ศพ – ตอนที่ 231 มาถึงแล้ว

ตอนที่ 231 มาถึงแล้ว

เป็นธรรมดาที่ท่านนักพรตตู๋จะต้องหันไปดู เพราะยายโม่ไม่ใช่คน เป็นวิญญาณตนหนึ่ง

 

แต่เมื่อเห็นเหล่าฉินศิษย์พี่ของตัวเองและอาจารย์ของผมทําท่าทางสุภาพแบบนั้น เขาจึงแสดงท่าทางเป็นมิตร แต่ก็อดไม่ได้ที่จะทําหน้าสงสัย

 

แม้จะไม่รู้ว่ายายโม่เป็นใคร แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถาม เขาจึงทําได้เพียงยืนมองยายโม่ด้วยความสงสัย

 

ผมเองก็ไม่ได้รอช้า รีบเข้าไปต้อนรับยายโม่ทันที

 

ยายโม่เดินตามเข้าไปในตัวศาลเจ้า เธอกวาดสายตามองศาลเจ้ารอบหนึ่ง พร้อมกับส่งยิ้มให้ท่านนักพรตตู๋และคนอื่นๆ ถือว่าเป็นการทักทายทุกคน

 

แม้ท่านนักพรตตู๋และคนอื่นๆจะไม่รู้จักยายโม่ แต่พวกเขาก็ยิ้มกลับตามมารยาท

 

หลังจากยายโม่เดินเข้ามาในศาลเจ้า ผมก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองนอกศาลเจ้าสองสามครั้ง ผมอยากรู้ว่ามู่หลงเหยียนจะมาด้วยไหม

 

ดูเหมือนยายโม่จะเห็นการกระทําของผม เธอจึงยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นก็พูดเบาๆว่า “ คุณผู้ชาย เลิกมองได้แล้วเจ้าค่ะ วันนี้มีแค่ข้าน้อยเจ้าค่ะ !”

 

เมื่อได้ยินยายโม่พูด ผมก็อดเศร้าใจไม่ได้ ตั้งแต่ต้นจนจบการฝากตัวเป็นศิษย์ของสํานักหู เป็นแผนการที่มู่หลงเหยียนวางเอาไว้

 

แต่วันนี้เธอกลับไม่มา ดูเหมือนมู่หลงเหยียนจะยังไม่หายโกรธผม

 

“ ยายโม่ น้องศพยังโกรธผมอยู่เหรอ ” ผมถามด้วยเสียงอันแผ่วเบา และที่ประตูมีเพียงเราสองคน คนอื่นๆไม่ได้ยิน

 

ยายโม่เห็นผมผิดหวัง จึงพูดออกมาอีกครั้ง “ โกรธมากเลยละเจ้าค่ะ แต่ก็หายโกรธบ้างแล้ว วันหน้าคุณชายไปหาคุณหนูให้เธอระบายความโกรธบ้างนะเจ้าคะ เรื่องก็จะดีขึ้นเจ้าค่ะ วันนี้คุณหนูติดงาน จึงไม่สะดวกมาร่วมงาน ดังนั้นคุณหนูจึงให้ข้าน้อยมาดูแทน”

 

เมื่อได้ยินยายโม่พูดถึงขนาดนั้น ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย ผมจึงถอนหายใจออกมาช้าๆ

 

ยายโม่เห็นสีหน้าของผมดีขึ้น เธอจึงพูดว่า “ ถึงคุณหนูจะมาไม่ได้ แต่คุณหนูก็ให้ข้าน้อยเอาของมาให้คุณผู้ชายเจ้าค่ะ

 

หลังจากพูดจบ ยายโม่ก็หยิบห่อผ้าสีเหลืองออกมาจากแขนเสื้อ มันถูกผูกห่อไว้อย่างแน่นหนา และไม่รู้ว่ามันคืออะไร

 

“ ยายโม่ นี่คืออะไร”

 

ทันใดนั้นยายโม่กลับยิ้มออกมา “ นี่เป็นของดีเจ้าค่ะ มันเป็นโสมป่า อีกเดี๋ยวคุณเอาสิ่งนี้มอบเป็นของขวัญเซ่นไหว้แก่นางพญาจิ้งจอกเจ้าค่ะ ถึงมันจะไม่ได้ล้ําค่ากับนางพญาจิ้งจอกมากนัก แต่มันก็ถือเป็นสิ้นน้ําใจ นางพญาจิ้งจอกจะต้องปฏิบัติต่อคุณอย่างดีเจ้าค่ะ”

 

เมื่อได้ยินยายโม่พูดถึงขนาดนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเล็กน้อย ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกผิดด้วย

 

หลังจากเปิดห่อออก ตรงกลางของห่อผ้า มีโสมต้นหนึ่งถูกวางไว้ มันมีอายุเท่าไหร่ผมเองก็ไม่รู้ แต่ของที่ยายโม่เอามาด้วยตัวเอง จะต้องเป็นของดีอย่างแน่นอน

 

หลังจากเก็บให้เรียบร้อย ผมก็พูดขอบคุณกับยายโม่

 

ยายโม่ก็ไม่พูดมาก เธอโบกมือ บอกว่าเธอจะขอพักผ่อนสักหน่อย

 

ขณะที่พูด เธอก็ไม่สนใจทุกคน เดินไปนั่งตรงมุมหนึ่งของตัวศาลเจ้า และเริ่มหลับตาทันที

 

ในเวลานี้ หยางเฉ้วเดินเข้ามาด้วยความสงสัย

 

หยางเฉ่วเข้ามาข้างผม เธอถามว่า “ ติงฝาน ยาย ยายโม่คนนี้เป็นใครเหรอ ทําไมพวกนายถึงสุภาพกับเธอจัง”

 

ผมหันไปมองยายโม่ที่หลับตาอยู่ หลังจากนั้นก็สร้างเรื่องขึ้นมา “ ยายโม่คือผู้อาวุโสในบ้านน่ะ ตอนมีชีวิตเธอก็เหมือนกับพวกเรา เป็นคนมีวิชา พอตายไปแล้วก็ไม่ได้ไปลงนรก เธออยู่ที่หลุมศพบนสันเขาน่ะ!”

 

เมื่อหยางเฉ่วได้ยินผมพูดแบบนั้น เธอก็พยักหน้าเล็กน้อย “ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ถึงว่าอาจารย์นายกับเหล่าฉันถึงได้สุภาพขนาดนั้น ที่แท้เธอก็เป็นผู้อาวุโสของพวกนาย !”

 

หลังจากพูดจบ หยางเฉ่วก็เดินกลับไป

 

เนื่องจากยายโม่ไม่ใช่คน และเธอก็อยู่ที่นี่ ดังนั้นถามมากไปมันจะไม่ดี

 

หลังจากหยางเฉ้วเดินกลับไป พวกเราก็เข้ามารอในศาลเจ้าประมาณครึ่งชั่วโมง

 

ทันใดนั้น ยายโม่ที่นั่งอยู่ที่มุมศาลเจ้าก็ลืมตาขึ้น เธอพูดออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “ คนสํานักหูมาแล้ว!! “

 

เมื่อได้ยินยายโม่พูด ทุกคนก็ตกใจ

 

ทุกคนต่างพากันลุกขึ้น “ เสี่ยวฝานจุดธูปเผากระดาษ เตรียมตัวต้อนรับ !”

 

ผมจะกล้าชักช้าได้ยังไง วินาทีนั้นผมรีบเดินไปที่กระถางเผากระดาษ ในเวลาเดียวกันก็หยิบธูปขึ้นมาจุด

 

ขณะนั้น อาจารย์ก็พูดว่า “ ไปพวกเรา ออกไปตอนรับข้างนอก!”

 

ขณะที่พูด ผมและอาจารย์ก็รีบเดินออกไปข้างนอก 

 

แม้ท่านนักพรตตู๋และอื่นๆจะมาร่วมงาน เป็นสักขีพยานให้กับผม แต่พวกเขาก็ไม่ได้เสียมารยาท

 

ในมือของทุกคนต่างถือธูปเอาไว้หนึ่งดอก และเดินตามมาติดๆ

 

มีเพียงยายโม่ตนเดียวที่อยู่ในศาลเจ้า เธอไม่ได้เดินออกมาด้วย

 

เมื่อมาถึงข้างนอก ผมก็กวาดสายตามองรอบๆ แต่ไม่เห็นใครสักคน

 

ผมเริ่มคิดว่ายายโม้เข้าใจผิดรึเปล่า แต่เพิ่งคิดถึงเรื่องนี้ จู่ๆก็มีจิ้งจอกสีเหลืองตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากพุ่มไม้ข้างๆ

 

มันไม่กลัวคน เพิ่งออกมาปรากฏตัวก็ใช้ดวงตาจิ้งจอกที่ส่องประกายจองพวกเราทันที

 

จิ้งจอกปรากฏตัวอย่างกระทันหัน เมื่อมันโผล่ออกมา ผมก็ตกใจทันที วินาทีนั้นผมไม่รู้ว่าควรทํายังไง

 

อาจารย์ที่อยู่ข้างๆเห็นผมสติหลุด จึงใช้มือสะกิดผม “ เสี่ยวฝาน พูดซิ !”

 

ตอนนั้นเอง ผมถึงได้สติกลับมา ในเวลาเดียวกันผมก็พูดออกมาอย่างลนลาน “ เอ่อ ! คือ ! ข้าน้อยรอท่านมานานแล้ว ขอคารวะเซียนจิ้งจอก ”

 

หลังจากพูดจบ ผมยังโค้งคํานับให้จิ้งจอก

 

อาจารย์และคนอื่นๆ ก็ทํามือคํานับจิ้งจอกเช่นกัน

 

แต่จิ้งจอกตัวนั้นกลับหลี่ตาลง ทําท่าทางเหมือนกับคน ทันใดนั้นเสียงเด็กผู้หญิงก็ดังขึ้น “ ฮ่าฮ่าฮ่า ! เจ้าคือติงฝานซินะ ! คือรูปร่างหน้าตาดีเหมือนกัน”

 

ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ตอนนี้ เมื่อเห็นจิ้งจอกพูดภาษามนุษย์ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ

 

ผมใจเต้นตุ๊บๆ ฝืนยิ้มออกมา แสดงท่าทางสุภาพสุดๆ “ ใช่ครับ ข้าน้อยเอง !”

 

“ ฮ่าฮ่าฮ่า ! เดี๋ยวแม่ข้าและท่านผู้อาวุโสก็มาถึงแล้ว พวกนายเตรียมตัวให้ดีละ !” จิ้งจอกตัวนั้นพูดออกมาอีกครั้ง

 

แต่ครั้งนี้ไม่รอให้ผมตอบกลับ อาจารย์ที่อยู่ข้างๆกลับชิงพูดก่อน “ เซียนจิ้งจอกวางใจได้เลย พวกเราพร้อมแล้ว ในเมื่อเซียนจิ้งจอกมาถึงแล้ว งั้นเชิญพักด้านในก่อนครับ! 

 

ขณะที่พูด อาจารย์ก็ชี้ไปที่ของเซ่นไหว้ มันมีพวกเนื้อสัตว์ ธัญพืชห้าชนิด และอะไรอีกมากมาย

 

จิ้งจอกตัวนั้นทําจมูกฟุดฟิดๆสองสามครั้ง ทันใดนั้นดวงตาของมันก็เป็นประกาย “ งั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้วนะ !”

 

“ เชิญท่านเขียนจิ้งจอก! ” อาจารย์พูดออกมาอีกครั้ง

 

เมื่อจิ้งจอกน้อยได้ยิน มันก็ไม่ยืนนิ่งอีกต่อไป รีบวิ่งเข้าไปคาบเนื้อขึ้นมากินทันที

 

จิ้งจอกน้อยตัวนี้เพิ่งกินไปได้สองคํา ทันใดนั้นพุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไป กลับมีเสียงการเคลื่อนไหวบางอย่างดังขึ้น

 

ขณะที่เสียงพวกนี้ดังขึ้น จิ้งจอกสีเหลือง และจิ้งจอกอีกหนึ่งตัวก็ออกมา เพียงชั่วพริบตา ตรงนั้นก็มีจิ้งจอกอีกสิบกว่าตัวเดินออกมา

 

แต่มันยังไม่จบเท่านี้ จิ้งจอกจํานวนมากยังหลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง และจิ้งจอกที่ออกมา ล้วนกวาดสายตามองรอบๆ ขณะเดียวกันก็เดินตรงมาทางที่พวกเรายืนอยู่

 

แต่เดินมาไม่กี่ก้าว จิ้งจอกพวกนี้ก็สบัดตัว กลายร่างเป็นคน

 

รูปร่างสูงยาวและผอมเพรียว พวกเขามีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และคนแก่

 

หลังจากจิ้งจอกกลายร่างเป็นคน แต่ละตนต่างมีหน้าตาดี บางคนกําลังพูดยิ้มและหัวเราะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข และเดินเข้ามาใกล้พวกเราเรื่อยๆ

 

เหตุการณ์แบบนี้จะมีใครเคยเห็นมาก่อน พวกเราทุกคนไม่เคยมีใครเห็นภาพที่อลังการแบบนี้มาก่อน

 

แม้แต่ท่านนักพรตตู๋ที่เคยไปร่อนเร่มากว่าครึ่งชีวิต ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกใจ..

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset