ศพ – ตอนที่ 234 ให้ของขวัญ

 

ตอนที่ 234 ให้ของขวัญ

 

ตอนได้ยินเสียงนางพญาจิ้งจอกดึงมือเธอกลับ แก่นพลังที่อยู่เหนือหัวผม ก็กลับเข้าไปในปากเธออีกครั้ง

 

ว่าความเจ็บปวดที่มีหายไปทันที

 

เหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่วินาทีที่ ความเจ็บปวดหายไป ความเหนื่อยล้า กลับกระหน่ำเข้ามาเหมือนสายฝน

 

ผมอยากล้มตัวลงนอนทันที แต่ผมกลับไม่ได้ทําแบบนั้น ผมกัดฟันแน่น ทํามือคารวะนางพญาจิ้งจอก

 

“ ศิษย์ ศิษย์ติงฝาน ขอบ ขอบคุณที่เจ้าแม่คายเชี่ยวให้!”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็ค่อยๆคารวะนางพญาจิ้งจอกหนึ่งครั้ง

 

นางพญาจิ้งจอกที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม พยักหน้าให้เล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเธอพอใจมาก

 

“ ไม่เลว สามารถทนคายเชียวของข้าได้ แถมตอนนี้ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ ความอดทนของเจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าติงฝาน เป็นชูหม่าของข้าเย่เสี่ยวซีคนนี้ และเป็นศิษย์สํานักหูแห่งเขาฉิน

 

เจ้าจะได้รับการดูแลจากเผ่าจิ้งจอกของข้า จงยึดถือหัวใจอันดีงาม ทําคุณแทนสวรรค์ ซื่อสัตย์เที่ยงธรรม !” นางพญาจิ้งจอกพูดเสียงดัง ประกาศว่าผมเป็นชูหม่าของเผ่า จิ้งจอก

 

และนับตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา ผมก็กลายเป็นศิษย์ของเผ่าจิ้งจอก

 

ในเวลาเดียวกัน นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อของนาง พญาจิ้งจอกเย่เสี่ยวซี

 

แม้จะแปลกนิดหน่อย นางพญาจิ้งจอกควรแซ่หูชิ แต่นางกลับมีแซ่เย่

 

แต่ตอนนี้ผมเหนื่อยจนแทบนอนตรงนั้น แล้วผมจะมีอารมณ์มานั่งสนใจเรื่องพวกนี้ได้ยังไง

 

ผมรีบคารวะนางพญาจิ้งจอกสามครั้ง “ ศิษย์ติงฝาน จะทําตามคําสอนของเจ้าแม่ ! ”

 

หลังจากพูดจบ ผมมือสั่นหยิบโสมที่ยายโม่ให้ออกมาจากกระเป๋าคาดเอว “ ศิษย์มีของมาคารวะเจ้าแม่ ขอให้เจ้าแม่ได้โปรดรับเอาไว้ด้วย !”

 

“ โห มีของขวัญด้วย ? ” นางพญาจิ้งจอกทําหน้าสงสัย

 

จิ้งจอกอาวุโสที่อยู่ข้างๆต่างกระซิบกันว่า “ เจ้าศิษย์นี่ เข้าใจคิดจริงๆ !”

 

“ ไม่เลว ฉลาดดี !”

 

“…..”

 

ผมค่อยๆยกห่อผ้าขึ้น “ ขอให้เจ้าแม่รับเอาไว้ด้วย !”

 

นางพญาจิ้งจอกก็ไม่ได้ลังเล หยิบห่อผ้าไปไว้ในมือจากนั้นก็ค่อยๆเปิดออก

 

เมื่อเห็นโสมปาอยู่ข้างใน เธอก็ไม่ได้แสดงท่าทางตื่นตกใจเกินไป เพราะจิ้งจอกเฒ่ามีชีวิตยืนยาวหลายร้อยปี โสมป่าเพียงต้นเดียว นางคงเห็นมานับไม่ถ้วนแล้ว

 

ตอนนี้นางพญาจิ้งจอกยิ้มออกมาเล็กน้อย เธอดมมันหนึ่ง

 

“ คือนี่คือโสมปาอายุ 500 ปี หายากสุดๆ เจ้าจะมอบให้กับข้าจริงๆเหรอ !” นางพญาจิ้งจอกยิ้ม

 

“ ใช่ครับ ศิษย์มอบให้กับเจ้าแม่ ! ” ผมพูดด้วยความเหนื่อยล้า

 

“ ถ้างั้น ข้าก็จะรับเอาไว้นะ ” ขณะที่พูด นางพญาจิ้งจอกก็เก็บโสมปา

 

หลังจากเก็บโสมปาเรียบร้อย นางพญาจิ้งจอกก็พูดกับผมอีกครั้ง “ ในฐานะที่ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า

 

และรับของขวัญจากเจ้าแล้ว เป็นธรรมดาที่ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดี ! ลุกขึ้นเถอะ ข้ามีของจะมอบให้ !”

 

ผมไม่มีอารมณ์อยากรู้ว่ามันคืออะไร ผมจึงขอบคุณและลุกขึ้น

 

เมื่อนางพญาจิ้งจอกเห็นผมลุกขึ้นแล้ว นางก็แบมือออก เผยให้เห็นขวดยาสีขาว

 

ยาขวดนั้นไม่มีอะไรพิเศษ และไม่รู้ว่าใส่อะไรไว้ข้างใน

 

อาจารย์และคนอื่นๆที่อยู่ข้างๆ ต่างมองขวดยาด้วยความสงสัย

 

ส่วนพวกจิ้งจอกอาวุโส กลับตื่นเต้นมาก ดวงตาเบิกกว้างจ้องขวดยาสีขาว ตาเป็นมัน

 

“ ในขวดยาของข้า มียาบํารุงกําลังอยู่สามเม็ด มันทํามาจากหินที่หลงเฉียนใช้รักษาอาการบาดเจ็บ มันได้ผลดีมากเลยละ ตอนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าใช้แค่เม็ดเดียว ก็จะสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้แล้ว” นางพญาจิ้งจอกพูดอย่างจริงจัง

 

ผลลัพธ์เสียงของนางพญาจิ้งจอกเพิ่งเงียบลง ท่านนักพรตตู้ที่อยู่ข้างๆกลับนั่งไม่ติดอีกต่อไป

 

“ ตี้ ตี้หลงเฉียน !”

 

“ ตี้หลงเฉียนจริงๆเหรอครับ ? ” อาจารย์ตะโกนออกมา พร้อมกับแสดงสีหน้าตื่นตกใจ

 

นางพญาจิ้งจอกกลับพยักหน้าเล็กน้อย แต่ไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย

 

อาจารย์และท่านนักพรตตู้กลับสูดหายใจเข้าลึกๆ พวกเขาแสดงสีหน้าตื่นตกใจ มองยาขวดนั้น ด้วยสายตาที่เป็นกระกาย

 

ผมจะไปรู้จักตี้หลงเฉียนที่ไหนละ แถมไม่เคยได้ยินแม้แต่ ครั้งเดียวด้วยซ้ำ

 

ในเวลานี้ผมยังเหนื่อยจนแทบจะเป็นลมอยู่แล้ว ผมแค่อยากให้มันจบๆไปจะได้ไปพักเท่านั้น

 

ผมจึงไม่มีอารมณ์มาสนใจว่ายานี้จะมีค่าหรือหายากขนาดไหน

 

ผมคํานับขอบคุณ แล้วหยิบขวดยามาเก็บเอาไว้

 

นางพญาจิ้งจอกเห็นผมรับขวดยาไปแล้ว เธอจึงหัวเราะ “ ฮ่าฮ่า ” “ เสี่ยวติง ข้าอยู่ในเขามาตลอดดังนั้น เรื่องทั่วๆไป ก็ให้พวกจิ้งจอกอาวุโสช่วยเจ้าก็แล้วกันนะ !”

 

ขณะที่พูด นางพญาจิ้งจอกก็ชี้ไปที่จิ้งจอกผมสีขาวสองข้างที่อยู่หน้าสุด “ นี่คือตาเฒ่าสาม นี่ตาเฒ่าสี่…”

 

เรื่องก็เป็นแบบนี้ นางพญาแนะนําให้ผมฟังสั้นๆ ถือว่าเป็นการทําความรู้จักคราวๆ ให้ได้คุ้นหน้าคุ้นตากันไว้ เท่านั้น

 

ระหว่าง ผมก็เห็นจิ้งจอกเฒ่าที่สู้กับพวกเราครั้งที่แล้ว

 

ในหมู่จิ้งจอก ฐานะของเขาค่อนข้างสูงส่ง เขาเป็นถึงผู้อาวุโสลําดับที่ 6

 

หลังจากแนะนําทุกคนเสร็จ นางพญาก็พูดกับผมอีกครั้ง “ เผ่าจิ้งจอกของข้าไม่เหมาะใช้ชีวิตในเมืองมนุษย์ แต่เพื่อความสะดวกของเจ้า ข้าจะให้ตาเฒ่าหกอยู่กับเจ้า ! แต่ถ้ายังมีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้อีก เจ้าก็ค่อยเรียกผู้อาวุโสคนอื่น หรือข้าก็ได้”

 

หลังจากพูดจบ ก็มีตาแก่คนหนึ่ง เดินออกมาจากกลุ่มเซียนจิ้งจอก

 

ตาแก่คนนั้นไม่ใช่ใครอื่นๆ เขาก็คือจิ้งจอกเฒ่าที่สู้กับพวก เราเมื่อครั้งที่แล้ว ผู้อาวุโสหกแห่งเผ่าจิ้งจอก

 

ปู่หูลิ่ว

 

คิดไม่ถึงว่านางพญาจิ้งจอกจะสั่งให้จิ้งจอกตัวนี้มาดูแลผม แต่ไม่รอให้ผมได้พูดออกมา จิ้งจอกเฒ่าตัวนั้นก็พูดกับผมว่า “ ข้าคือหลิว ในอนาคตจะมาอยู่ที่ศาลเจ้าหลักเมือง หากชูหม่ามีเรื่องอะไร สามารถมาหาข้าได้ตลอด !”

 

หลังจากที่หูลิ่วพูดจบ นางพญาจิ้งจอกก็พูดออกมาอีกครั้ง “ ก่อนหน้านี้ พวกเจ้าเข้าใจผิดกันนิดหน่อย

 

แต่ก็เป็นวาสนาของพวกเจ้า ดังนั้นข้าเลยสั่งให้ตาเฒ่าหกอยู่ดูแลเจ้า”

 

เมื่อได้ยินนางพญาจิ้งจอกพูดแบบนั้น ผมจะทําอะไรได้อีกละ

 

แต่ถ้าพูดอีกอย่าง ตอนนี้ผมก็เป็นชูหม่าแล้ว เรื่องก่อนหน้านี้ ก็คงหายไปด้วยมั้ง ?

 

ผมไม่ได้เสียมารยาท ยกมือคํานับหูลิ่วทันที “ ท่านปู่หูลิ่ว ต่อไปขอฝากตัวด้วยนะครับ !”

 

หลิวเองก็คํานับกลับ “ ชูหม่าพูดเกินไปแล้ว ตอนนี้คุณเป็นชูหม่าของถางหยินแล้ว ต่อไปพวกเราก็ถือเป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าชูหม่าอยากให้ข้าทําอะไร หูลิ่วคนนี้จะต้องพยายามทําสุดความสามารถอย่างแน่นอน !”

 

หลิวคนนี้แสดงท่าทางสุภาพมาก และไม่วางท่าแม้แต่น้อย

 

เขาคลี่ยิ้มออกมา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

 

นางพญาเห็นว่าเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว เธอจึงสูดควันธูปจํานวนมาก หลังจากนั้นเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “ โอเค ดึกมากแล้ว ขากลับเขาก่อนนะ ทุกคนเต็มที่เลยนะ !”

 

หลังจากพูดจบ นางพญาจิ้งจอกก็ไม่สนใจทุกคน เธอเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทันใดนั้นร่างกายก็กลับมาเป็นจิ้งจอกขาวอีกครั้ง หลังจากนั้นก็วิ่งออกไปนอกศาลเจ้าหลักเมืองทันที

 

จิ้งจอกเฒ่าที่อยู่ในงานก็ไม่รอช้า พวกเขาต่างโค้งคํานับ และตะโกนว่า “ คารวะเจ้าแม่ !”

 

นางพญาจิ้งจอกเร็วมาก เพียงชั่วพริบตาร่างของเธอก็หายเข้าไปในความมืดแล้ว

 

หลังจากนางพญาจากไป จิ้งจอกเฒ่าที่อยู่ในงานก็เตรียมตัวกลับเช่นกัน พวกเขาแต่ตนต่างเข้ามาบอกลา

 

และหนึ่งในนั้นยังรวมถึงยายโม่ด้วย

 

แม้ผมจะเหนื่อยมาก แต่ทําอะไรไม่ได้ ได้แต่มองทุกคนที่เข้ามาด้วยรอยยิ้ม

 

ผ่านไปไม่นาน เซียนจิ้งจอกกลุ่มใหญ่ก็ออกไปจากศาลเจ้าหลักเมือง

ส่วนพวกที่อยู่ต่อ ล้วนเป็นพวกจิ้งจอกที่ปลายแถว

 

ในเวลานี้พวกนั้นกําลังหยิบอาหารบนโต๊ะบูชา กินดื่มกันอย่างมีความสุข

 

ส่วนพวกที่สามารถแปลงเป็นคนได้ ก็ไม่เกรงใจ เข้ามาลากอาจารย์ ท่านนักพรตตู้ เฟิงเฉิวหาน และคนอื่นๆ เข้าไปร่วมวงทันที

 

อาจารย์และคนอื่นๆก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง จึงจำใจต้องร่วมสังสรรค์กับพวกจิ้งจอก

 

หลิวเห็นผมเหนื่อยมาก และมองออกว่าผมอยากนอน “ ชูหม่า ! คืนนี้คุณเหนื่อยมากแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ! เดี๋ยวข้าดูแลที่นี่เอง”

 

ผมง่วงมากจริงๆ จึงไม่เกรงใจ ทํามือคํานับหูลิ่วทันที “ งั้นก็รบกวนปู่หูลิ่วแล้ว ข้าน้อยขอตัวกลับก่อน !”

 

หูลิ่วพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมโบกมือไปด้านข้าง และพูดกับจิ้งจอกสีเหลืองว่า “ เสี่ยวเหมย ! มานี่ ชูหม่าง่วงแล้ว เจ้าเดินกลับไปเป็นเพื่อนชูหม่าหน่อย”

 

จิ้งจอกสีเหลืองตัวนั้นกําลังกินเนื้ออยู่ เมื่อได้ยินหูลิ่วพูดแบบนั้น เธอก็รีบวางเนื้อ กระโดดมาทางพวกเราทันที ในเวลาเดียวกันก็สะบัดตัว กลายร่างเป็นสาวน้อยคนสวย

 

สาวน้อยคนนั้นเพิ่งปรากฏตัว เธอก็พูดกับหูลิ่วด้วยความเคารพ “ ได้ค่ะ ท่านปู่ !”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset