ศพ – ตอนที่ 246 เรื่องไม่คาดที่เกิดจากการตกใจ

ตอนที่ 246 เรื่องไม่คาดที่เกิดจากการตกใจ

 

หลังจากยกโลงขึ้น โลงของปูคุณฉี ฉีเต๋อหวางอยู่ข้างหน้า พวกเราเดินตามอยู่ข้างหลัง

 

ขณะที่น้ําในโลงกําลังหยดลงมาอย่างต่อเนื่อง น้ําหนักของโลงก็เริ่มเบาขึ้น จึงทําให้พวกเราแบกโลง

 

รู้สึกสบายขึ้นเยอะ

 

อาจารย์ยังสั่นกระดิ่ง “ กริ้งกริ้งกริ้ง” และโรยกระดาษหนึ่งกํามือ

 

ตอนแรกพวกเรายังมีพลังเต็มเปี่ยม การแบกโลงไปข้างหน้าจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่

 

แต่หลังจากแบกมาได้ 2-3 นาที ทุกคนก็เริ่มไม่ไหว น้ําหนักของโลงทําให้คนแบกเริ่มหายใจหอบเหนื่อย รู้สึกปวดไหล่แบบผิดปกติ

 

พวกเรายังถือว่าดี เพราะเดิมทีก็ทํางานในสายนี้ ปกติก็ทํางานหนักกันเป็นประจํา ถึงจะทรมาน แต่พวกเราก็ยังอดทนได้

่ 

แต่คุณฉีและคนขับรถอีกสามคน เริ่มทนไม่ไหวแล้ว

 

ปกติคนพวกนี้แทบไม่ได้ทํางานใช้แรงเลย และยังออกกําลังกายน้อยมาก

 

ตอนนี้การแบกโลงบนทางภูเขา จึงกลายเป็นการทรมานพวกเขา

 

แต่สิ่งที่สําคัญยิ่งกว่านั้นคือ โลงนี้จะแตะพื้นไม่ได้ ยังไงก็ต้องยกเอาไว้ตลอด วางพักไว้แม้แต่น้อยก็ไม่ได้

 

ถึงผมจะเป็นคนแบกโลงคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เส้นทางที่ใช้คือทางลงภูเขา

 

ผมอยู่ข้างหลัง น้ําหนักส่วนใหญ่อยู่ข้างหน้า ขอแค่ผมรักษาสมดุลได้ ก็ไม่มีปัญหาอะไรมากแล้ว

 

แต่ตอนนี้คุณและคนขับอีกคน เริ่มไม่สบายตัวแล้ว พวกเขาเซไปเซมา จนเกือบทําโลงหล่นพื้นหลายต่อหลายครั้ง

 

ผมเห็นคุณและคนขับรถอีกคนทนไม่ไหว ผมจึงตะโกนจากข้างหลังว่า “ คุณฉีต้องอดทนเอาไว้นะครับ

 

ยังต้องเดินอีก 10 นาที พอถึงที่หมายก็ไม่เป็นอะไรแล้วครับ ห้ามทําโลงโดนพื้นเด็ดขาด ถ้าโดนพื้นจะไม่ใช่แค่ดูหมิ่นผู้อาวุโสฉี มันยังหมายถึงโชคลาภในอนาคตของคุณด้วยนะครับ!”

 

สองปีมานี้คุณฉี หลงไหลในเรื่องโชคลาภสุดๆ

 

ในเวลานี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาก็อีกเพิ่มขึ้นมาทันที ทันใดนั้นเขาก็กลับมามีพลังอีกครั้ง

 

เขากัดฟัน ยกโลงขึ้น ในเวลาเดียวกันก็พูดเสียงเข้ม “ พวกนายสามคนอดทนหน่อยนะ อย่าทําผิดพลาดเด็ดขาด หลังจากย้ายหลุมศพให้ครอบครัวฉันแล้ว เดือนนี้ฉันจะให้เงินเดือน 3 เท่า !”

 

คนขับรถทั้งสามคนเป็นเพียงคนธรรมดาที่หาเงินเลี้ยงชีพไปวันๆ ถ้าไม่ได้กลัวว่าจะตกงาน ตีให้ตายพวกเขาก็ไม่มีทางมายกโลงเด็ดขาด

 

แต่ตอนนี้กลับได้ยินว่าคุณฉีจะเพิ่มเงินให้พวกเขาอีก ทุกคนจึงคึกคักขึ้นมาทันที

 

แต่ละคนต่างเรียกพลังของตัวเอง กัดฟัน และฝืนต่อไป

 

คนออกแรงพร้อมกันเสียง “ เฮเฮ้” ก็ดังขึ้นตลอดทาง

 

โชคดีที่ไม่มีเรื่องอันตรายเกิดขึ้น แต่ถ้าพูดถึงเรื่องอันตรายที่สุด มันก็น่าจะเป็นการเดินลงเขาที่ลาดชัน

 

ตอนนี้พวกเรามาถึงเชิงเขาแล้ว และที่หลุมศพใหม่ก็ยังไม่มีอันตรายใดๆปรากฏขึ้น ผ่านไปอีกแป๊บเดียวพวกเราก็จะถึงแล้ว

 

ระยะทางข้างหน้าไม่ถึง 10 นาทีแล้ว แต่เสื้อผ้าของพวกเราทุกคนกลับเปียกชุ่ม และเสียงหายใจหอบเหนื่อยที่ดังก้อง

 

แต่หลังจากมาถึงที่นี่ อาจารย์กลับส่งสัญญาณให้หยุดเดิน บอกให้พวกเรารอก่อน เขาจะไปเอาหมาดําที่ผูกเอาไว้ตรงหลุมศพใหม่ออกก่อน

 

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็รีบวิ่งไปที่หลุมศพ

 

คุณฉีและคนอื่นๆไม่เข้าใจว่าทําไมต้องทําแบบนั้น ขณะที่แบกโลงไว้ เขาก็พูดด้วยเสียงหอบหายใจ

 

“ ท่าน ท่านนักพรตเสี่ยวติง ท่าน ท่านนักพรตติงผูกหมาเอาไว้ทําไม โลง โลงหนักมาก ผมกลัวว่าจะทนต่อไปได้ไม่นาน… ”

 

ขณะที่พูด ผมยังพบว่าเท้าทั้งสองข้างของคุณฉีกําลังสั่น เห็นได้ชัดว่าเขากําลังจะถึงขีดสุดแล้ว

 

ผมหายใจทางปากอยู่ ทันใดนั้นจึงตอบกลับทันที “ คุณฉี คุณอาจจะไม่รู้ หมาเห่าผี แมวเรียกศพ หลุมศพใหม่ของผู้อาวุโสฉีเพิ่งถูกสร้างขึ้น และยังไม่ได้เอาโลงลงไป ดังนั้นต้องผูกหมาดําเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผีเร่ร่อนที่ผ่านมายึดหลุมศพนั้น ตอนนี้ผู้อาวุโสลงเขามาแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่ปล่อยให้มันสร้างโชคร้ายกับผู้อาวุโสทั้งสองได้ ดังนั้น ต้องเอามันออกไป ให้ผู้อาวุโสทั้งสองเข้าไป คุณฉี อดทนต่อ อีกหน่อย

 

อีกเดี๋ยวอาจารย์ผมก็กลับมาแล้ว !”

 

ผมอธิบายอย่างละเอียด เมื่อคุณได้ยิน เขาก็ตอบรับ “ อมยิ้ม” เข้าใจเรื่องนี้แล้ว

 

พวกเรารออยู่ในปาประมาณ 5 นาทีเต็ม ทุกคนจะหมดแรงแล้ว เท้าทั้งสองข้างสั่นอย่างไม่รู้ตัว

 

แต่ทุกคนก็กัดฟันแน่น ไม่กล้าทําเรื่องต้องห้าม

 

ตอนนี้ อาจารย์วิ่งกลับมาจากที่ห่างไกล

 

หลังจากเขากลับมาถึงก็ไม่หยุดพักหายใจ สั่นกระดิ่ง “ กริ้งกริ้งกริ้ง” ทันที “ ประตูเอ๋ย จงเปิดทางให้ผู้อาวุโสฉีด้วย !”

 

อาจารย์ลากเสียงยาว ส่งสัญญาณให้พวกเราเดินต่อ

 

ทุกคนทนไม่ไหวแล้ว อยากให้ถึงหลุมศพเร็วๆ จะได้นําโลงลงหลุมซะที

 

ตอนนี้เมื่อเห็นอาจารย์ส่งสัญญาณ หัวมังกรของโลงทั้งสองจึงอดก้าวเท้าไปข้างหน้าไม่ได้ ผม เหล่าเฟิง

 

และท่านนักพรตตู้ก็รีบเดินตามอย่างรวดเร็ว

 

แม้จะลําบาก แต่ทุกอย่างก็ราบรื่น และหลุมศพใหม่ก็อยู่ตรงหน้า การย้ายหลุมศพจึงใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว

 

แต่สิ่งที่ทําให้พวกเราคิดไม่ถึงคือ ขณะที่มาถึงช่วงเวลาสําคัญ จู่ๆก็มีปัญหาเกิดขึ้น

 

เหล่าเฟิงและท่านนักพรตตู้เพิ่งแบกโลงนั้นออกจากป่า ทันใดนั้นพวกเขาก็เจอเรื่องไม่คาดคิด

 

จู่ๆงูหนึ่งตัวก็พุ่งออกมาจากพุ่มไม้ คุณและคนขับรถแซ่ซูที่อยู่ข้างหน้าตกใจ ร้องตะโกนออกมาทันที “งู!”

 

หลังจากพูดจบ ทั้งสองคนก็รีบเบี่ยงตัวหลบ ทันใดนั้นโลงก็เริ่มเอียงไปทางซ้าย และทําท่าจะคว่ํา

 

เมื่อเห็นภาพนี้ ผมก็หน้าถอดสี รีบพูดออกมาทันที “ หยุด หยุด….”

 

ขณะที่พูด ผมยังรีบประคองโลงเอาไว้ พยายามทําให้มันกลับมาสมดุลดังเดิม

 

คนแบกโลงอย่างพวกเรา เดิมทีก็ขาดคนไปคนหนึ่งแล้ว ตอนนี้ผมคนเดียวจะดูแลโลงได้ยังไง ?

 

โลงเอียงลงทันที “ ปัง ” สุดท้ายโลงก็พลิกคว่ําลงกับพื้น

 

ส่วนพวกเราสามคน เพราะแรงเฉื่อยของโลง ทําให้พวกเราสามคนกลิ้งไปกับพื้นเช่นกัน

 

วินาทีนั้น ผมรู้สึกชาไปครึ่งตัว

 

ก่อนจะยกโลง อาจารย์และท่านนักพรตตู๋กําชับแล้วกําชับอีก ว่าตอนย้ายโลงห้ามมีปัญหาเด็ดขาด

 

จะต้องไม่ทําให้โลงสัมผัสกับพื้น

 

แต่ตอนนี้ละ ? อย่าว่าแต่สัมผัสเลย โลงทั้งโลงพลิกคว่ําเรียบร้อยแล้ว

 

และหลังจากที่มันพลิกคว่ํา บางอย่างที่อยู่ในโลงก็ระเบิดไอสีดําออกมาทันที

 

เมื่ออาจารย์ ท่านนักพรตตู๋ และคนอื่นๆได้ยินเสียงพวกเราข้างหลัง พวกเขาก็รีบหยุดเดินทันที

 

หลังจากที่เห็นโลงของพวกเราพลิกคว่ํา พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าตื่นตกใจ

 

อาจารย์รีบวิ่งเข้ามาทันที “ เกิดอะไรขึ้น ? เร็ว รีบลุกขึ้น รีบยกโลงขึ้นใหม่เร็วเข้า ”

 

เห็นได้ชัดว่าอาจารย์อารมณ์เสียมาก ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ก็โยนยันต์ออกมาสามแผ่น แล้วพูดว่า

 

เป็นอุบัติเหตุเป็นอุบัติเหตุ โปรดอภัยโปรดอภัย

 

ผมรีบลุกขึ้น และวิ่งเข้ามาข้างโลงเริ่มออกแรงดัน เพื่อให้มันกลับมาอยู่ในตําแหน่งเดิม

 

เพื่อจะได้ยกโลงขึ้นใหม่อีกครั้ง

 

แต่ผมพบว่า โลงนั้นหนักผิดปกติ ผมคนเดียวไม่สามารถดันมันให้ขยับได้เลยสักนิด

 

ส่วนคุณฉีและคนขับรถคนนั้น กลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหมือนกับยังมั่นอยู่

 

เรื่องเข้าขั้นวิกฤต ผมจึงไม่เกรงใจ ตะคอกใส่พวกเขาทันที “ จะนิ่งหาอะไร ? รีบเข้ามาช่วยกันซิ !”

 

เมื่อคุณฉีและคนขับรถแซ่ซูได้ยินคําพูดนี้ ถึงได้กลับมามีสติอีกครั้ง “ ฮือฮือ ” จากนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาดันโลงทันที

 

แต่สิ่งที่แปลกคือ ช่วงเวลานั้นโลงนี้กลับหนักผิดปกติ ถึงพวกเราสามคนจะร่วมมือกัน มันก็ยังขยับแค่เล็กน้อย

 

ไม่ใช่แค่นั้น ในเวลานี้ผมยังได้ยินเสียงบางอย่างจากในโลง เป็นเสียงหายใจเบาๆ ฮือ ฮือ ฮือ…

 

ทันใดนั้นในใจผมก็มีเสียงดัง “ อึก ” สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

 

เสียง- เสียงนี่คือ… คือเสียงลมหายใจของศพ ศพในนี้… ศพในนี้เปลี่ยนไปแล้ว

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset