ศพ – ตอนที่ 25 เรียนวิชา

ก่อนที่ผีชั่วจะตาย มันยังกล้าพูดขู่ และยังอยากฆ่าผม สิ่งนี้ทำให้ผมถึงกับหงุดหงิด

“ความตายมาถึงแล้ว แกยังกล้าพูดมากอีกนะ!” หลังจากพูดจบ ผมก็เข้าไปถีบผีชั่วทันที

แต่กลับถูกอาจารย์รั้งเอาไว้ จู่ๆผีชั่วก็หัวเราะ “ฮึฮึฮึ” อย่างเย็นชา “ฉันรู้ว่าเธอคือใคร พวกเขากำลังจะมาถึงแล้ว และแกก็ใกล้จะตายแล้ว!”

ผีชั่วพูดประโยคสุดท้ายกับผม และคำว่า “เธอ” คงหมายถึงผีเมียมู่หลงเหยียน

แต่ที่เขาพูดว่า “พวกเขา” มันหมายถึงใครกันนะ

ขณะที่ผมกำลังทำหน้าสงสัย นักพรตตู๋ที่อยู่ข้างๆก็ลงมือ

 

เขากวัดแกว่งมือทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็พูดว่า “ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง ทำลาย!”

หลังจากพูดออกมา ยันต์ที่ติดบนหน้าผากของผีชั่วตนนั้น ก็เปล่งแสงสีขาวออกมาจางๆ จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงระเบิดดัง “ปัง”

วินาทีนั้นยันต์ระเบิดในทันที เผยไอร้อนจากพลังหยางออกมา

เพราะยันต์ที่ทรงพลัง จึงทำให้ผีชั่ว ไม่ทันได้เปล่งเสียงออกมาสักนิด ร่างวิญญาณของเขาก็แตกสลาย กลายเป็นแสงสว่างเล็กๆ จากนั้นก็เลือนหายไปทันที

สำหรับคำพูดก่อนตายของเขา แม้ว่าจะทำให้ผมรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาก็ตายไปแล้ว เลยไม่มีใครให้ถามอีก

 

ดังนั้น ผมจึงไม่คิดมาก คิดซะว่าขณะที่ผีชั่วกำลังจะตายมันแค่พูดเหลวไหลออกมาก็เท่านั้น

เมื่อผีชั่วดับสูญไปต่อหน้า ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

เวลามากกว่าหนึ่งสัปดาห์ติดต่อกัน ทำให้ผม อาจารย์ และเหล่าฉิน ต่างก็เหนื่อยล้า

แต่ตอนนี้ เรื่องทุกอย่างนี้ก็จบลงซะที จึงทำให้พวกเราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจ

“ในที่สุดก็จบซะที!” เหล่าฉินพูดออกมาด้วยความโล่งใจ

“เสี่ยวฝาน ตอนนี้แกสบายใจได้ พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมา ก็เริ่มเรียนวิชากับอาจารย์ได้แล้ว!” อาจารย์เองก็พูดออกมาด้วยความโล่งอก

 

ผมคลายความกังวลที่อยู่ในใจไปทันที  เมื่อได้ยินว่าอาจารย์จะสอนวิชาให้ผมจริงๆ ผมก็เผยท่าทางดีใจออกมา

ถึงตอนนี้จะดึกมากแล้ว แต่ทุกคนกำลังมีความสุข

เพราะในที่สุดก็จัดการเรื่องเลวร้ายไปได้ซะที จากนั้นพวกเราจึงไปกินข้าวมื้อดึกกันที่ร้านริมถนนภายในตำบล

ผมและอาจารย์ต่างรู้สึกขอบคุณนักพรตตู๋มาก ถ้าไม่ได้นักพรตตู๋ช่วยเอาไว้ ป่านนี้คงไม่สามารถจัดการผีน้ำได้เร็วขนาดนี้

นักพรตตู๋ อาจารย์ และเหล่าฉิน ต่างพากันไปดื่นฉลอง เมื่อคนแก่ทั้งสามได้คุยกันก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้ากันได้ดีเลยละ

 

นักพรตตู๋ยังพูดว่า ถ้าผ่านไปอีกสักพัก แล้วเขาสามารถเก็บเงินได้มากพอ ก็จะกลับมาอยู่ที่ตำบล ไม่ออกไปร่อนเร่พเนจรอีกแล้ว

แต่เหล่าฉินยังคงต่อว่านักพรตตู๋ นักพรตตู๋ก็ไม่โกรธเหมือนเดิม เขายังเทเหล้าให้อาจารย์และเหล่าฉินต่อไป

แม้ว่าเฟิงเฉ่วหานและผมจะมีอายุเท่ากัน แต่เจ้านี้มันเย็นชาเกินไป แทบไม่พูดอะไรเลยสักนิด

แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังแลกเบอร์ไว้ติดต่อกัน คงเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่งละมั้ง

เมื่อคืนพวกเรานอนกันจนเกือบเช้า ตอนแรกคิดจะนอนต่ออีกหน่อย แต่ไม่ถึง 10 โมง ก็ถูกอาจารย์ปลุกซะแล้ว

 

ผมจ้องหน้าอาจารย์ด้วยอาการสะลึมสะลือ และปากที่ไม่พร้อมจะพูด “อาจารย์ นี่มันยังเช้าอยู่เลยนะ! ให้ผมนอนต่ออีกหน่อยเถอะนะอาจารย์!”

ผมยังขี้เกียจสันหลังยาว แต่อาจารย์กลับพูดอย่างเย็นชา “รีบใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วออกมาไหว้อาจารย์ปู่!”

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็เดินออกไปทันที

เมื่อได้ยินคำว่าไหว้อาจารย์ปู่ ผมก็พึ่งนึกออก เมื่อวานอาจารย์บอกว่าวันนี้จะถ่ายทอดวิชาให้ผมนิหว่า

ผมไม่รอช้า ร่างกายตื่นตัว รีบลุกขึ้นมานั่ง จากนั้นก็ใส่เสื้อผ้าและออกไปนอกห้องทันที

แต่ในเวลานี้อาจารย์ กำลังยืนอยู่ที่หน้าป้ายวิญญาณอาจารย์ปู่ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม

 

เมื่อเขาเห็นผมออกมา ก็รีบพูดกับผมด้วยเสียงทุ้มต่ำ “คุกเข่าที่หน้าป้ายวิญญาณอาจารย์ปู่!”

ผมไม่กล้าชักช้า รีบเข้ามาคุกเข่าทันที

เมื่ออาจารย์เห็นผมคุกเข่าเรียบร้อย เขาก็จุดธูปสามดอก พูดกับป้ายวิญญาณอาจารย์ปู่ “ลูกศิษย์ติงโย่วซาน ต่อหน้าท่านอาจารย์ผมขอรับติงฝานเป็นลูกศิษย์อีกครั้ง ทำภารกิจของอาจารย์ปู่ให้สำเร็จ เก็บศพด้วยหัวใจ!”

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็ไหว้ป้ายวิญญาณอาจารย์ปู่สามครั้ง

แต่เมื่อผมได้ยินคำพูดของอาจารย์ กลับรู้สึกอึดอัดใจนิดหน่อย อะไรคือ “รับติงฝานเป็นลูกศิษย์อีกครั้ง”

หรือว่าก่อนหน้าผม อาจารย์เคยรับศิษย์มาก่อนงั้นเหรอ

 

แต่ตอนนี้ผมกำลังดีใจ ความคิดนี้จึงหายไป และไม่คิดมากอีก

หลังจากอาจารย์ไหว้ครบสามครั้ง ก็หยิบมีดขึ้นมาเฉือนนิ้วของผม ที่เป็นการหยดเลือดสาบาน และยังเป็นวิธีกำจัดความชั่วร้าย รักษาความยุติธรรมอะไรทำนองนั้น

จากนั้นอาจารย์พูดอะไร ผมก็พูดตาม

หลังจากสาบานเสร็จ ผมก็ไหว้อาจารย์ปู่สองสามครั้ง จากนั้นก็ถือว่าเสร็จพิธีแล้ว

เมื่ออาจารย์เห็นผมยืนขึ้น เขาก็พูดกับผมว่า “เสี่ยวติง ในเมื่อหยดเลือดสาบานต่อหน้าอาจารย์ปู่แล้ว อาจารย์ก็จะถ่ายทอดวิชาที่แท้จริงให้กับแก!”

 

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็พาผมไปห้องเล็กๆ

บอกว่าวิชาที่ดีที่สุดของพวกเรา ก็คือยันต์

ดังนั้นวิชาแรกที่อาจารย์จะสอนให้กับแกก็คือการขับไล่วิญญาณชั่วร้าย และยันต์สามแผ่น

ชื่อยันต์ แบ่งออกเป็นยันต์แปดทิศปราบมารร้าย ยันต์ดาวไถทำลายความชั่วและยันต์อัญเชิญเทพติงเจี่ย 12 องค์มาลงโทษวิญญาณร้าย

ส่วนวิธีในการใช้มีการวาด การทำมือ และการกระตุ้น อาจารย์ยังบอกอย่างละเอียดมาก

เมื่อเรียนเรื่องพวกนี้เสร็จ อาจารย์ก็ไม่สนใจผมอีก

 

บอกว่าการฝึกต้องพึ่งพาตัวเอง ส่วนเรื่องที่ผมจะเข้าใจมากน้อยขนาดไหนนั้น อาจารย์บอกว่าเข้าใจเท่าไหร่ก็เท่านั้นแหละ หลังจากพูดจบอาจารย์ก็เดินออกไปดื่มชาที่ด้านนอก

เนื่องจากติดตามอาจารย์มาหลายปี ผมจึงเคยเห็นยันต์สามแผ่นนี้มาก่อน แต่ผมไม่รู้ว่าเวลาใช้มันจะต้องทำการวาดและการใช้ด้วยมือ

สำหรับเรื่องการกระตุ้นและเรื่องโชคชะตานั้น ผมกลับไม่เคยรู้มาก่อน

เหมือนวันนี้อาจารย์จะสอนทุกอย่าง ผมไม่เพียงรู้สึกดีใจเท่านั้น ยังตั้งใจเรียนอย่างมากด้วย

ผมเข้ามาอยู่ในสายงานนี้ก็หลายปี วิธีวาดจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผม หรือพูดได้ว่ายันต์สิบแผ่น ยังสามารถทำให้กลายเป็นแผ่นเดียวได้สบายๆ

 

ส่วนการทำผสมกับกระบวนท่าทำมือนั้น มันยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากสำหรับผม

ผมฝึกตั้งแต่เช้า จนถึงตอนดึกแต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ทุกอย่าง

ดีที่เจ้าผีชั่วนั้นถูกกำจัดไปแล้ว ดังนั้นสองสามวันหลังจากนั้น ผมเลยไม่มีอะไรทำ จึงเอาแต่หมกตัวฝึกวิชาอยู่ในห้องอย่างเดียว

จนกระทั้งสามวันผ่านไป ผมถึงสามารถใช้ยันต์แผ่นแรกได้ มันคือยันต์แปดทิศปราบมารร้ายนั้นเอง

ส่วนอีกสองแผ่นนั้น กระบวนท่าทำมือซับซ้อนเกินไป ผมจึงยังไม่สามารถเข้าใจมันได้

เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน ผมพูดกับอาจารย์ว่า ตอนนี้ผมสามารถใช้ยันต์แผ่นแรกได้แล้วนะครับ เมื่อได้ยินแบบนั้นอาจารย์ถึงกับตกตะลึงในทันที

 

ใช้สีหน้าตกใจมองมาที่ผมและพูดว่า “อะไรนะ แกสามารถใช้ยันต์แผ่นแรกได้แล้วอย่างงั้นเหรอ”

เมื่อผมเห็นอาจารย์ตกใจ จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ประหลาดใจเล็กน้อย “อาจารย์ ผมทำได้เร็วหรือช้าไปเหรอครับ”

ทันใดนั้นอาจารย์กลับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แปลกใจเล็กน้อย “ไม่ ไม่ใช่ ตอนนั้น ตอนนั้นอาจารย์ ใช้เวลาทั้งหมด ทั้งหมดสี่วันเลยนะ……”

ที่จริงในใจของอาจารย์กำลังพูดว่า บ้าเอ้ย ตอนนั้นฉันใช้เวลาถึงสี่เดือนเลยนะ

แน่นอน ว่าเสียงเล็กๆเหล่านี้ไม่สามารถลอดสายตาผมได้

แม้ว่าจะไม่เคยเจอกับตัว แต่ก็เคยเห็นมาบ้าง!

 

ผมอยู่กับอาจารย์มานานขนาดนี้ ผมเลยมองออกอยู่พอสมควร แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือเคล็ดวิชากระบวนท่าทำมือ

หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็ไม่ได้กลับไปฝึกที่ห้อง แต่ยืนอยู่หน้าประตูและหายใจเข้าๆออกๆ

แต่ในตอนนั้นเอง กลับมีรถลีมูซีนมาจอดที่หน้าประตูร้านของผม

จากนั้น ก็มีชายวัยกลางคนลงมาจากรถ

ชายคนนั้นมีสีหน้าหมองคล้ำ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเครียดและหดหู่

 

หลังจากลงมาจากรถ เขาก็มองสำรวจร้านผมสองสามรอบ เหมือนกับเป็นลูกค้าที่มาเข้าร้าน

เมื่อผมเห็นมีคนมาซื้อของ ก็รีบเดินเข้าไปทันที ผมพูดกับชายวัยกลางคนนั้นว่า “คุณชาย ต้องการมาซื้อของหรือมาขอคำปรึกษาครับ”

เมื่อชายวัยกลางคนได้ยินเสียงของผม เขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยตามมารยาท จากนั้นก็พูดกับผมว่า “ที่บ้านมีงานศพครับ ผมเลยมาหาติงโย่วซาน เอ่อท่านนักพรตติงครับ ไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่นี่ใช่ไหมครับ!”

เมื่อได้ยินว่าเขามาหาอาจารย์ และยังขับรถหรูขนาดนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาต้องเป็นลูกค้ารายใหญ่แน่

พวกเราเปิดร้านเพื่อหารายได้ ดังนั้นจึงไม่กล้าลีลา

 

“นั้นเป็นอาจารย์ของผมครับ เชิญด้านในก่อน เดี๋ยวผมจะไปเรียกมาให้ครับ!” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ แต่การแสดงออกนั้นดูจริงจังมาก

เมื่อบ้านของลูกค้ามีคนตาย แถมยังยิ้มให้ด้วยความยินดี 80% จะต้องพาเคราะห์ร้ายมาหาตัวเองอย่างแน่นอน

ผู้ชายคนนั้นพยักหน้า จากนั้นก็ตามผมเข้าไปในบ้าน

ตอนแรกผมคิดว่า นี่จะเป็นงานศพธรรมดาๆ

แต่ผมไม่รู้อะไรเลยสักนิด ว่าเบื้องหลังของงานนี้ กลับไม่มีอะไรง่ายอย่างที่คิด

มันยุ่งยากมาก จนเกือบเอาชีวิตผมไปเลยละ……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset