ศพ – ตอนที่ 260 อัญเชิญกุมารทอง

ตอนที่ 260 อัญเชิญกุมารทอง

 

ทันใดนั้นทั้งสองสาวที่ได้ยินผมถามแบบนั้นก็ตะลึงงันไป

 

หลังจากนั้น ก็เห็นท่าทางที่ดูกระอักกระอ่วนใจมากของฉิงหมิงเฉ่วเธอพูดติดอ่างว่า “ ไม่ ไม่มีอะไร !”

 

ทันทีที่คําพูดของฉิงหมิงเจิ่วจบลง อู่ฮียฮุยก็สะกิดเธอ “จะไม่มีอะไรได้ยังไง ? วันนี้ที่เธอมา ไม่ใช่เพราะว่ามี เรื่องหรือยังไง ?เธอเชื่อฉันสิติงฝานกับพวกเขาเป็นคนที่มีวิ ชาอาคมพวกเขาสามารถช่วยเธอได้แน่นอน !”

 

“ แต่ แต่ว่าฉัน ฉันไม่รู้จะเอ่ยปากพูดยังไง

 

ดูเหมือนฉิงหมิงเฉิวจะดูขี้อายมาก เมื่อเธอพูดถึงคําว่าเอ่ยปากเสียงของเธอก็ลดลงไปทันที

 

พวกเราหยุดและจ้องมองไปที่ฉิงหมิงเฉิวด้วยใบหน้าที่ง นงง

 

เมื่อได้ยินคําพูดของอู่ฮียฮุย ดูเหมือนว่าฉิงหมิงเฉ่วจะมีเรื่องอะไรสักอย่างดังนั้นอู่ฮียฮุยจึงใช้ข้ออ้างในการเชิญพวก เรามาทานข้าวอยากจะให้พวกเราออกมาข้างนอกเพื่อที่จะได้ช่วยแก้ปัญหาของฉิงหมิงเฉิว

 

แต่อู่ฮียฮุยเห็นว่าฉิงหมิงเฉ่วรู้สึกเขินอายที่จะพูดเธอจึงพูดขึ้นด้วยความไม่สบอารมณ์ “ ถ้าเธออายที่จะพูด

 

งั้นฉันจะพูดแทนเธอเอง ! ”

 

เมื่อฉิงหมิงเฉิวได้ยินอู่ฮียฮุยพูดแบบนั้น ชั่วพริบตาเดียวใบหน้าของเธอก็กลายเป็นสีแดง ดูเหมือนว่าเธอจะอายเอา มากๆ

 

พวกเราก็เบนสายตาไปทางอู่ฮียฮุย อู่ฮียฮุยก็สูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั้นก็พูดกับพวกเราว่า

 

“ ฉันจะบอกด้วยความจริงใจ วันนี้ที่เชิญทั้งสามคนมาที่นี่หนึ่งคือฉันอยากจะขอบคุณทั้งสามคนที่เคยช่วยเหลือฉันอย่างที่สองคือมันก็เกี่ยวกับเรื่องของฉิงหมิงเฉิวด้วย !”

 

“ ฮุยเอ่อร์ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ถ้าหากว่าพวกเราช่วยได้พวกเราก็จะช่วยเธออย่างแน่นอน ! ”หยางเฉ่วเอ่ยปากพูด

 

อู่ฮุยฮุย พยักหน้าแล้วพูดว่า “ เสี่ยวเฉ่วและฉันเป็นนัก แสดงเหมือนกันแต่ว่าเมื่อสามเดือนก่อน ฉิงหมิงเฉ้วไม่รู้ว่าไปได้ยินที่ไหนมาว่าถ้าเลี้ยงกุมารทองก็จะสามารถเปลี่ยน โชคชะตาชีวิตได้ดังนั้นเธอจึงไปเชิญกุมารทองมาเลี้ยงที่บ้า นตนหนึ่ง ! ”

 

ทันทีที่เธอคําพูดนี้ออกมา พวกเราทั้งสามคนก็อดไม่ได้ที่ จะสะอึกดัง “ ก๊กๆ ”ออกมา

 

การเลี้ยงกุมารทองไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

 

สิ่งนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ต่อมาก็ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้

 

เพราะว่าสิ่งนี้ได้รับการเลี้ยงดูที่ดี ก็จะสามารถเปลี่ยนโชคชะตาชีวิตของผู้เลี้ยงได้เลย

 

หลายคนให้ความสําคัญกับประเด็นนี้ แต่ไม่เข้าใจถึงผลที่ตามมาหลังจากการเลี้ยงกุมารทอง ต่างพากันไปหานักบ วชไร้ศีลธรรมหรือไปหาซินหม่าไท่เพื่ออัญเชิญกุมารทองแม้กระทั่งคนดังหลายคนก็ออกข่าวว่าเลี้ยงกุมารทอง

 

จะเห็นได้ว่าแวดวงการเลี้ยงกุมารทองนั้นเป็นที่นิยมแต่ว่าพวกคนเหล่านั้นกลับไม่รู้ข้อเสียของการเลี้ยงกุม ารทองนั้นมีมากกว่าข้อดี

 

ถ้าหากว่าเลี้ยงดีก็ยังพอพูดได้ว่าสามารถเปลี่ยนโชตชะตาได้หลังจากนั้นไม่กี่ปีจะเลิกเลี้ยง ปัญหามันก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่

 

แต่ในกรณีที่ได้เลี้ยงวิญญาณชั่วร้าย ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเลวร้ายจนไม่กล้าคิดตั้งแต่โรคเรื้อรังรุมเร้า

 

จนถึงขั้นร้ายแรงแบบบ้านแตกสาแหรกขาด

 

และจุดที่สําคัญที่สุดคือ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะโชคดีแล้วแต่มันก็เป็นการเบิกใช้ความโชคดีของวันข้างหน้าอีกทั้งมันยังเพิ่มเป็นสองเท่าเมื่อต้องชดใช้คืน

 

พวกเราสามคนในฐานะที่เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้ายก็เคยได้ยินเรื่องราวประเภทนี้มาไม่น้อย

 

ในตอนนี้ที่ได้ยินเรื่องนี้ผมก็เงียบไม่พูดไม่จาตั้งใจฟังสิ่งที่อู่ฮียฮุยเล่าอย่างตั้งใจ

 

“ แต่กุมารทองที่เสี่ยวเฉ่วเลี้ยงไม่ใช่เด็กน้อยแต่ว่าเป็นผีชายวัยกลางคนเสี่ยวเฉ่วบอกว่า ถึงแม้ว่าผีตนนี้จะช่วยให้เธอผ่านการสอบสัมภาษณ์และได้รับโอกาสรับบทเป็นตัวละครเล็กถึงสองครั้ง แต่ทุกครั้งที่ผีตนนี้เรียกร้องความต้องการที่ไร้เหตุผลและยังเอาเปรียบเธอตลอดเวลา ไม่กี่วันมานี้ก็ยิ่งเรียกร้องผลประโยชน์มากขึ้นถึงขนาดอยาก จะนอนกับเสี่ยวเฉ่วตอนนี้เสี่ยวเฉวอยากจะหลุดพ้นจากค วามสัมพันธ์นี้ !

ดังนั้นฉันจึงอยากจะเชิญทั้งสามคนมาช่วยเหลือก็คือให้ไล่ผีตนนั้นไปให้พ้นที่ ”

 

อู่ฮียฮุยพูดแต่เรื่องราวแต่ละประโยคจบไปแล้วเมื่อได้ยินแล้วผมกลับสับสนซะเอง

 

เลี้ยงกุมารทอง ก็จะต้องเป็นผีเด็กสิถึงจะเรียกว่ากุมารทองได้ ? แต่แล้วทําไมเลี้ยงกุมารทองถึงได้ออกมาเป็นเลี้ยงผีลุงวัยกลางคนล่ะ ?

 

ชัดเจนแล้วว่าฉิงหมิงเฉิวต้องโดนหลอกอย่างแน่นอน

 

เธอไม่ได้อัญเชิญกุมารทองมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่เป็นการอัญเชิญผีผู้ชายมาเซ่นไหว้บูชาที่บ้านแทน

 

และความประพฤติของผีผู้ชายคนนั้นยังไม่ดีอีกด้วยทําให้ฉิงหมิงเฉิวทนไม่ได้

 

ตอนนี้ผีผู้ชายคนนั้นนับวันจะยิ่งมีความกล้ามากขึ้นคิดไม่ถึงว่าอยากจะทําเรื่องอย่างนั้นกับฉิงหมิงเฉิวด้วยความตัณหาราคะ

 

ผมทําหน้านิ่งหลังจากนั้นก็พูดกับอู่ฮียฮุยและฉิงหมิงเฉิว “สบายใจได้ ! เรื่องนี้ฉันจัดการเอง ก็แค่ผีตัณหากลับตนหนึ่งแค่นั้นเอง ! พวกเธอสบายใจเถอะ ตอนบ่ายพวกเราก็จะกลับไปด้วยกันและในตอนกลางคืนจะ ได้กําจัดมันออกไป เพื่อจะได้ไม่เป็นอันตรายต่อโลกมนุษย์ !

 

ฉิงหมิงเฉิวยังคงขี้อายเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เหมือนเก่า เธอเขินมากจนหน้าแดง

 

ในขณะที่ฟังผมพูดจบแล้ว เธอก็ยกเปลือกตาขึ้นมามองผม แล้วพูดขอบคุณด้วยความเขินอาย

 

ทันทีที่คําพูดของฉิงหมิงเจิ่วจบลงเหล่าเฟิงก็พูดว่า “ ฉิงหมิงเฉ่ว เธอบอกหน่อยได้ไหมว่า ผีตนนี้ที่เธอไปอัญเชิญมันมาจากที่ไหน ? ”

 

เมื่อได้ยินคําถามที่ออกมาจากเหล่าเฟิงผมก็สนใจขึ้นมาทันที

 

หากไม่มีใครช่วยฉิงหมิงเฉ่ว เธอก็จะไม่สามารถอัญเชิญมาได้อย่างแน่นอน

 

และคนที่อัญเชิญผีประเภทนี้และหลับหูหลับตาทําแบบนี้จะต้องได้รับการลงโทษด้วย

 

ไม่อย่างนั้นจะไปทําแบบนี้และเป็นอันตรายต่อคนอื่นมากไปกว่านี้

 

ฉิงหมิงเฉิวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆว่า “ มันคือโรงงานปุ๋ยที่ถูกทิ้งร้างแถวชานเมือง”

 

“ โรงงานปุ๋ย งั้นเธอรู้ไหมว่ามันชื่อว่าอะไร ? สามารถติดต่อเขาได้ไหม ? “เฟิงเฉิวหานถามขึ้นอีกครั้ง

 

ฉิงหมิงเฉ่วพยักหน้า “ ติดต่อได้ทางวีแชทเท่านั้น ชื่อจริงๆของเขาฉันเองก็ไม่รู้หรอก แต่ว่าเขาให้ฉันเรียกว่าจาง เต้าฉาง ! แต่ว่าเขายังอายุน้อยอยู่เลยประมานยี่สิบต้นๆ

 

ฉิงหมิงเฉ่วพูดรายละเอียดเกี่ยวกับเขา ว่าเธอรู้จักกับจางเต้าฉางได้ยังไงหลังจากนั้นก็ต่อรองราคากับฝ่ายตรงข้ามสุดท้ายก็ไปถึงขั้นตอนการซื้อผีผู้ชายตนนั้น

 

ส่วนจางเต้าฉาง ? ผมไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่ว่าไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน

 

ผมขอให้ฉิงหมิงเฉ่วเอาวีแชทมาให้ผม และบอกว่าพวกเราจะจัดการเรื่องของเธอโดยการไปเจอกับจางเต้าฉาง

 

พวกเราเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย มีหน้าที่กําจัดและปกป้องสิ่งชั่วร้าย เป็นไปได้ว่าเจ้าเด็กนี้เป็นคนดีแต่เขาซื้อขายวิญญาณและแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว

 

ได้ยินมาว่าฉิงหมิงเฉิวให้เด็กคนนี้อัญเชิญกุมารทองให้ในราคาหนึ่งแสน

 

ฉิงหมิงเฉิวเป็นนักแสดงผู้ติดตามที่ไม่มีชื่อเสียง จะมีเงินมากขนาดนั้นเลยเหรอ ? สุดท้ายในการเจรจาต่อรองรา คาก็ต้องใช้เงินห้าหมื่นหยวนอีกทั้งยังเป็นเงินกู้ดอกเบี้ยสูง อีกด้วย

 

หากไม่ใช่เพราะอู่ฮียฮุยเพิ่งจะพบว่าฉิงหมิงเฉิวถูกทวงหนี้จากเงินกู้ดอกเบี้ยสูงและฉิงหมิงเฉิวก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดเรื่อง นี้ออกมาด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะหนังที่อู่ฮียฮุยแสดงหลังจากเซ็นสัญญาไปหลายฉบับ ถึงได้มีเงินสดสํารองให้เธอไปใช้หนี้

 

ไม่อย่างนั้นฉิงหมิงเฉ่วจะต้องตกระกําลําบากจนไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีทางที่จะฟื้นคืนขึ้นมาได้แน่ๆ

 

ไม่เพียงแต่จะถูกผีรบกวน อีกทั้งยังถูกขูดรีดจากเงินกู้ดอกเบี้ยสูงอีกผลสุดท้ายก็เป็นอย่างนี้แหละ

 

พูดแล้วลําบากจริงๆ

 

หลังจากรู้ถึงสาเหตุและผลที่ตามมา ผมก็ใช้แอคเคาน์สํารองเพิ่มจางเต้าฉางและส่งหมายเหตุไปว่าต้องการกุมารทอ ตอนนี้ก็รอเพียงแค่เขาตอบกลับ

 

ในเวลานี้ทุกคนก็ทานกันเกือบจะอิ่มแล้วและวางแผนที่จะออกจากที่นี่และไปยังที่อยู่ของฉิงหมิงเฉิวเพื่อลองไปดูผีตนนั้น

 

ดังนั้น ทุกคนจึงถือสิ่งของของตนเองและเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง

 

แต่เมื่อเดินออกจากห้องส่วนตัว ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกําลังยืนล้อมอยู่ในห้องโถงมุงดูอะไรบางอย่างและกระซิบซาบกันอยู่

 

ฉากนี้ดึงดูดผมจนผมมองแล้วมองอีก

 

ในเวลาเดียวกัน ก็มีเสียงพูดที่อวดดีดังออกมา “ สาวสวยทําไมไม่ให้เกียรติกันขนาดนี้ ? พี่ชายคนนี้เป็นถึงเจ้าชาย ของหลงฟากรุ๊ปเธอก็มาติดตามพี่ชายสิ แล้วจะได้อยู่ดีกินดีเป็นไง ? ”

 

“ ใครอยากจะไปก็ไป ! ฉันมีแฟนแล้วกรุณาออกไปให้ไกลจากฉัน ฉันจะทานข้าว ! ”

 

เมื่อผมได้ยินเสียงนี้ ในใจของผมก็สั่นไหวเล็กน้อยทําไมเสียงนี้ทําไมมันถึงได้เหมือนเสียงของเสี่ยวม่านขนาดนี้ ?

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset