี้เป็นเรื่องดีไม่ต้องทํานายแล้ว แล้วอีกสองวันก็เป็นวันดี ก่อนมาฉันดูปฏิทินมาแล้ว ! ” ท่านนักพรตตู้พูดด้วยรอยยิ้ม แต่เห็นได้ชัดว่าเขาตอบไม่ตรงคําถาม

 

อาจารย์ยืนนิ่ง “ เหล่า นายรู้เรื่องติงผ่านจะไปเป็น ชูหม่าแล้วเหรอ ”

 

“ รู้แล้ว ตอนเช้าเสี่ยวเฟิงบอกฉันแล้ว ตอนนี้มาดูว่าเป็นยังไงบ้าง เรื่องใหญ่ขนาดนี้ จะมาดูว่าพอช่วยอะไรได้บ้างไหมน่ะ! ” เห็นได้ชัดว่าท่านนักพรตต์ดีใจมาก

 

ตอนนี้ผมเพิ่งคิดได้ เมื่อคืนผมแชทบอกเหล่าเฟิงว่าจะไปเป็นชูหม่า

 

ดูเหมือนเหล่าเพิ่งจะเล่าเรื่องนี้ให้ท่านนักพรตตู้ฟังแล้ว อาจารย์ก็หัวเราะแห้งๆสองสามครั้ง หลังจากนั้นก็เปิดประเด็นทันที “ เหล่าตู้ เดี๋ยวพวกเราค่อยคุยเรื่องนี้นะ เสี่ยวฝานมีเรื่องนิดหน่อย นายช่วยทํานายให้เขาก่อนนะ!” 

 

ท่านนักพรตตู้ยืนนิ่ง “ เสี่ยวฝานมีปัญหาอะไร”

 

“ ท่านลุงตู้ พักนี้ผมชอบฝันเห็นเรื่องเดิมๆ อยากให้ลุงช่วยทํานายความฝันให้ผมหน่อยนะครับ !”

 

“ ฝันเห็นเรื่องเดิม ” ท่านนักพรตคู่ขมวดคิ้ว

 

เหล่าเพิ่งเองก็พูดด้วยความสงสัย “ หรือว่า หรือว่าจะฝัน เห็นผู้หญิงบนสะพานอีกแล้ว”

 

ผมพยักหน้าแรงๆ พร้อมพูดด้วยความหวาดกลัว “ ใช่ นี่เป็นครั้งที่สี่แล้ว !”

 

ตอนนี้ท่านนักพรตติหุบยิ้มเรียบร้อย จากนั้นก็พูดอย่างเคร่งขรึม “ เสี่ยวฝาน เธอช่วยเล่าให้ฉันฟังอย่างละเอียดก่อน แล้วค่อยบอกวันเดือนปีเกิดกับฉัน แล้วฉันจะทํานายให้

 

ผมไม่ได้ลังเล รีบเล่าเรื่องความฝันให้ท่านนักพรตตู้ฟังทัน

 

ท่านนักพรตติพยักหน้าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร 

 

หลังจากนั้นอาจารย์ก็เขียนวันเดือนปีเกิดผมลงบนกระดาษเหลือง แล้วส่งให้ท่านนักพรตต์

 

ท่านนักพรตตู้เดินมาที่โต๊ะ เขาเผากระดาษวันเดือนปีเกิดของผมก่อน จากนั้นหยิบเหรียญทองแดงออกมาสามเหรียญ วางไว้บนมือเขย่ามันสองสามครั้ง เปิดมือทั้งสองข้างออก แล้วปล่อยให้เหรียญตกลงมา

 

ผมมองดูทุกๆอย่าง ผมเห็นเหรียญเป็นหัวและก้อย ส่วนอีกเหรียญถูกเหรียญอื่นทับไว้

 

เมื่อท่านนักพรตตู้เห็นภาพแบบนี้ เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองมันพักหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร หลังจากนั้นเขาก็เอื้อมมือออกไปค่อยๆย้ายเหรียญมาไว้ข้างๆ

 

เหรียญที่ถูกทับไว้ ก็เป็นก้อย พวกมันเป็นหัวหนึ่งก้อยสอง

 

ศาสตร์ทํานายจากเหรียญ เป็นศาสตร์ทํานายที่เห็นกันค่อนข้างบ่อย แม้แต่คนทั่วไปตามท้องถนนก็ยัง

 

* ทําเป็น ”

 

เป็นการทํานายจากด้านหัวและก้อยของเหรียญ โดยต้องสอดคล้องกับยังเหยา เครื่องหมายขีดๆของศาสตร์ปากัว ) ลําดับด้านหยางจะถูกเรียกว่าเน่าหยางเหยา ส่วนลําดับด้านหยินจะถูกเรียกว่าเน่าหยินเหยา

 

ด้านหยางทั้งหมดเรียกว่าเหล่าหยินเหยา ตรงกันข้ามคือเหล่าหยินเหยา

 

เรื่องนี้ใครๆก็รู้ใครๆก็ทําได้

 

แต่ หลังจากทํานายแล้ว พวกเขาต้องเอามาวิเคราะห์อีกที นั้นเป็นเรื่องที่คนธรรมดาทําไม่ได้

 

หลังจากได้ผลออกมา ต้องเอาไปเทียบกับศาสตร์ปากัวก่อน หลังจากนั้นค่อยใช้ดวงชะตาวันเดือนปีเกิด และของอื่นๆในการทํานาย ในนั่นยังมีศาสตร์นับไม่ถ้วน ไม่ใช่สิ่งที่จะอธิบายได้สั้นๆ

 

สิ่งที่นิยมเรียกคือ การทํานายก็คือการคํานวณสูตร วันเดือนปีเกิดคือรหัส เมื่อเพิ่มสูตรเพื่อใส่รหัส ก็จะได้บางอย่างออกมา หลังจากคํานวณเสร็จ สุดท้ายก็จะได้ผลลัพธ์ออกมา และมันก็คือผลลัพธ์ของเรื่องที่ถาม

 

พูดแล้วเหมือนทํากันได้ง่ายๆ แต่พอทําแล้ว ในหมื่นความคิด ก็มีคําตอบหมื่นคําตอบ

 

อักขระ 64 ตัวพวกนี้ เป็นหนึ่งในศาสตร์ที่เทพสูงสุดทั้งสามคนสร้างขึ้น มันเป็นศาสตร์ตัวเลขที่ยากที่สุดสําหรับเด็กใหม่

 

ผมมองท่านนักพรตตู้จองเหรียญอยู่นาน ผมจึงถามด้วยความร้อนใจ “ ท่านลุงตู้ ผลทํานายเป็นไงบ้างครับ ”

 

เมื่อท่านนักพรตต์ได้ยินผมถาม เขาจึงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว “ ตั้งเหยายังไม่นิ่ง เหยาเปลี่ยนเกิดตัวแปลเพิ่ม ดังนั้นทํานาย ทํานายความฝันทั้งสี่ครั้งได้ยากมาก…”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset