ศพ – ตอนที่ 232 เริ่มพิธีชูหม่า

 

ตอนที่ 232 เริ่มพิธีชูหม่า

 

เพียงชั่วพริบตา ฝูงจิ้งจอกเฒ่าตรงหน้าก็กลายเป็นมนุษย์หลายสิบคนแล้ว

 

ฉากนี้อลังการมาก นั้นมันปีศาจจิ้งจอกที่กลายร่างเป็นคนหลายสิบคนเลยนะ แม้แต่พวกเราที่เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย หรือคนที่แก่แล้วก็ยังไม่เคยเห็นฉากแบบนี้มาก่อน

 

แต่ตอนนี้ กลับมีจิ้งจอกหลายสิบตนปรากฏตัว และยังมีจิ้งจอกอีกมากมายที่ออกมาปรากฏตัวติดๆ

 

แน่นอน นอกจากจิ้งจอกเฒ่าที่กลายร่างเป็นคนแล้ว ในผืนป่าแห่งนี้ยังมีพวกจิ้งจอกธรรมดาด้วย

 

จิ้งจอกพวกนี้มีพลังไม่พอ ไม่สามารถแปลงร่างได้ จึงทําได้เพียงเดินตามเหล่าจิ้งจอกเฒ่า

 

พวกเราจ้องจนตาแทบจะหลุดออกจากเบ้า แสดงสีหน้าตกตะลึง

 

หยางเฉ่วอดกลืนน้ำลายไม่ได้ “ ติงฝาน งานนายนี่ค่อนข้างยิ่งใหญ่เลยนะ !”

 

จู่ๆก็ได้ยินเสียงหยางเฉ่วพูด ผมจึงพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ ใช่ ใช่อลังการมาก !”

 

“ อย่าพูดไร้สาระอยู่เลย รีบเข้าไปต้อนรับพวกเขาเถอะ ! ” อาจารย์รีบพูด

 

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็ไม่รอช้ารีบถือธูปตรงไปข้างหน้าทันที

 

เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าของจิ้งจอกหลายสิบคนที่แปลงกลายเป็นคนแล้ว ผมก็โค้งคํานับทันที “ ข้าน้อยติงฝาน ขอต้อนรับเซียนทุกท่านครับ !”

 

ชายชราที่เป็นผู้นําของเซียนจิ้งจอกมีผมขาวจนหมดหัว ตอนนี้เมื่อเห็นผมคารวะ เขาก็หัวเราะ “ ฮ่าฮ่า ” พร้อมกับจับมือของผมไว้ “ ดี ไม่ต้องมากพิธี หลังจากคืนนี้ พวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว !”

 

ผมคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ เซียนทุกท่าน เชิญเพลิดเพลินกับของเซ่นไหว้ครับ !”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็ชี้ไปที่โต๊ะบูชาที่อยู่ไม่ไกล

 

ในเวลาเดียวกันจิ้งจอกน้อยก็เห็นกลุ่มเซียนจิ้งจอก จึงพูดกับพวกเขาทันที “ ปู่สาม ปู่สี่ ปู่ห้า ย่าหก ของพวกนี้อร่อยมาก ปู่ย่ารีบมาชิมซิ ! ”

 

เมื่อจิ้งจอกเฒ่าที่เป็นผู้นําได้ยินคําพูดนี้ เขาก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง “ ฮ่าฮ่า ” “ เจ้าจิ้งจอกน้อยนี้ ข้าบอกให้ไปอยู่ข้างๆเจ้าแม่ แต่เจ้ากลับวิ่งซะเร็วเลยนะ !”

 

ขณะที่พูด จิ้งจอกเฒ่าก็พาเซียนจิ้งจอกคนอื่นๆ เข้าไปในลาน

 

ในหมู่เซียนหลายสิบตนนี้ ผมยังเห็นจิ้งจอกเฒ่าที่ได้สู้กับพวกเราในคืนนั้นด้วย เขาก็อยู่ในนั้น เพียงแค่ไม่ยอมคุยกับผมเท่านั้น

 

ผู้ที่มาถึงล้วนเป็นแขกทั้งนั้น อาจารย์และคนอื่นๆก็ถือธูปต้อนรับ ไม่ได้พุ่งเข้าไปสู้เห มือนครั้งที่แล้ว และยังไม่ละเลยเซียนจิ้งจอกสักตน

 

หลังจากเซียนจิ้งจอกสิบกว่าตนเข้ามาในลาน ด้านนอกก็ยังมีเซียนจิ้งจอกทยอยเข้ามาเรื่อยๆ

 

แต่นอกจากเซียนจิ้งจอกสิบกว่าตนเมื่อตอนแรกแล้ว จิ้งจอกส่วนใหญ่ที่ปรากฏตัวหลังจากนั้น ก็ไม่อาจเทียบกับเซียนจิ้งจอกพวกนี้ได้

 

เพราะเซียนที่ปรากฏตัวหลังจากนั้น แม้จะแปลงกลายเป็นคนได้ แต่พวกเขาก็ยังมีบางส่วนที่เป็นจิ้งจอกอยู่

 

บางตัวก็มีหางออกมา บางตัวมีหัวเป็นจิ้งจอก ไม่ก็หน้าเป็นจิ้งจอก หรือบางตนก็ไม่สามารถเปลี่ยนมือและเท้าเป็นคนได้

 

อาจเพราะจิ้งจอกพวกนี้ยังมีพลังไม่มากพอ หรือไม่ก็ไม่สามารถกลายร่างเป็นคนได้เต็มตัว

 

ผมลองนับดูคร่าวๆ การรวมตัวนี้ค่อนข้างใหญ่ มีเซียนจิ้งจอกที่กลายเป็นคนได้เกือบ 30 ตน

 

หลังจากนั้นยังมีจิ้งจอกอีกหลายสิบตัว เมื่อมองไปรอบๆ ทั่วทั้งลานต่างเต็มไปด้วยแววตาที่ส่องประกายของจิ้งจอกและยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายของจิ้งจอก

 

แต่ในหมู่จิ้งจอกเหล่านี้ ผมยังไม่เห็นนางพญาจิ้งจอกเลย

 

ตอนนี้พวกเซียนจิ้งจอกต่างสนุกสนานกับเครื่องเซ่นไหวในลาน พวกเขาเหมือนกับมนุษย์ ต่างจับกลุ่มคุยกันสามคนบ้างห้าคนบ้างแล้วแต่ใครจะสนิท

 

พวกเราเองก็ไม่ปิดปากเงียบ ต่างรู้สึกว่าควรเอาใจใส่คนอื่น

 

หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที สายลมอันเยือกเย็นก็พัดเข้ามา

 

สิ่งที่ตามมาติดๆคือ กลิ่นแปลกๆ

 

ขณะที่กลิ่นนี้ปรากฏขึ้น ทุกคนในงาน รวมถึงพวกเซียนจิ้งจอก ต่างอดไม่ได้ที่จะมองไปข้างนอกศาลเจ้า 

 

ผู้นําของเซียนจิ้งจอกเปลี่ยนสีหน้าก่อนใครเพื่อน ทันใดนั้นเขาก็พูดว่า “ ทุกท่าน เจ้าแม่มาแล้ว ! รีบออกไปต้อนรับเร็ว !”

 

ขณะที่เสียงดังขึ้น เซียนจิ้งจอกที่อยู่ในงานต่างหยุดการกระทําของตัวเอง และรีบทยอยไปที่ประตูทันที

 

ส่วนผม อาจารย์ และคนอื่นๆ ต่างแสดงสีหน้าเคร่งขรึม แน่นอนว่าพวกเราเองก็รีบจุดธูปใหม่อย่างรวดเร็ว

 

ธูปในมือเพิ่งจุดติด ทันใดนั้นพวกเราก็เห็นในความมืด มีดวงตาคู่หนึ่งสะท้อนกับแสงจันทร์ ตามมาด้วยจิ้งจอกขนยาว สีขาวราวหิมะ เธอค่อยๆเดินเข้ามาอย่างสง่างาม

 

เมื่อจิ้งจอกขาวปรากฏตัว เซียนจิ้งจอกทุกตนต่างหมอบลงกับพื้น พวกเซียนจิ้งจอกที่แปลงกลายเป็นคน ตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพียง “ คารวะเจ้าแม่ ! ”

 

แม้พวกเราจะไม่ได้คุกเข่าลงกับพื้น แต่ก็ถือธูปเข้ามาต้อนรับนางพญาจิ้งจอก

 

เสียงเพิ่งเงียบลง จิ้งจอกขาวตัวนั้นก็สบัดตัว กลายร่างเป็นคน

 

รูปร่างหน้าตาของเธอเหมือนกับที่ผมเห็นในจวนมู่หลง ภายนอกดูไม่แก่เลยสักนิด ยังสวยและอ่อนเยาว์ สวมเสื้อคุลมขนจึงจอกสีขาว เหมือนกับเด็กสาวคนหนึ่ง

 

หลังจากนางพญาจิ้งจอกปรากฏตัว เธอก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ ทุกท่านเชิญลุกขึ้นเถิด !”

 

“ขอบคุณเจ้าแม่ ! ” พวกเซียนจิ้งจอกตอบกลับ และลุกขึ้นทันที

 

ตอนนี้ผมเองก็ยืนตัวตรง ค่อนข้างเครียดเลยละ

 

แต่นางพญากลับตามหาผมจากกลุ่มคน เธอค่อยๆเดินมาทางผม

 

เมื่อเห็นนางพญาจิ้งจอกเดินมาทางผม ผมจะกล้าชักช้าได้ยังไง วินาทีนั้นผมรีบยกมือคํานับเธออีกครั้ง “ เซียนจิ้งจอก”

 

นางพญาสํารวจตัวผมพักหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองอาจารย์และพวกเหล่าเฟิงที่อยู่ข้างหลัง เธอยิ้มออกมาเล็กน้อยเพื่อทักทายทุกคน

 

หลังจากนั้น เธอก็ดมธูปในมือของผมหนึ่งครั้ง แล้วพูดว่า “ ในเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้าแล้ว งั้นพวกเราก็เข้าไปกันเถอะ ! ”

 

“ ดีครับ ! เซียนจิ้งจอกเชิญ ! ” ผมพูดอีกครั้ง จากนั้นก็ผายมือเชิญเซียนจิ้งจอกเข้าไปก่อน

 

นางพญาจิ้งจอกไม่เกรงใจ เธอทําตัวเหมือนดาราดังที่ใครๆก็หลงรัก เดินเข้าไปในศาลเจ้าทันที

 

พวกเราตามเธอเข้าไป หลังจากเข้ามาในลาน นางพญาจิ้งจอกก็เห็นยายโม่ นางพญาจิ้งจอกปฏิบัติกับยายโม่สุภาพมาก เธอยังทํามือคํานับให้ยายโม่ก่อน

 

ยายโม่ไม่ได้พูดอะไร แค่พยักหน้าให้นางพญาจิ้งจอกเท่านั้น

 

เมื่อทักทายเรียบร้อย นางพญาก็ไม่เกรงใจ เดินเข้าไปที่โต๊ะบูชาทันที เธอดมธูปบูชาหนึ่งครั้ง หยิบเหล้าขึ้นมาหนึ่งขวด หลังจากนั้นก็ยกกระดกทันที

 

ส่วนเซียนจิ้งจอกตนอื่นๆ ตอนนี้ได้แบ่งเป็นสองฝั่ง พวกเขาทุกตนต่างแสดงสีหน้าเคร่งขรึม

 

แน่นอน พวกนี้ล้วนเป็นพวกเซียนจิ้งจอกที่สามารถแปลงกลายเป็นคนได้

 

ส่วนเซียนจิ้งจอกตนอื่นๆ ต่างไม่สามารถเข้ามาในศาลเจ้าได้ พวกเขาทําได้เพียงยืนรออยู่ข้างนอก

 

หลังจากนางพญาดมธูป เธอก็หมุนตัวกลับ มามองทุกคนในศาลเจ้า แล้วพูดว่า “ วันนี้ข้าลงเขามาทําพิธีชูหม่า เปิดค่ายหยิงถาง หวังว่าทุกท่านจะร่วมกันเป็นสักขีพยาน ”

 

หลังจากพูดจบ สายตาของนางพญาก็หยุดอยู่ที่ร่างของผม ช่วงเวลานั้นใจผมเต้นแรง และตื่นตัวทันที

 

นางพญาจิ้งจอกไม่พูดจาไร้สาระ เธอพูดออกมาตรงๆ “ จินถงอยู่ที่ไหน”

 

จินถง ก็คือชื่อเรียกชูหม่าอีกชื่อหนึ่ง

 

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ อาจารย์ก็รีบพูดว่า “ รีบไปคุกเข่าคํานับซิ !”

 

ในเวลานี้ทุกคนกําลังมองอยู่ จึงเป็นธรรมดาที่ผมจะไม่รอช้า ผมรีบเดินเข้าไปสองก้าว “ ข้าน้อยติงฝาน ขอคารวะ เซียนจิ้งจอก ไม่ คารวะเจ้าแม่แห่งเผ่าจิ้งจอก !”

ขณะที่พูด ผมก็คารวะนางพญาจิ้งจอกแล้ว

 

นางพญาจิ้งจอกเห็นผมลนลานจนพูดผิดพูดถูก เธอจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา แต่เธอก็หยุดพิธีไม่ได้ เธอจึงพูดต่อ “ ข้าอยู่ในหุบเขามานับร้อยปี บําเพ็ญเพียรจนดอกไม้ร่วงโรยมานับไม่ถ้วน วันนี้ข้ากับติงฝานมีวาสนาต่อกัน ลงเขาชูหม่า เปิดค่ายหยิงถาง และให้คําสัตย์สาบาน ติงฝาน เจ้ายินดีไหม”

 

คําพูดพวกนี้ อาจารย์เคยสอนก่อนมาชูหม่า

 

ในเวลานี้เมื่อฟังนางพญาพูดจบแล้ว ผมก็รีบตอบกลับทันที “ ข้าน้อยติงฝานยินดีชูหม่า เจ้าแม่ได้โปรดคายเชี่ยวด้วย”

 

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset