ศพ – ตอนที่ 259 หัวโล้น

ตอนที่ 259 หัวโล้น

 

ในตอนที่โทรศัพท์หาอู่ฮุยฮุย ประจวบเหมาะกับผมมีเวลาว่างและไม่มีธุระพอดี

 

แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมากก็เลยรับปากไป

 

สถานที่นัดพบของอู่ฮียฮุยคือในเขตเมือง เวลาคือวันเสาร์ซึ่งเป็นวันพรุ่งนี้และเธอยังบอกอีกว่าเธอมีเพื่อนสนิทที่อยากจะทําความรู้จักพวกเราสักหน่อยด้วย

 

ในขณะนั้นผมก็ไม่ได้สนใจ เพราะคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเลื่อมใสในอาชีพที่พวกผมเป็นอยู่ พอได้มาเจอก็แค่คนธรรมดาแค่นั้นเอง!

 

“ฮ่าฮ่า ” ผมหัวเราะสองสามครั้งแล้วพูดคุยอีกสองสามประโยค และพูดถึงเวลาที่นัดเอาไว้ของพวกเรา

 

หลังจากนั้นก็กดวางสายและส่งข้อความทางวีแชทไปหาเหล่าเฟิงและหยางเฉ่ว เพื่อเตรียมการเรื่องเวลา พรุ่งนี้อาจจะนัดเจอกันก่อนหลังจากนั้นค่อยไปร้านอาหารด้วยกัน

 

หยางเฉ่วอยู่ในเขตเมืองไม่ไกลจากร้านอาหารที่จะไปทาน เมื่อพูดถึงเวลาที่ให้รอพวกเราก็แค่โทรหากันก็สิ้นเรื่องแล้วนี่

 

เพราะว่าพรุ่งนี้ต้องออกไปทานข้าว และผมของผมในตอนนี้ก็ค่อนข้างยาวแล้วด้วยควรจะออกไปตัดผมซะหน่อย

 

เดิมที่ผมอยากจะตัดผมทรงสกินเฮด แบบนั้นดูแล้วมีชีวิตชีวา

 

แต่ใครจะรู้ว่าจะได้เด็กติดโทรศัพท์มาตัดผมให้ผม เมื่อคืนวานเขาต้องไม่ได้หลับตลอดทั้งคืนแน่ๆ

 

ในมือของเขาถือที่ตัดผม เดินเข้ามาพร้อมขอบตาที่ดําคล้ําทั้งสองข้าง

 

เด็กคนนี้อาจจะทําให้ทรงผมที่ผมบอกว่าเป็นทรง “ ทรงสกินเฮด” ให้กลายเป็นหัวโล้นได้ เขายังไม่ได้ถามผมสักประโยค ก็มีเสียง “ ครืดครีด ” ผมตรงกลางของผมก็โดนตัดแหว่งไป

 

หลังจากที่ผมเห็นว่าผมตรงกลางที่ถูกตัดออกไปจนแหว่ง ทั้งคู่ก็ตะลึงตึงงันไปเลยและเขาก็รีบหยุดตัด

 

จนกระทั่งเมื่อฝ่ายตรงข้ามพบว่าผมต้องการผมทรงสกินเฮด ไม่ใช่ทรงหัวโล้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอับอาย

 

เจ้าของร้านรีบมาขอโทษผม เขาบอกว่าขอโทษจริงๆและ จะตัดผมฟรีให้ก็แล้วกัน

 

ทุกคนในร้านค้าที่ถนนแห่งนี้รู้จักคนๆนี้เป็นอย่างดี

 

เจ้าของร้านตัดผมแห่งนี้เป็นพ่อของเพื่อนสมัยเรียนประถมของผม

 

ผมจึงให้มันแล้วๆไป ผมก็ไม่อยากจะพูดถึงมันแล้ว ดังนั้นผมจึงโกนผมทั้งหัวจนหัวโล้น

 

เมื่อผมกลับไปที่ร้าน อาจารย์ก็กวาดสายตามองมาที่ผมและเขาก็ตกใจจนตะลึงเช่นกัน

 

ถึงยังไงก็ตามนี้มันก็เป็นเรื่องใหญ่ นี่มันยังเป็นครั้ง แรกด้วยที่ผมโกนผมจนหัวโล้นแบบนี้

 

อาจารย์ก็ไม่พูดอะไรเลยได้แต่พยักหน้า “ ไม่เลวนี้ ดูปราดเปรียวดี ! ”

 

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็ออกไปหาเหล่าฉินเพื่อดื่มชา

 

ผมลูบๆคลําๆหัวโล้นๆอย่างขมขื่น พรุ่งนี้ผมคงทําได้แต่ หัวโล้นแบบนี้ไปพบดาราสาวแล้ว

 

สองวันต่อมา ผมเปลี่ยนการแต่งตัวให้มันสดใสขึ้นให้เข้า กับหัวโล้น และกล่าวทักทายอาจารย์

 

เมื่ออาจารย์เห็นผมกําลังจะออกจากบ้าน และบอกผมว่าอย่าออกไปเอ้อระเหยอย่างไม่มีจุดหมายข้างนอก แล้วก็รีบกลับมา

 

ผมผงกหัวแล้วก็ออกจากบ้านไป

 

เหล่าเฟิงรอผมอยู่ที่ป้ายรถเมล์แล้ว เมื่อเขาเจอผมเขาก็ตกใจนิดหน่อยต่อมาก็มีเสียงเสียงหนึ่งโผล่ขึ้นมาโดยฉับพลัน “ นายไปทําอะไรของนายมา 2 จะไปเป็นนักบวชเต่ก็ ไม่ใช่ หรือจะไปบวชเป็นพระ ? ”

 

ได้ยินแบบนั้นผมก็โกรธจนเกือบเหลืออดแบบไม่มีทางเลือก ถ้าเป็นคุณ คุณคิดว่าผมอยากจะตัดทรงนี้นักหรือไง !

 

ผมจึงกลอกตาแล้วพูดว่า “ อากาศมันร้อนฉันเลยตัดให้มันเย็นขึ้นมาหน่อย !”

 

“ พอหิมะตกแล้ว อากาศคงเย็นสบายน่าดู ! ” เหล่าเฟิงพูดด้วยรอยยิ้มหัวเราะ เห็นได้ชัดว่าเขาว่าหัวโล้นๆของผมนั้นน่าตลก

 

ผมก็ขี้เกียจเกินจะสนใจเขา เมื่อเห็นรถมาก็เดินตรงไปขึ้นรถทันที

 

หลังจากที่รถถึงสถานี ก็สิบเอ็ดโมงแล้ว

 

หยางเฉ่วรอพวกเราอยู่ที่นี่แล้ว แต่เธอก็ต้องตกใจที่ เห็นผมออกมาพร้อมกับหัวล้านและเหล่าเฟิงด้วยใบหน้าที่ตกตะลึง

 

“ ติงฝาน ฉันมองไม่ออกจริงๆ ! พอนายหัวโล้นแล้ว มันดูค่อนข้างทันสมัย ” หลังจากที่หยางเฉ่วพูดจบเธอก็อดที่จะ แอบหัวเราะ “ หุหุ ” ออกมาไม่ได้

 

“ มันทันสมัยและยังเย็นสบายมากด้วย ! ” เหล่าเฟิงพูด เสริมทัพ

 

ผมมองไปที่สองคนนั่นด้วยใบหน้าที่หมดคําพูด เล่าจื๊อก็หัวโล้นไม่ใช่เหรอ ? มันน่าตลกตรงไหนกัน ?

 

ผมเลยถือโอกาสเล่าเรื่องเด็กติดโทรศัพท์เมื่อวาน ที่ตัดผมของผมออกไปกระจุกหนึ่ง

 

ให้ทั้งสองคนฟัง ทั้งสองคนก็หัวเราะ “ ฮ่าฮ่า ” ขึ้นมาอีก

 

หลังจากที่ทั้งสองคนหัวเราะเยาะผมแล้วพักหนึ่ง ก็รีบไปที่ร้านอาหารทันที

 

ครั้งนี้ผมเกรงใจอู่ฮุยฮุยมาก สถานที่ที่เธอเชิญผมมาทานข้าวนั้นเป็นเป็นโรงแรมระดับไฮเอนด์ในเมือง

 

นั่นก็คือโรงแรมหนานเทียน

 

การทานอาหารที่นี่ สามารถทานได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามสบายและหรูหรามาก

 

เมื่อไปถึงประตูก็ ผมโทรหาอู่ฮุยฮุย

 

ปลายสายรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว อู่ฮียฮุยที่ได้ยินพวกเรามาถึงประตูแล้วก็ให้เราเดินเข้าไปที่ห้องส่วนตัวได้เลยเพราะเธอมาถึงก่อนแล้ว

 

หลังจากวางสายก็สอบถามพนักงานที่อยู่ตรงประตูว่าตําแหน่งห้องส่วนตัวอยู่ที่ไหน หลังจากนั้นก็ขึ้นลิฟต์ไป

 

นี่เป็นเวลาทานอาหารพอดี คนรวยที่มาทานข้าวที่นี่จึงเยอะมาก ไม่ถึงกับคนมืดฟ้ามัวดิน แต่ที่นั่งก็เต็มอย่างรวดเร็ว

 

ในไม่ช้าผมก็มาถึงประตูห้องส่วนตัวของอู่ฮียฮุย ผมก็เคาะปะตู หลังจากนั้น ผมก็ได้ยินเสียงของอู่ฮียฮุย “ เชิญเข้ามา..”

 

ผมเปิดประตูเข้าไปด้วยความยินดี

 

ทันทีที่ผมเปิดประตูก็เห็นภายในห้องส่วนตัวที่ตกแต่งอย่างสวยงามและหญิงสาวที่นั่งอยู่

 

นานมากแล้วที่ไม่ได้เจออู่ฮุยฮุย เมื่ออู่ฮียฮุยเห็นพวกเราก็มองมาที่หัวโล้นๆของผมเป็นพิเศษด้วยใบหน้าที่ตะลึงงัน ดูเหมือนว่าพอผมโกนผมจนหัวโล้น มันจะเป็นเรื่องที่แปลกมาก

 

แต่ว่าหลังจากนั้นเธอก็ลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ “มาถึง กันแล้ว นั่งก่อนสิ ฉันจะได้ให้พนักงานเสิร์ฟอาหารขึ้นโต๊ะ !

 

พวกเราสามคนก็ไม่เกรงใจและแยกกันนั่งลง

 

หลังจากที่นั่งเสร็จเรียบร้อย ผมก็เอ่ยปากพูดกับอู่ฮียฮุย “ ไม่ใช่ว่ามีเพื่อนที่อยากแนะนําให้พวกเรารู้จักเหรอ ? ทําไมมีเธอแค่คนเดียวล่ะ ?”

 

อู่ฮุยฮุยยิ้ม “ เธอรถติดอยู่ แต่ว่าใกล้จะมาถึงแล้ว แต่ติงฝาน นายหัวโล้นแบบนี้ก็มีเอกลักษณ์ดีนะ ฉันก็เกือบจําไม่ได้

 

“ มันเป็นเอกลักษณ์มาก ! อีกนิดเดียวก็เกือบจะใช้แทนหลอดไฟได้แล้วละ ! ” หยางเนิ่วที่เดิมที่ไม่ให้เกียรติที่นั่งอยู่ข้างๆก็พูดเหน็บแนมผม

 

ผมกลอกตามองค้อนและพร้อมที่จะพูดแก้ต่างสักประโยคสองประโยค

 

แต่ในเวลานี้ก็มีเสียง “ ตึกตัก ” ดังเข้ามาและประตูก็ถูกเปิดออก มีหญิงสาวหน้าตาสวยเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน

 

ทันทีที่เธอเข้ามาในห้อง เธอก็เอ่ยปากขอโทษขอโพย “ ขอโทษทุกท่านด้วยที่ฉันมาช้า ขอโทษจริงๆ ! ”

 

“ เสี่ยวเฉ่ว เธอมาที่นี่แล้ว รีบนั่งลงเลย ! ”อู่ฮุยฮุยพูดอย่างดีอกดีใจให้หญิงสาวคนนี้นั่งลง

 

ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้จัก แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ก็คงจะเป็นเพื่อนสนิทของอู่ฮุยฮุยที่เธอเคยบอกเอาไว้

 

แต่อย่าทําเป็นพูดไป ผู้หญิงคนนี้สวยจริงๆมองดูไม่เบื่อเลย

 

ผมสีดําหยักศกเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นกลมโตดูแล้วสดใสจมูกที่งดงามและปากกระจับเล็กสีชมพูระเรื่อ

 

เธอสวมเสื้อขนแกะสีดํา คู่กับกางเกงรัดรูปสีดําและรองเท้าสีขาว ดูแล้วน่ารักและสะอาดบริสุทธิ์

 

หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นนั่งลง เธอก็ได้ยินอู่ฮียฮุยพูดว่า “ ฉันจะแนะนําให้ทุกคนรู้จัก นี่คือเพื่อนสนิทของฉัน ฉิงหมิงเฉ่ว ”

 

เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงที่ชื่อฉิงหมิงเฉิวเตื่นเต้น เธอที่เพิ่งจะนั่งลงไปก็ รีบลุกขึ้นยืน

 

ถึงกับโค้งคํานับพวกเรา เห็นได้ชัดว่าเธอสุภาพมาก ๆ “ทะ..ทุก ทุกท่านสวัสดีค่ะ ฉะ…ฉัน ฉันชื่อ

 

ฉิงหมิงเฉ่ว กะ…กรุณาชี้แนะด้วยค่ะ !”

 

เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามสุภาพขนาดนี้ พวกเราก็ยิ้มเล็กน้อยและตอบเธอกลับอย่างสุภาพเช่นกัน

 

ต่อจากนั้น อู่ฮุยฮุยก็แนะนําฉิงหมิงเฉิวให้รู้จักกับพวกเรา ทั้งสาม

 

ฉิงหมิงเฉิวเป็นคนที่สุภาพมากราวกับว่าเธอกลัวสิ่งที่เธอพูดออกมาจะผิดและทําให้พวกเราทั้งสามคนไม่พอใจ

 

นี้ทําให้ในใจของผมงงงวย แต่เมื่อเห็นท่าทางที่ประหม่าของเธอ ผมรู้สึกว่านี้อาจจะเป็นนิสัยของอีกฝ่าย

 

ที่เป็นคนสุภาพและมีมารยาท

 

หลังจากนั้นไม่นาน พนักงานก็ยกอาหารมาเสิร์ฟ

 

บนโต๊ะมีแต่อาหารดีๆ หมูเห็ดเป็ดไก่ปลามีหมด รสชาติก็ไม่เลวเลยทีเดียว!

 

พวกเราก็ไม่เกรงใจอู่ฮียฮุย กินกันอย่างเต็มที่ บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความกลมกลืนกันมาก

 

หลังจากดื่มกับอาหารมากพอแล้ว ผมกลับบังเอิญพบว่าสายตาของฉิงหมิงเฉิวกระพริบระยิบระยับแบบคลุมเครือ มองมาที่พวกเราทั้งสามคนเป็นบางครั้ง และกระซิบกระซาบกับอู่ฮุยฮุย ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับพวกเรา

 

ผมมองดูพวกเธอสักพัก ก็เห็นพวกเธอเหมือนมีอะไรอยากจะพูดจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากยังไง

 

ดังนั้นผมจึงหยั่งเชิงถามพวกเธอ “ ฮุ่ยเอ๋อร์ มีอะไรหรือเปล่า ? ”

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset