ศพ – ตอนที่ 263 ยโสโอหัง

 

ตอนที่ 263 ยโสโอหัง

 

สําหรับวิญญาณชั่วร้ายที่ตื่นกามตนนี้ ผมก็ไม่มีอะไรจะ พูดด้วยดีๆหรอกก็แค่พูดคําพูดออกไปตรงๆเลย

 

และในตอนที่เราเดินเข้าห้องมา พวกเราทั้งสามคนเดินเข้ามาอยู่ในห้องพลังด้านมืดของภูตผีปีศาจก็ส่งกลิ่นออกมาสําหรับฝีมือและความสามารถของผีตนนี้ก็ประเมินแล้วว่า เหมือนทั่วๆไปไม่ใช่วิญญาณชั่วร้ายอะไรมากสุดก็ร้ายกาจมากกว่าผีที่เร่ร่อน

 

ถ้าหากไม่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทําอะไรที่เผยธาตุแท้ออกมาเดิมทีผมก็ไม่พูดไร้สาระมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วเมื่อตะกี้ที่เดินเข้ามาในห้องตั้งใจจะทุบตุ๊กตารางทองของเจ้านั้นและทําลายไหของเขา

 

ดังนั้นผมทําแบบนั้นก็ถือได้ว่าเป็นการเจรจาไปก่อนแล้วถ้าพูดไม่รู้เรื่องผมถึงจะใช้กําลังทีหลัง

 

ให้เขาตัดสินใจเองว่าจะเลือกแบบไหน

 

หากอีกฝ่ายเป็นรูปปั้นหิน ก็ยังดีเรื่องมันก็จะง่ายต่อการจัดการไปอีกทุกคนก็จะทําตัวสบายๆไม่อยากจะลงมือ

 

หากไม่รู้จักเอาตัวรอด อย่างนั่นก็อย่ามาโทษว่าพวกผมมีคนเยอะกว่าและไม่ได้ออมมือ

 

แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากคําพูดที่ผมพูดจบลงลมพายุด้านมืดก็พัดเข้ามาปกคลุมในห้องอย่างหนาแน่น

 

“ พี่บพับพี่บพับ ” เสียงของผ้าม่านปลิวสะบัดเสียงดัง

 

ฉิงหมิงเฉ่วตกใจจนกระโดดผงะและเกาะอู่ฮียฮุยอย่างเหนียวแน่น “ ไม่ ไม่ดีแล้ว เขา เขาโกรธแล้ว !”

 

เมื่อฉิงหมิงเฉ่วพูดประโยคนั้นออกมาผมก็ยิ้มหัวเราะด้วยความเยาะเย้ย “ แกนี่มันไม่เห็นโรงศพไม่หลั่งน้ําตาจริงๆ ! ”

 

พูดจบ ผมก็หยิบยันต์ที่มีคาถาลงเอาไว้ออกมาด้วยความรวดเร็ว “ ฟื้บ ” เสียงพลิกฝ่ามือและแปะยันต์ลงไปบนประตู

 

เหล่าเฟิงและหยางเฉ่วก็ไม่เฉยเมยหยิบยันต์ของตนเองขึ้นมาก่อนจะร่ายคาถาลงไปและแปะไปที่หน้าต่างทําให้บ้านทั้งหลังกลายเป็นกรงที่ปิดผนึกอย่างหนาแน่น 

 

“ วันนี้แกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นฉันอยากจะรู้พอดีว่าสุดท้ายแล้วแกจะรู้อะไรบ้าง! ”ผมเอ่ยปากและพร้อมที่จะเคลื่อนไหวลงมือจัดการมันทันที

 

ผลที่ตามมาคือเมื่อคําพูดของผมจบลงก็มีเสียงเศร้าๆของผู้ชายดังออกมาจากตุ๊กตารางทองที่อยู่บนโต๊ะเซ่นไหว้ “เสี่ยวเฉ่วเธอกล้าทรยศฉันไปหาพวกกลุ่มนักบวชเต่ามาจัดการฉัน ! ”

 

เมื่อฉิงหมิงเฉิวได้ยิน เธอก็หวาดผวาสุดๆจนไม่กล้าพูดอะไรออกมา

 

“ นี้ ! ผีแก่บ้ากาม รีบไสหัวออกไปเลยไม่อย่างนั้นก็อย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน ! ” หยางเนิ่วตะโกนออกเสียงดัง

 

แต่ทันใดนั้นผีผู้ชายนั้นก็หัวเราะเย้ยหยันออกมา“ ฮ่า ฮ่า ฮา !อย่าคิดว่าพวกแกจะจัดการฉันได้

 

อยากจะทําลายร่างทองของฉันมันก็ไม่ง่ายข นาดนั้นหรอกในเมื่อฉันถูกฉิงหมิงเฉ้วอัญเชิญมาฉันก็จะไม่ออกไปอย่างง่ายดาย ! ”

 

“ โอ้โห ! ผิดแล้วยังไม่ยอมรับว่าผิดดูเหมือนแกจะยังมองสถานการณ์ของตัวเองไม่ออกสินะ ? แกคงไม่รู้ความหนักเบาใช่ไหม ? ” ผมตะโกนออกไปอย่างแปลกใจ

 

เมื่อเห็นว่าผีบ้ากามไม่ปรากฏตัวออกมาผมก็แปะยันต์ลงไปที่ด้านหน้าโต๊ะเซ่นไหว้แล้วหยิบตุ๊กตารางทองขึ้นมา

 

ตุ๊กตาขนาดไม่ใหญ่ ดูเหมือนตุ๊กตาเซรามิกเพียงแค่หัวล้านและแก้มสีแดง

 

ผมมองดูตุ๊กตาร่างทองในมือด้วยใบหน้าที่หนักแน่นและเขวี่ยงมันลงไปที่พื้นอย่างรุนแรง

 

แต่ว่าฉากต่อไปไม่ใช่สิ่งที่เราคิดเอาไว้ว่าตุ๊กตาตัวนี้จะไม่แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

 

น่าแปลกที่ตุ๊กตาแค่ส่งเสียง “ ป๊อก ป๊อก ” ออกมาสองที่มันไม่บุบสลายและไม่เป็นอะไรเลยสักนิดเดียว

 

ไม่เพียงแต่ผมที่ประหลาดใจแม้แต่เหล่าเฟิงและหยางเฉวก็แสดงความประหลาดใจออกมา

 

“ ฮ่าฮ่าฮ่า อย่างที่พูดไปคิดจะทําลายร่างทองของฉันมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ถ้าหากฉันไม่อยากไป

 

ใครก็ไม่สามารถมาไล่ฉันไปได้เพราะว่าเสี่ยวเฉิวที่รักเป็นคนอัญเชิญฉันมา…”เสียงของผีผู้ชายดังขึ้นมาอีกครั้งในห้องดูเหมือนว่าจะหยิ่งเป็นพิเศษ

 

คําพูดเหล่านี้ดูเหมือนจะบาดเข้าไปในหูของพวกเราทุกคน

 

ผมพยายามอีกหลายครั้งไม่ว่าจะทุบลงบนผนังหรือโยนด้วยความรุนแรงยังไงมันก็ไม่ฟัง

 

นี่มันก็เป็นเพียงตุ๊กตาเซรามิกทั่วๆไปแต่ตอนนี้ทําไมมันกลับเปลี่ยนเป็นของแข็งราวกับเหล็ก

 

ผมพยายามทําลายมันอยู่นานยังไม่บุบสลายแม้แต่นิดเดีย

 

ฉิงหมิงเฉิวเห็นว่าพวกเราทําลายตุ๊กตานั้นไม่ได้และได้ยินคําพูดของผีผู้ชายตนนั้นที่หยิ่งผยองแบบนั้น

 

ดูเหมือนเธอจะหยิ่งหวาดกลัวเพิ่มมากขึ้นไปอีกเธอสั่นไปทั้งตัวจนเหงื่อไหลท่วมตัวไม่หยุด

 

เห็นได้ชัดว่าเธอกลัวผีผู้ชายคนนี้และตอนนี้เธอก็กลัวว่าพวกเราจะไม่สามารถจัดการกับผีผู้ชายตนนี้ได้ สุดท้ายผีบ้ากามตนนี้ก็จะหาผลประโยชน์จากเธอมากขึ้นเหตุผลนี้จึงทําให้เธอกลัวอย่างช่วยไม่ได้เพิ่มมากขึ้นไปอีก

 

อู่ฮียฮุยก็เป็นกังวล พลางดึงปลายเสื้อของผม “ ติง ติง ฝานหรือพวกเราควรจะคุยกับเขา ! ให้เขาปล่อยเสี่ยวเฉ่วไป )

 

“ เอางี้ อยากจะลองทําข้อตกลงกับฉันไหม ? เงื่อนไขของฉันนั่นเรียบง่ายเพียงแค่ให้เสี่ยวเฉ่วปรนนิบัติฉันสามวันหลังจากนั้นก็เผาแบงค์กงเด็กแสนล้านหยวนให้ฉันคนรับใช้กระดาษสิบคนคฤหาสน์หนึ่งหลัง

 

รถหรูหราสองคัน ในขณะเดียวกันก็ต้องหาที่เซ่นไหวใหม่ให้ฉันด้วย แต่ว่าต้องเป็นสาวสวยเท่านั้น

 

ถ้าทําตามนี้ ฉันจะปล่อยเสี่ยวเฉ่วไป ” ผีบ้ากามตนนี้พูดความต้องการของตนเองที่ไม่สมเหตุสมผลออกมาอย่างลําพองใจ

 

แต่พวกเราสามคนกลับรู้สึกว่าบรรยากาศนี้หาอะไรมาเปรียบไม่ได้เลย เดิมที่ผมคิดว่าเจ้าผีตนนี้จะจัดการได้อย่างสบายและง่ายดาย

 

สุดท้ายใครจะไปรู้ว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้พูดมาตั้งนานเจ้าผีนี่ก็ยังหลบอยู่ในกระดองไม่ยอมออกไปแม้แต่ร่างทองของมันพวกเราก็ไม่สามารถทําลายได้ผมรู้สึกอับอาย ขายขี้หน้ามากๆ

 

แต่ถึงยังไง ความต้องการของเจ้าผีบ้ากามนั้นก็ไม่สามารถทําให้มันได้อยู่ดี

 

ถ้าหากตอบตกลงไป จะยิ่งไม่เป็นการช่วยผีเลวก่อกรรมทําชั่วหรอกเหรอ ?

 

“ พูดเหลวไหล แกยังมีหน้ามาขอนูนขอนี่อีกสักพักฉันจะทําให้แกคุกเข่าขอความเมตตา !” ผมพูดอย่างเยือกเย็นแต่เต็มไปด้วยความโกรธ

 

“ ฮ่าฮ่าฮ่า จะทําให้ฉันคุกเข่าขอความเมตตาถ้าพวกนายมีความสามารถฉันจะพูดแบบนี้ได้เหรอ ?

 

ร่างทองของฉันไม่ได้อยู่ในมือนายหรอกเหรอ ? ถ้ามีความสามารถก็ทุบมันต่อไปสิ !”

 

ผมกัดฟันกรอดๆ สงบจิตสงบใจ

 

นอกจากที่เจ้าผีตนนี้หยิ่งยโสแบบนั้น ความสามารถของมันก็ไม่ได้สูงมาก แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงทําให้พวกเราไม่สามารถทําลายร่างทองของมันได้

 

หากร่างทองไม่แตกพวกเราก็ไม่สามารถจัดการกับมันได้

 

แต่ว่าตุ๊กตารางทองนี้ดูเหมือนมันจะถูกหุ้มเกราะหนึ่งชั้นและเจ้าผีตนนี้ก็เป็นพี่ชั่วร้าย

 

ผีที่ชั่วร้ายมันกลัวอะไร ? ตามธรรมชาติแล้วสิ่งที่มันกลัวน่าจะเป็นพระอาทิตย์

 

ถ้าหากการโจมตีด้วยแรงไม่สามารถทําลายร่างทองได้พวกเรายังสามารถคิดวิธีอื่นได้ เช่น เผาไฟ ? ถ่วงน้ํา ? ตากแดด ? ใช้คาถาอาคม ?

 

หลังจากที่เงียบไปผมก็คิดถึงวิธีการเหล่านี้

 

ผมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดกับตุ๊กตาสีทองในมืออีกครั้ง “ ในเมื่อทําลายร่างทองของมันไม่ได้พวกเราก็เปลี่ยนวิธีดีไหม ?

 

หลังจากพูดจบ ผมก็ใช้มืออีกข้างดึงยันต์กดวิญญาณชั่วร้ายออกมา

 

ผมอดไม่ได้ที่จะแก้ตัวอีกรอบผมตบฝ่ามือลงไปบนตุ๊กตาสีทอง

 

“ ฮ่า ฮ่า แปะยันต์ลงไปมีประโยชน์อะไร ? ทําแบบนี้มากสุดก็แค่สะกดฉันเอาไว้ได้สามวัน ” เจ้าผีบ้ากามก็ยังคงไม่แยแสต่อการกระทํา

 

“ จริงเหรอ ? ต่อไปฉันจะทําให้แกผิดหวังที่มาอยู่ที่บ้านหลังนี้ !”

 

พูดจบ ผมก็หยิบตุ๊กตาสีทองเดินเข้าไปในครัวแล้วหยิบน้ํามันขึ้นมาแล้วเทลงไปในหม้อ

 

ทั้งหยางเนิ่วและเหล่าเฟิงก็ไม่รู้ว่าผมกําลังทําอะไรดูเหมือนพวกเขาจะสับสนนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรแค่ยืนดูอยู่ข้างๆ

 

เมื่อเทน้ํามันลงไปแล้วผมก็จุดไฟเผาทันที

 

ในขณะเดียวกันก็ตั้งตุ๊กตาสีทองลงไปในหม้อน้ํามันเอายันต์ตั้งขึ้นข้างบนเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มันเปียก

 

เพียงชั่วพริบตาเดียวที่ผมใส่ตุ๊กตาสีทองลงไปในหม้อน้ํามันทันใดนั้นเจ้าผีบ้ากามก็ตะโกนออกมาด้วยความตื่นตระหนก “นาย นายจะทําอะไร ? ทําแบบนี้ทําแบบนี้กับฉันมันก็ไม่มี…”

 

เห็นได้ชัดว่าน้ําเสียงของผีตนนี้สงบลงและแฝงไปด้วยร่องรอยของความตื่นตระหนก ไม่เย่อหยิ่งเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว

 

เหล่าเฟิงและหยางเนิ่วที่ยืนรออยู่ข้างๆแค่ชั่วพริบตาเดียวก็เข้าใจความตั้งใจของผมและคิดได้ในทันที

 

เมื่อกี้นี้ผมเป็นกังวลเกี่ยวกับการทําลายร่างทอง

 

จนลืมที่จะหาวิธีอื่นและในตอนนี้ผมก็สงบลง ผมเพิ่งคิดได้ว่าร่างทองนี่มันก็แค่ “ เปลือกนอก ” ของเจ้าผีบ้ากามตน

 

ตอนนี้ผมปิดผนึกตุ๊กตาสีทองและเตรียมที่จะทอดมันในน้ํามัน

 

เป็นไปตามธรรมชาติที่เจ้าผีบ้ากามตนนี้จะต้องรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการโดนทอดในน้ํามันผ่านตุ๊กตาสีทองนี้ของมัน

 

แน่นอนว่าตุ๊กตาสีทองตัวนี้ไม่สามารถทําลายได้และไม่สามารถฆ่ามันได้

 

แต่แน่นอนว่าด้วยวิธีนี้ มันก็จะทําให้ผีบ้ากามตนนี้เจ็บปวดจนพูดไม่ออกเลย

 

ทําให้มันรู้สึกว่าสู้ตายไปยังจะดีกว่ามีชีวิตอยู่ซะอีก…

 

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset