ศพ – ตอนที่ 243 เริ่มพิธีย้ายหลุมศพ

ตอนที่ 243 เริ่มพิธีย้ายหลุมศพ

 

ผมเห็นผู้อาวุโสณีออกไปแล้ว ผมจึงพูดกับคุณฉีที่กําลังคํานับว่า “ คุณฉี ผู้อาวุโสออกไปแล้ว คุณรีบลุกขึ้นเถอะ!”

 

คุณไม่พูด แต่เขาก็ลุกขึ้น

 

เหล่าเฟิงเองก็ปล่อยภรรยาคุณฉี แต่วินาทีที่คุณฉีลุกขึ้น ภรรยาคุณฉีก็พุ่งเข้ามาจะตบหน้าผม

 

“ ไอ้นักพรตชั่ว แกมันพูดจาเหลวไหล!”

 

แต่มือยังไม่มาถึงหน้าผม คุณฉีก็จับมือภรรยาเอาไว้ “ พอแล้ว ท่านนักพรตเสี่ยวติงแค่พูดแทนพ่อ เธอทําเรื่องผิดต่อฉันรึเปล่า ? พวกเรากลับไปตรวจเดียวก็ได้รู้! ไม่ท้องดีที่สุด นี่จะถือเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด แต่ถ้าท้อง แกเตรียมหย่ากับฉันได้เลย! แล้วยังต้องชดใช้ให้ฉันทั้งหมด!”

 

หลังจากพูดจบ คุณฉีก็สะบัดมืออย่างรวดเร็ว และผลักภรรยาออกไปทันที

 

จากนั้นก็หันมาพูดกับพวกเราว่า “ ท่านนักพรตทั้งหลาย ยังกินข้าวกันไม่เสร็จเลย พวกเราไปกินต่อเถอะครับ!”

 

ขณะที่พูด คุณฉีก็ฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย

 

ภรรยาคุณฉีที่ล้มลงกับพื้น กลับร้องไห้ออกมาทันที

 

พวกเราไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี แต่ยังไงพวกเราก็รู้สึกอึดอัดมาก

 

หลังจากนั้น พวกเราก็ออกจากห้องมาถึงตัวบ้าน

 

เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตู ก็มีคนแก่หลายคนและพวกป้าๆ เข้ามาถามไถ่

ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ฉีเสี่ยวเทียนเป็นอะไร แล้วทําไมภรรยาคุณฉีกําลังร้องไห้อยู่

คุณฉียังยิ้มให้ พูดว่าไม่มีอะไร เด็กตกใจเลยร้องไห้ บอกให้ทุกคนไปกินข้าวกันต่อ

 

ผู้คนในที่นั้นไม่ได้คิดอะไรมาก ในเมื่อเด็กดีขึ้นแล้ว และยังได้ยินคุณฉีพูดแบบนั้น ดังนั้นทุกคนจึงเข้ามานั่งล้อมวง และกินข้าวกันต่อ

 

แต่คุณฉีที่นั่งข้างๆ เห็นได้ชัดว่าเขากินไม่ลง เอาแต่รินเอง ดื่มเอง

 

แม้ตอนกินข้าวจะเจอเรื่องขัดจังหวะเล็กน้อย แต่มันไม่ได้ส่งผลต่อความอยากอาหารของผมและเฟิงเฉ่วหาน ช่วงเวลานี้พวกเรากินดื่มกันอย่างเต็มที่

 

คนแก่และพวกป้าๆที่อยู่ที่นี่ หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ก็อยู่ต่อกันอีกแป๊บหนึ่ง หลังจากนั้นก็กลับบ้านของตัวเอง

 

คนที่เหลืออยู่ก็คือนักพรตอย่างพวกเรา ครอบครัวคุณและคนขับรถสามคน

 

ตอนนี้คุณฉีดื่มเข้าไปเยอะแล้ว แต่ก็ยังมีแรงดึงคนขับรถอีกสองคนไปนั่งดื่มเป็นเพื่อน

 

ลูกน้องของเขาก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง จึงต้องนั่งดื่มกับคุณ

 

คุณฉีดื่มไปเพ้อไป เขาพูดว่า ทําไมฉันโง่ขนาดนี้ น่าจะรู้ตั้งนานแล้ว

 

หลังจากพูดจบเขาก็พูดต่อทันที ไม่ไม่ไม่ พ่อต้องเข้าใจผิดแน่ นี่ไม่ใช่เรื่องจริง ต้องเป็นเรื่องโกหก

 

เสี่ยวเทียนต้องเป็นลูกของฉัน

 

คนขับรถสามคนไม่เข้าใจ แต่อาจารย์ ท่านนักพรตตู๋ ผมและเหล่าเฟิง กลับเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง

 

คุณฉีกําลังพูดเรื่องที่เขาโดนภรรยาสวมเขา ผู้อาวุโสเป็นฉี เป็นธรรมดาที่เขาจะแยกแยะออกว่าเสี่ยวเทียนเป็นหลานของเขารึเปล่า

 

ภรรยาคุณฉีสวมเขาให้คุณอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแค่คุณไม่เห็นผู้อาวุโสฉีด้วยตัวเอง ในใจจึงยังมีความหวังบางๆ หวังว่าเรื่องนี้จะเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด

 

ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ใครจะยอมรับเรื่องสวมเขาได้ และยังเรื่องเลี้ยงลูกให้คนอื่นอีก

 

อาจารย์และท่านนักพรตตู๋เห็นคุณฉีดื่มเยอะแล้ว จึงบอกให้คนขับรถทั้งสามคนพาเขากลับห้อง

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนต่างตั้งตื่นแต่เช้า เพราะวันนี้ต้องย้ายหลุมศพ เมื่อทําเรื่องนี้เสร็จ งานของพวกเราก็จะเสร็จสมบูรณ์

 

ก่อนหน้านี้อาจารย์และท่านนักพรตตู๋คํานวณเวลาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว สําหรับวันเดือนปีเกิดของผู้อาวุโส

 

วันนี้มีช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดอยู่สองช่วง หนึ่งคือเก้าโมงเช้า สองคือหกโมงเย็น สําหรับผู้อาวุโสฉีทั้งสองเวลา สองช่วงนี้เป็นฤกษ์ดีที่สุด

 

ถ้าย้ายหลุมศพเวลาอื่น จะถือว่าไม่ค่อยเหมาะสม

 

เพียงแต่หลังจากตื่นมาตอนเช้า เตรียมของไปทําพิธี พวกเรากลับไม่เห็นเงาของคุณฉี

 

ต่อมาถึงได้รู้ว่า เมื่อคืนคุณฉีดื่มเยอะเกินไป อย่าว่าแต่ตามไปย้ายหลุมศพเลย ตอนนี้เขายังไม่ตื่นด้วยซ้ํา

 

อาจารย์และท่านนักพรตตู้เห็นคุณฉียังไม่ตื่น เลยตัดสินใจรออีกหน่อย จึงเลื่อนเป็นหกโมงเย็นแทน

 

ดังนั้น พวกเราจึงได้แต่อยู่ในบ้าน

 

ตอนกลางวัน สายตาที่ภรรยาคุณฉีใช้มองพวกเราไม่ดีเหมือนเก่าก่อนแล้ว หรือแม้แต่ส่งสายตาเกลียดชังพวกเราด้วย

 

แต่พวกเราก็ทําอะไรไม่ได้ ยังไงหลังจากย้ายหลุมเสร็จพวกเราก็จะจากไป เรื่องอื่นพวกเราจัดการไม่ไหว

 

เมื่อถึงเวลาประมาณบ่ายสาม ในที่สุดคุณฉีของเราก็ตื่นซะที

 

เขาเดินโซซัดโซเซออกจากห้อง อาจารย์และท่านนักพรตตู๋เห็นคุณฉีเดินออกมา จึงเล่ารายละเอียดการย้ายหลุมศพให้คุณฉีฟังหนึ่งรอบ

 

บอกเขาว่าถ้าเขาอยากย้ายหลุมศพวันนี้ จะต้องรอให้ถึงตอนเย็น ตอนเย็นเมื่อฟ้ามืดแล้ว ความเร็วอาจช้าลงหน่อย และอาจเกิดข้อผิดพลาดไปด้วย

 

ถ้าไม่ย้ายหลุมศพวันนี้ จะต้องรออีกสองวันถึงจะตรงกับฤกษ์ดี

 

คุณฉีขมวดคิ้ว แต่ก็ยังตัดสินใจจะย้ายเย็นนี้

 

บอกว่ามีอาจารย์และท่านนักพรตอยู่ เขามั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน

 

ในเวลาเดียวกันเขายังหันไปมองลูกชายที่กําลังเล่นของเล่นอยู่ไม่ไกล บอกว่าพอเรื่องนี้จบแล้ว

 

ถึงจะเป็นตอนกลางดึก เขาก็จะกลับเข้าเมืองไปจัดการเรื่องครอบครัวทันที

 

มันชัดเจนมาก คุณฉียังคิดเรื่องสวมเขาอยู่ เขาอยากเข้าเมืองไปตรวจดีเอ็นเอให้แน่ใจ

 

อาจารย์และท่านนักพรตตู๋เห็นคุณฉีตัดสินใจแล้ว จึงไม่พูดอะไรมาก

 

แม้การย้ายหลุมศพตอนกลางคืนจะยุ่งยากอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทําไม่ได้ บวกกับเป็นความต้องการของนายจ้าง พวกเราจึงทําตามเวลาที่กําหนดไว้

 

ตอนนี้บ่ายสามกว่าแล้ว ห่างจากหกโมงเย็นอีกสองชั่วโมงนิดๆ ดังนั้นพวกเราจึงเริ่มทํางาน

 

พวกเรานําสัตว์สามอย่าง และอุปกรณ์ขุดหลุมศพ ออกไปจากบ้าน

 

แต่ตอนออกจากบ้าน คุณฉีและภรรยากลับทะเลาะกันยกหนึ่ง และยังรุนแรงมากด้วย

 

เมื่อมาถึงหลุมศพใหม่ ท่านนักพรตตู๋ เฟิงเฉ่วหาน และคนขับรถคนหนึ่งอยู่ที่นี่

 

เมื่อถึง 6 โมงเย็น พวกเราจะเริ่มขุดพร้อมกัน

อ่านนิยาย เรื่องนี้ ก่อนใคร ที่ novelza.com

หลังจากนั้นท่านนักพรตตู๋และคนอื่นๆ จะตามมารวมตัว กับพวกเราที่หลุมศพเดิม ช่วยกันยกโลง และย้ายหลุมศพ

 

เรื่องพวกนี้ถูกเตรียมการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงรอให้ถึงเวลาที่กําหนดเท่านั้น

 

ขอแค่ไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น ก่อนห้าทุ่ม พวกเราก็น่าจะทําทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย

 

ผ่านไปไม่นาน ผม อาจารย์ คุณฉี และคนขับรถอีกสองคน ก็ได้มาถึงหลุมศพดังเดิม

 

ผมทําตามที่อาจารย์สั่ง ทําสัตว์สามอย่างวางไว้หน้าหลุมศพก่อน นําผ้าขาวแขวนเอาไว้รอบๆ จากนั้นอาจารย์ก็เริ่มทําพิธี

 

คุณคุกเข่าอยู่ข้างๆ ส่วนคนขับรถอีกสองคนกําลังช่วยกันเผากระดาษ

 

หลังจากอาจารย์ทําการเซ่นไหว้เสร็จ ก็เป็นเวลา 5 โมงเย็นแล้ว ยังมีเวลาหนึ่งชั่วโมงในการขุดดิน

 

อาจารย์พักครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็พูดกับพวกเราว่า “ โอเค ใกล้ถึงเวลาแล้ว ฉันจะเริ่มทําพิธีย้ายหลุมศพ

 

ตอนเริ่มพิธีย้ายหลุมศพคุณฉี คนขับรถทั้งสองคน! แล้วก็แก ถอยออกไปก่อน! ”

 

“ ได้อาจารย์ ! ” ผมขานรับ หลังจากนั้นก็รีบถอยไปอยู่หลังอาจารย์อย่างรวดเร็ว

 

คุณฉีและคนขับรถอีกสองคนก็ไม่รอช้า รีบถอยหลังอย่างรวดเร็ว

 

อาจารย์เห็นพวกเราถอยไปแล้ว เขาก็ไม่รอช้า จุดธูป หยิบยันต์สามแผ่นออกมา

 

เขาพูดลากเสียงยาว และดังมาก “ กาน ชิง เฉา ช่าง คุน ยุ่น ฟาน กาง หลง หม่า หนิว เฉอ ตั้งแต่บรรพการ ยันต์สามแผ่นเช่นวิญญาณ หวังว่าท่านทั้งสองจะให้เกียรติ”

 

หลังจากพูดจบ อาจารย์โยนยันต์สามแผ่นออกจากมือ ไม่รอให้ยันต์ตกถึงพื้น อาจารย์ก็ประสามมือท่าเทียนเฮ่ออย่างรวดเร็ว

 

“ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง เพี้ยง !”

 

หลังจากพูดจบ ท่าประสานมือเทียนเฮ่อก็ชี้ไปข้างหน้า ทันใดนั้นยันต์สามแผ่นที่ตกลงมาบนพื้นดัง “ตูม”

 

ก็ระเบิดกลายเป็นลูกไฟ เผายันต์เป็นเถ้าถ่านทันที

 

แต่อาจารย์ยังไม่หยุด หลังจากขี้เถ้าของยันต์ทั้งหมดลอยหายไปแล้ว อาจารย์หยิบดาบไม้ขึ้นมา รําไปรอบๆ เห็นได้ชัดว่าพิธีเริ่มต้นขึ้นแล้ว

 

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset