ศพ – ตอนที่ 254 จัดการศพ

 

ศพ ตอนที่ 254 จัดการศพ

 

เมื่อพวกเราสี่คนร่วมมือกัน ผีดิบตัวนี้ก็มาถึงจุดจบ มันทําได้แค่รับการโจมตีเท่านั้น

 

อาจารย์และท่านนักพรตตูโจมตีอย่างบ้าคลั่ง แต่ผีดิบเฒ่านี้จัดการยาก เมื่อปู่หูลิ่วและพี่เฟิงเข้ามาโจมตีซ้ายขวา พลังชั่วของผีดิบตัวนี้ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง

 

เมื่อเวลาผ่านไป พลังชั่วของผีดิบตนนี้ก็อ่อนลงเรื่อยๆ

 

ไม่ว่าผิวทองแดง กระดูกเหล็ก หรือว่าพละกําลังที่ไม่สามารถต้านทานได้ในเวลานี้ทุกอย่างได้ลดลงและกลับมาสู่จุดต่ําสุดแล้ว

 

อาจารย์เห็นโอกาสมาถึงแล้ว เขาจึงไม่พูดพร่ําทําเพลง หยิบยันต์อัญเชิญเทพติงเจี่ย 12 องค์ออกมาหนึ่งแผ่น

 

ยันต์แผ่นนี้มีพลังมหาศาล เป็นยันต์สามชนิดแรกที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ผม และเป็นยันต์ที่ร้ายกาจที่สุด

 

อาจารย์บอกว่า ยันต์แผ่นนี้มีพลังของเทพติงเจีย 12 องค์ ไม่ว่าจะเป็นผีร้ายหรือผีดิบ แค่โดนยันต์แผ่นนี้เข้าไป ก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัส

 

แต่ยันต์ที่ทรงพลังแบบนี้ ก็มีเงื่อนไขในการใช้ที่ค่อนข้างสูง

 

ยึดตามพลังของผมในตอนนี้ การใช้ยันต์อัญเชิญเทพ ติงเจี่ย 12 องค์ ยังถือเป็นเรื่องค่อนข้างยาก

 

มือของอาจารย์เคลื่อนไหวเร็วดุจสายฟ้า ไม่มีทีท่าว่าจะรอให้ผีดิบตอบโต้ได้ ทันใดนั้นยันต์ก็ถูกแปะลงบนหน้าผากของผีดิบ

 

“ โฮก ! ” ผีดิบตนนั้นโมโหสุดๆ มันอ้าปากคิดจะเข้าไปกัดอาจารย์

 

แต่มันไม่มีโอกาสนั้น ไม่รอให้มันได้เข้าใกล้ ทันใดนั้นท่านนักพรตตู๋ พี่เฟิง และปู่หูลิ่วสามคนก็ลงมือ

 

แยกผีดิบออกไปทันที

 

อาจารย์ในมือสองข้างประสานเข้าหากัน กลายเป็นรูปดาบ เผยให้เห็นแววตาที่เย็นชา และตะโกนว่า

 

“ ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง ทําลาย !”

 

แสงสีขาวสว่างวาบ ยันต์อัญเชิญเทพติงเจี่ย 12 องค์ระเบิดออกมาทันที พลังอันมหาศาลสั่นสะเทือนรอบๆ

 

เมื่อหันไปมองผีดิบอีกครั้ง มันยังไม่ทันได้ร้องออกมาด้วยซ้ํา เสี้ยววินาทีนั้นมันก็ถูกพลังของยันต์ทําลายหัวไปครึ่งหนึ่งแล้ว

 

พวกเรามองผีดิบเฒ่าตรงหน้า มันไม่ขยับตัว และพลังชั่วชุดสุดท้ายของผีดิบ ก็ออกมาตามบาดแผลบนหัว ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย

 

ขณะพลังชั่วกําลังหายไป ผีดิบเฒ่าตนนี้ก็เหมือนผีดิบ เมื่อกี้ เมื่อในร่างไม่มีพลังชั่วร้ายอีกต่อไปขนสีขาวที่ปกคลุมอยู่บนตัว ก็เริ่มร่วงหล่น

 

พี่เฟิงกวาดตามอง ใช้เท้าถีบ “ ปัก ” ผีดิบเฒ่าล้มลงกับพื้น หลังจากนั้นมันก็ไม่ขยับอีกเลย

 

เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนก็อดถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ได้

 

อาจารย์ตะโกนด่าทันที “ บ้าเอ้ย ในที่สุดก็จัดการสองศพนี้ได้ซะที ! ”

 

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็หมุนตัว ทํามือคํานับผม หลังจากนั้นก็พูดว่า “ ข้าเป็นอาจารย์ของติงฝานติงโย่วซาน ไม่ทราบว่าเป็นเซียนท่านไหนช่วยเหลือเอาไว้ ? ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจมาก ”

 

ปู่หูลิ่วที่ควบคุมร่างผมไว้หัวเราะ “ ฮ่าฮ่าฮ่า ” แล้วพูดด้วยสําเนียงของตัวเอง “ นักพรตติง จําเสียงข้าได้ไหม ? ”

 

“ โอ้ ปู่หูลิ่ว ? ” อาจารย์พูด

 

“ ใช่ ข้าเอง ! ตอนนี้คงพูดว่าไม่สู้คงไม่รู้จัก ตอนนี้พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นหรอก ” ปู่หูลิ่วพูดต่อ

 

อาจารย์ก็หัวเราะ “ ฮ่าฮ่าฮ่า ” และในเวลานี้เอง ผมกลับรู้สึกตกใจ

 

ทันใดนั้น พลังแปลกๆนั้นก็เริ่มไหลจากแขน ขา กระดูกสันหลัง และเข้ามารวมกันที่หน้าอก

 

สุดท้ายผมก็รู้สึกเย็นที่หน้าอก เงาจิ้งจอกรางๆ พุ่งออกมาจากร่างของผม

 

หลังจากที่เงาจิ้งจอกปรากฏขึ้น ผมก็รู้สึกว่าโลกกําลังหมุน จนผมจะล้มลงกับพื้นให้ได้

 

แต่ดูเหมือนอาจารย์และพี่เฟิงที่อยู่ข้างๆจะมือเร็ว พวกเขาประคองผมเอาไว้ทัน

 

ตอนนี้ผมรู้สึกหมดแรง เหนื่อยมาก แต่ประสาทสัมผัสทั้งห้าและความรู้สึกที่ถูกควบคลุม ได้กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

 

“ เสี่ยวฝาน รู้สึกยังไงบ้าง ? ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ? ” อาจารย์รีบพูด เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเชิญเซียน

 

เขาจึงไม่แน่ใจว่าร่างกายของผมจะรับไหวไหม

 

ผมถอนหายใจออกมา หลังจากนั้นก็พูดติดอ่าง “ อา อา จารย์ ผมไม่ ไม่เป็นไร แค่ แค่เหนื่อยนิดหน่อย !”

 

ขณะที่พูด ผมก็ลุกขึ้นยืนแล้ว

 

ส่วนเงาจิ้งจอกรางๆที่อยู่ตรงหน้าของผม กลับพูดออกมาทันที “ ชูหม่า ถึงข้าจะสามารถสิงร่างคุณได้

 

แต่เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีกว่านี้ คุณยังต้องฝึกฝนร่างกาย และจิตใจ ดังนั้นการกุ่นเชี่ยวจะทํานานเกินไปไม่ได้ ยิ่งเซียนแข็งแกร่งเท่าไหร่ มันก็จะส่งผลต่อคุณเท่านั้น ถ้าเป็นเจ้าแม่จากพลังของชูหม่าในตอนนี้

 

ก็คงอยู่ได้แค่ 30 วินาที เมื่อเวลา 30 วินาทีผ่านไป มันก็อาจส่งผลต่ออายุไขของคุณ !”

 

เมื่อได้ยินปู่หูลิ่วพูดแบบนั้น ผมก็อดกลัวไม่ได้

 

เมื่อก่อนผมเคยคิดแบบง่ายๆ กุ่นเชี่ยวก็คือการสถิตร่าง พวกเขาไม่ทําร้ายผม หลังจากสถิตร่างเสร็จ

 

ผมก็จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆทั้งสิ้น

 

แต่ตอนนี้ผมเพิ่งรู้ว่า มันยังมีผลข้างเคียงแบบนี้ด้วย

 

ผมกลืนน้ําลาย จากนั้นก็คํานับปูหลิ่วทันที “ ขอบคุณปู่หูลิ่วที่ชี้แนะ และความช่วยเหลือในวันนี้

 

หลังจากกลับไป ผมจะตอบแทนปู่หูลิ่วอย่างแน่นอน ! ”

 

ปู่หูลิ่วหัวเราะ “ ฮ่าฮ่า ” “ ชูหม่าเกรงใจแล้ว ในเมื่อเสร็จงานแล้ว งั้นข้าของตัวกลับร่างก่อนนะ !”

 

“ เดินทางปลอดภัยนะครับปูหูลิว ! ” ผมพูด

 

อาจารย์และท่านนักพรตตู๋ก็คํานับเงาจิ้งจอก ปู่หูลิ่วกวาดตามอง หลังจากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นควันสีเขียว แล้วจากหายไปในทันที

 

ส่วนร่างจริงของปูหลิ่วที่ศาลเจ้าหลักเมืองอันแสนห่างไกล หลังจากร่างจิ้งจอกหายไป เขาก็ค่อยๆลืมตาขึ้น กลับมาสู่ร่างเดิมอีกครั้ง

 

หลังปู่หูลิ่วจากไป ท่านนักพรตตู๋ก็พูดกับคุณฉีที่แอบไปซ่อนหลังหินเมื่อก่อนนี้ว่า “ คุณฉี ทุกอย่างจบแล้ว ออกมาได้แล้ว !”

 

เมื่อคุณได้ยินคําพูดนี้ เขาถึงเดินเก้ๆกังๆออกมา

 

เห็นได้ชัดว่าเขากําลังกลัวและหวาดระแวง ยังคงช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

เมื่อเห็นศพผีดิบสองตนบนพื้น “ ปึก ” เขาก็คุกเข่าลงกับพื้นทันที “ ลูกหลานอกตัญญ ทําให้ทั้งสองคนต้องตายแล้ว ยังทรมานอีก ! ”

 

แต่เสียงของเขาเพิ่งเงียบลง ทันใดนั้นรอบๆก็มีลมกระโชกแรงก่อตัวขึ้น สายลมอันหนาวเย็นพัดเข้ามา

 

เมื่อกี้ผีดิบที่เพิ่งจากไป แถมตอนนี้ยังมีลมพัดเข้ามาในใจของทุกคนจึงอดไม่ได้ที่จะมีเสียงดัง “ กึก ”

 

แต่ละคนเปิดโหมดระวังตัวทันที

 

พี่เฟิงตะโกนออกมา “ ผีเร่ร่อนจากไหนวะ ยังไม่รีบออกมาอีก ! ”

 

หลังจากพูดจบ พี่เฟิงก็ยกดาบไม้ในมือขึ้น ทําท่าพร้อมรบสุดๆ

 

แต่มันน่าเหลือเชื่อ เสียงตะโกนของพี่เฟิง ใช้ได้ผลจริงๆ

 

ทันใดนั้นพวกเราก็ได้ยินเสียงของคนสองคน “ ผู้มีพระคุณ โปรดรับการคํานับจากเราด้วย ! ”

 

เมื่อหันไปมองต้นเสียง พวกเราก็พบว่าช่องเขาที่ห่างออกไป ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่แต่ตอนนี้กลับมีผีผู้ชายสองคนใส่ชุดคนตายปรากฏตัวขึ้น

 

แต่ในสองคนนี้ ยังมีคนที่ผีผู้ชายที่พวกเราได้เจอเมื่อคืน พ่อของคุณฉี

 

ส่วนอีกคน ก็คงไม่ใช่ใครอื่น เขาก็น่าจะเป็นปูของคุณฉี ฉีเต๋อหวาง

 

คุณไม่ได้เปิดตา จึงมองไม่เห็น และไม่ได้ยินเสียงใดๆ

 

เขายังคงคุกเข่าคํานับและร้องไห้อยู่กับพื้น ส่วนพวกเราก็มองผีทั้งสองตัวครู่หนึ่ง

 

หลังจากนั้นก็ได้ยินท่านนักพรตต์พูดว่า “ คุณฉีทั้งสองลุกขึ้นเถอะ ในเมื่อคุณฉีทั้งสองคนออกมาจากหลุมศพแล้ว แล้วทําไมร่างของพวกคุณถึงยังกลายเป็นผีดิบได้ละ ? ”

 

ผีทั้งสองตนลุกขึ้น เมื่อได้ยินท่านนักพรตติพูดแบบนั้น พวกเขารีบลอยเข้ามา

 

เมื่อเข้ามาใกล้พวกเรา ผีทั้งสองตนก็กวาดสายตามองศพที่อยู่บนพื้น หลังจากนั้นทุกคนก็ได้ยินฉีเต๋อหวางพูดว่า “ ท่านนักพรตทุกท่าน ผมจะไม่ปิดบัง ถึงพวกเราจะอยู่ที่นี่มา 10 ปี แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าทําไมร่างกายถึงเปลี่ยนเป็นผีดิบได้ เมื่อกี้ตอนศพเปลี่ยนไป ผมมีพลังอยู่เล็กน้อย จึงไม่สามารถเข้ามาช่วยได้ ขอให้ท่านนักพรตทุกท่านโปรดอภัยให้ด้วย !”

 

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ผีทั้งสองตนก็คํานับพวกเราอีกครั้ง

 

พวกเราไม่คิดมาก เพราะพวกเขาพูดถูก พวกเขาเป็นญาณไปก็ดีเท่าไหร่แล้ว

 

หลังจากนั้น ฉีเต๋อหวางก็พูดออกมาอีกครั้ง “ ถึงศพของผมกับลูกจะผิดธรรมชาติ แต่มันก็เริ่มหลังจากที่หลุมศพถูกขุดได้หนึ่งปี พวกเรารู้สึกอยู่กันแบบอึดอัดสุดๆ และก็กลับเข้าโลงไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นฮวงจุ้ยยังเปลี่ยนไป พักนี้ยังรู้สึกทรมานมาก ถึงได้ไปเข้าฝันหลาน แต่เจ้าหลานนี้ก็ไม่ได้เรื่อง หาพวกสิบแปดมงกุฏมาทําพิธี ทําให้ฉันกับพ่อ เขาต้องอยู่กันอย่างไม่เป็นสุข ทุกข์ทรมานจนทนไม่ไหว….”

 

หลังจากฟังฉีเต๋อหวางพูดจบ อาจารย์และท่านนักพรตตู๋กลับขมวดคิ้ว เงียบในทันที

 

อาจารย์พึมพํากับตัวเองว่า เมื่อหนึ่งปีก่อนถูกขุดหลุมศพ งั้นเหรอ ?

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset