ศพ – ตอนที่ 230 รวมตัวที่ศาลเจ้าหลักเมือง

ตอนที่ 230 รวมตัวที่ศาลเจ้าหลักเมือง

 

เฟิงเฉ่วหานก็พูดตรงเกิน จะพูดขวานผ่าซากไปไหน

 

แต่เขาพูดถูกทุกอย่าง เรื่องคําทํานาย มันลึลับซับซ้อน มาก

 

จะดีหรือร้าย ถึงร้ายก็แค่หนีจากมันเท่านั้น

 

คิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ในเมื่อคําทํานายบอกไว้ว่าชีวิตนี้ผมจะได้เจอผู้หญิงที่พาทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายมาสู่ตัว งั้นก็ปล่อยให้เธอมาซิ ! ไม่ว่าเธอจะเป็นมู่หลงเหยียนหรือเซียนจิ้งจอก เมื่อถึงเวลานั้น เรื่องราวคงออกมาชัดเจนมากกว่านี้

 

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั้นก็พูดกับเหล่าเฟิงที่อยู่ข้างๆว่า “ นายพูดถูก ! คิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ”

 

เฟิงเฉ่วหานไม่ใช่คนพูดมาก เมื่อเห็นผมพูดแบบนั้น เขาก็ไม่พูดไร้สาระ ยื่นบุหรี่ให้ผมทันที

 

ในเวลาเดียวกัน ท่านนักพรตตู๋ก็หันมาพูดกับผมว่า “ เสี่ยวฝาน ฝันมีทั้งดีและร้าย แต่ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นเพราะผู้หญิง ถ้าตอนนั้นเธอสัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้แล้ว เธอจะต้องระวังตัวให้มากๆ แบบนี้ก็จะสามารถเลี่ยงจากปัญหาที่ไม่จําเป็นได้แล้ว หรือเปลี่ยนร้ายกลายเป็นดี !”

 

เมื่อได้ยินคําพูดของท่านนักพรตตู๋ ผมก็พยักหน้ารัวๆ และพูดขอบคุณท่านนักพรตตู๋

 

อาจารย์เห็นผมได้คําทํานายแล้ว จึงพูดกับท่านนักพรตตู๋ว่า “ เหล่าตู มาเช้าขนาดนี้ เพื่อคุยเรื่องชูหม่าของเสี่ยวฝานเหรอ”

 

เมื่อท่านนักพรตตู๋ได้ยินคําพูดนี้ สีหน้าก็กลับมาปกติอีกครั้ง “ ใช่ เมื่อเช้าได้ยินเสี่ยวเฟิงพูดว่าเสี่ยวฝานจะไปเป็นชูหม่า ก็เลยมาถามให้ละเอียด ไปเป็นชูหม่าของใคร ทําไมจู่ๆถึงไปเป็นชูหม่าได้”

 

เมื่ออาจารย์ฟังจบ ก็รีบตอบกลับทันที “ ฉันก็คิดอยู่ ทําไมนายถึงมาเช้าขนาดนี้ ที่แท้ก็มาถามเรื่องเสี่ยวฝานจะไปเป็นชูหม่านี่เอง ครั้งนี้ เสี่ยวฝานไปเป็นชูหม่าของสํานักหูแห่งเขาฉิน ! ”

 

“ สํานักหู เป็นศิษย์ลําดับที่เท่าไหร่ ” ท่านนักพรตตู๋ถามต่อ

 

แต่อาจารย์กลับยิ้มออกมาเล็กน้อย “ ประมุขของสํานักหู”

 

“ อะไรนะ ประมุขของสํานักหู เหล่าติง ไม่ตลกนะอย่ามาล้อเล่นน่า ” เห็นได้ชัดว่าท่านนักพรตตู๋ไม่เชื่อ เขาคิดว่าอาจารย์โม้

 

แต่อาจารย์กลับหัวเราะ “ ฮ่าๆ ” “ เหล่าตู๋ ฉันเคยโกหกนายเหรอ เป็นประมุขสํานักหูจริงๆ ไม่อย่างนั้นฉันจะยอมให้เสี่ยวฝานไปเป็นชูหม่าได้ยังไง”

 

หลังฟังอาจารย์พูดจบ ผมก็พูดออกมาว่า “ ใช่ครับท่านนักพรตตู๋ ครั้งนี้ ผมไปเป็นศิษย์นางพญาจิ้งจอก !”

 

เมื่อท่านนักพรตตู๋และเฟิงเฉ่วหานได้ยิน เขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ เผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา

 

ผ่านไปสักพัก ผมถึงได้ยินท่านนักพรตตู๋พูดว่า “ ประมุขสํานักหูถึงกับลงเขามารับศิษย์ด้วยตัวเอง เสี่ยวฝาน เธอโชคดีมากเลย ! แต่ว่า เท่าที่ฉันรู้ การลงเขามารับศิษย์ ปกติจะต้องมีโชคชะตาต่อกัน ไม่รู้ว่าเสี่ยวฝานและประมุขสํานักหูมีวาสนาอะไรต่อกันเหรอ”

 

สําหรับเรื่องนี้ เป็นธรรมดาที่ผมจะพูดความจริงไม่ได้ ดังนั้นเมื่อคืนผมจึงเตี๊ยมกับอาจารย์เรียบร้อย

 

ตอนนี้จึงได้ยินอาจารย์ส่งเสียง “ อะฮึ่ม ” หลังจากนั้นก็พูดว่า “ เป็นแบบนี้ ตอนเป็นวัยรุ่นฉันเคยไปตัดผมให้พระในป่า มีอยู่มาคืนหนึ่งฟ้าร้องดังลั่น จู่ๆจิ้งจอกตัวหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในห้องของฉันพร้อมกับบาดแผล ตอนนั้นฉันยังถือศีลอยู่ จึงปล่อยให้จิ้งจอกอยู่ในห้องหนึ่งคืน พอเห็นมันบาดเจ็บ ฉันเลยเอายามาใส่ให้มัน ! มันจึงเห็นเป็นผู้มีพระคุณ จํากล่องครั้งที่แล้วได้ไหม”

 

“ จําได้ครับ กล่องไม้สีดํา !” เฟิงเฉ่วหานพูด

 

“ ใช่ กล่องไม้สีดําใบนั้นแหละ ตอนนั้นฉันไม่อยากพูด แต่ตอนนี้ก็บอกพวกนายได้แล้ว นั่นเป็นกล่องที่ฉันได้มาตอนเป็นวัยรุ่น เพราะจิ้งจอกที่ฉันช่วยเอาไว้อยากตอบแทน มันจึงทิ้งเอาไว้ ! วันนั้นที่ใช้กล่อง มันก็ไปกระตุ้นนางพญาจิ้งจอก”

 

“ นางพญาจิ้งจอกรู้สึกผิด บวกกับเรื่องลงเขามาตามหาศิษย์ และเรื่องที่ฉันเคยช่วยคนสํานักหูเอาไว้ เธอจึงส่งข้อความมาบอกว่า อยากได้เสี่ยวฝานไปเป็นลูกศิษย์ ดังนั้นพวกเราเลยตอบตกลงเพราะแบบนี้ ”

 

นี่เป็นเรื่องที่ผมและอาจารย์สร้างขึ้น ซ่อนมู่หลงเหยียนและความสัมพันธ์ระหว่างนั้นเอาไว้ ทุกอย่างถูกนําวางไว้บนตัวของอาจารย์

 

เมื่อทําแบบนี้แล้ว พวกเราก็จะสามารถเล่าเรื่องได้อย่างราบรื่น

 

เมื่อท่านนักพรตตู๋และเหล่าเฟิงได้ยินก็อึ้งกันไปพักหนึ่ง แต่พวกเขาไม่ได้สงสัยอะไร

 

เรื่องช่วยจิ้งจอกบนภูเขา มีมาตั้งแต่โบราณ และพวกเรายังเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย เรื่องแบบนี้จึงเป็นเรื่องปกติในสายตาพวกเรา

 

ด้วยความสัมพันธ์แบบนี้ จึงทําให้เรื่องนางพญาจิ้งจอกลงมารับศิษย์ อยากให้คนกราบไหว้บูชาถูกอธิบายได้อย่างง่ายดาย

 

ดังนั้น ท่านนักพรตตู๋จึงไม่ถามอะไรมาก เพียงพูดกับผมว่าโชคดีสุดๆ บอกให้ผมคว้ามันเอาไว้ในอนาคต เมื่อเป็นศิษย์แล้วจะได้รับการดูแลจากสํานักหู ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปราบสิ่งชั่วร้าย หรือทําดีสะสมบุญ ก็จะสะดวกขึ้นเยอะ ในเวลาเดียวกันก็จะมีวิธีอีกมากมาย ที่ใช้ในการจัดการเรื่องยุ่งยากได้

 

ท่านนักพรตตู๋และเฟิงเฉ่วหานคุยกันในร้านต่ออีกพักหนึ่งหลังจากรู้เรื่องราวที่ชัดเจนแล้ว พวกเขาก็ออกไป

 

บอกว่าพอถึงวันที่ผมจะไปเป็นศิษย์ พวกเขาจะมาหาใหม่

 

หลังจากท่านนักพรตตู๋และเหล่าเฟิงออกไป ในบ้านก็เหลือเพียงผมกับอาจารย์สองคน

 

เมื่ออาจารย์เห็นพวกท่านนักพรตตู๋ไปแล้ว เขาก็พูดปลอบใจผมสองสามประโยค

 

บอกว่าในสองวันนี้ผมไม่ต้องคิดมาก บอกว่าชูหม่าก็คือการกราบอาจารย์ มีเรื่องให้หนักใจเล็กน้อยเท่านั้น

 

มันเหมือนกับผมฝันเห็นเรื่องแปลกๆ เขาบอกว่าให้ผมไม่ต้องเก็บไปใส่ใจ และยังบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องน่ากลัว บอกให้ผมสบายใจได้

 

ในอดีตที่ผ่านมาจะเป็นยังไงก็ตาม แต่ตอนนี้เราต้องผ่านมันไปให้ได้ ไม่ต้องกังวลมากเกินไป

 

ส่วนตัวผม แม้ในใจจะค่อนข้างเครียดและรู้สึกสงสัย

 

แต่มันเหมือนกับที่อาจารย์และเหล่าเฟิงพูดไว้ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย พวกเราพูดไปก็ไม่ได้อะไร คิดมากไปก็เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นยังไงพวกเราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้

 

ดังนั้น สองวันหลังจากนั้น เวลาว่างผมจึงอยู่เฝ้าร้านเล่นเกมกับเหล่าเฟิงและหยางเจ่วบ้างบางครั้ง ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากนัก

 

จนกระทั่งถึงวันชหม่า ผมและอาจารย์เริ่มกระวนกระวาย

 

เพราะตอนไปชูหม่าเป็นเวลากลางคืน ดังนั้นตอนเช้าผมและอาจารย์จึงเดินไปที่ศาลเจ้าหลักเมือง จัดการให้ที่นั้นดูสะอาดเรียบร้อย หลังจากนั้นพวกเราก็กลับบ้านจุดธูปและทําเรื่องอื่นๆ

 

เวลาประมาณสี่โมงเย็น เหล่าฉิน ท่านนักพรตตู๋ และเหล่าเฟิงมาที่ร้านของพวกเรา พวกเขาวางแผนว่าจะไปชูหม่ากับผมคืนนี้ ในเวลาเดียวกันก็อยากเปิดหูเปิดตา เจอประมุขของสํานักหูสักครั้ง

 

แต่พวกเขาเพิ่งมาถึงไม่นาน หยางเฉ่วที่รีบเดินทางมาจากในเมืองก็มาถึง

 

แม้หยางเจ่วและพวกอาจารย์จะไม่ค่อยคุ้นเคยกันมากนัก แต่ในฐานะที่เป็นเพื่อนรักของผมและเฟิงเฉ่วหาน พวกอาจารย์จึงไม่ได้ถามอะไรมาก

 

ทุกคนนั่งกินอาหารเย็นแบบง่ายๆ หลังจากนั้นก็แบกสัมภาระตรงไปที่ศาลเจ้าหลักเมืองก่อน

 

ทุกคนล้วนเป็นคนใน พวกเราเพิ่งมาถึงที่นี่ ก็เริ่มทํางานทันที นําของเซ่นไหว้ น้ำ เหล้าและของอื่นๆ ออกมาวางให้เรียบร้อย

 

ในเวลาเดียวกันก็จุดธูป เผาเงินกระดาษ และแขวนผ้าแดงไว้ที่ประตู

 

หลังจากทําเรื่องพวกนี้เสร็จ ฟ้าก็มืดแล้ว

 

ส่วนเรื่องนางพญาจิ้งจอกจะมากี่โมงนั้น พวกเราไม่รู้จริงๆ ดังนั้นพวกเราจึงได้แต่นั่งรอ

 

ทุกคนไม่มีอะไรทํา จึงเริ่มหาเรื่องคุยกัน

 

เวลาประมาณสามทุ่มครั้ง นางพญาจิ้งจอกยังไม่มา จนทําให้ยายโม่มาถึงแล้ว

 

พวกเรารู้สึกถึงสายลมที่ค่อยๆพัดเข้ามา สายลมอันเยือกเย็น ปรากฏขึ้นที่นอกตัววัดอย่างกระทันหัน

 

ทุกคนที่อยู่ในศาลเจ้าหลักเมือง ต่างตกใจ มองไปที่ประตูทันที

 

เมื่อมองไป ก็เห็นร่างของหญิงแก่คนหนึ่งกําลังถือไม้เท้าเดินเข้ามา

 

ท่านนักพรตตู๋ เฟิงเฉ่วหานและหยางเฉ่วไม่รู้จักยายโม่ ตอนนี้เมื่อเห็นผีแก่ตนหนึ่ง พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะหวาดระแวง

 

แต่อาจารย์และเหล่าฉัน ตอนนั้นพวกเขาได้เจอยายโม่ที่ศาลเจ้าหลักเมืองแห่งนี้ พวกเขารู้ฐานะของยายโม่ดี และยายโม่ยังเคยช่วยชีวิตพวกเราไว้

 

ตอนนี้เมื่อเห็นยายโม่เดินเข้ามา ทั้งหมดคนก็ลุกขึ้นโดยอัตโนมัติ

 

ในเวลาเดียวกันทุกคนก็ได้ยินเหล่าฉันพูดว่า “ นี่ นี่ไม่ใช่ยายโม่ที่ช่วยพวกเราไว้คืนนั้นเหรอ”

 

ยายโม่หัวเราะ “ ฮิฮิฮี ” “ วันนี้มีงานมงคล ข้าน้อยเองก็มาร่วมสนุก ไม่ทราบว่าทุกท่านจะรังเกียจไหม !” 

 

เสียงเพิ่งเงียบลง อาจารย์ก็เดินเข้ามาต้อนรับแล้ว ในเวลาเดียวกันเขาก็ทํามือคารวะ “ ท่านยายโม่ ไม่ได้พบกันนานนะครับ ลูกศิษย์ของผมชูหม่ามียายมาเป็นสักขีพยาน ถือเป็นเกียรติกับลูกศิษย์ของผมมากครับ เชิญครับเชิญทางนี้…”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset